หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 44
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 44
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 44
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 เมษายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทุกลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังคงพยายามเริ่มเสียนะ ความนึกคิดปรุงแต่งปัญญาเก่าที่เกิดจากจิตหรือว่าเกิดจากวิญญาณอันนี้มีมาเดิม เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ รู้กายรู้การหายใจเข้าออกอันนี้เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ต่อเนื่องกัน จาก 1 ครั้ง 2 ครั้งเป็นหลายๆ ครั้ง จนต่อเนื่อง
ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่อง เราถึงจะมองออกว่า มองเห็นว่า แต่ก่อนนั้นเรามีสติปัญญาอยู่ในระดับของโลกีย์ นี่คือความปกติของสมมติ แต่ความรู้ตัวให้ต่อเนื่องแล้วก็รู้ลึกลงไปรู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดของใจ รู้การเกิดของขันธ์ห้า ว่าใจกับขันธ์ห้าเขาเกิดอย่างไรเขารวมกันได้อย่างไร เราก็จะเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่จะเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง ส่วนใจนั้นก็ส่วนหนึ่งซึ่งเรียกว่ากอง ‘กองวิญญาณ’ ส่วนอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า เขาก็มีมา บางครั้งก็ไม่ได้เกิดจากใจ เขาผุดขึ้นมา แล้วใจเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียว รวมกันไปกับส่วนสมองอีกก็รวมกันไปทั้งก้อน
พระพุทธองค์ท่านให้จำแนกแจกแจงให้ชัดเจน ส่วนความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ๆ ก็เรียกว่า‘สติ’ ถ้าต่อเนื่องเขาก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเราเอาไปใช้ ให้รู้เท่ารู้ทันชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกเขาเรียก ‘ปัญญา’ ถ้าตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง หนึ่งเขาก็เรียกว่า ‘มหาปัญญา’ ตามดูรู้ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน จากมหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ รู้จักขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกไปเรื่อยๆ ละกิเลสใจของเราคลายจากขันธ์ห้า อันนี้ก็ใจก็ปล่อยวางขันธ์ห้า ส่วนรูปกายก็ยังอยู่ ส่วนจิตวิญญาณก็ยังอยู่ แต่รู้ด้วยปัญญาแยกแยะด้วยปัญญา ตามดูรู้เห็นด้วยปัญญาชี้เหตุชี้ผล ให้ใจมองเห็นความเป็นจริง
เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่า ‘อัตตา’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างนี้ วิญญาณเกิดหรือว่าใจเกิดนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘อัตตาเกิด’ ความเกิดของใจ คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ตัวใจมันอยู่ตรงไหนล่ะที่นี้ ก็อยู่ตรงที่ความเป็นกลาง ความว่างเหมือนกับเรานั่งอยู่ในห้องนี้มีเป็นห้องว่าง แต่ในห้องนี้มีอากาศอยู่ ในกายของเรานี้ก็มีวิญญาณอยู่ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ แต่ไม่มีตัวมีตน แต่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เรารู้ด้วยปัญญาที่เราเกิดจากการเจริญภาวนา แล้วก็เกิดจากการเจริญสตินี่แหละ จากสติแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ต่อเนื่องแล้วก็เป็นมหาสติ มหาสติก็กลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ มองเห็นตามความเป็นจริงแล้วก็ละขัดเกลาเอาออก อะไรควรละอะไรควรเจริญ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร สาเหตุต้นเหตุเหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน กายทวารทั้งหก ทำหน้าที่อย่างไรเห็นมีหมดทุกอย่างอยู่ในกายของเรา เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเจริญสติเข้าให้เข้มแข็งต่อเนื่องสร้างตบะบารมี
ใจของเราเกิดความอยาก ละความอยาก ใจเกิดความโลภ ละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ดับความโกรธ ในการให้อภัยอโหสิกรรม ใจเกิดความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็ละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจเกิดทิฏฐิมานะ เราก็ละทิฏฐิมานะ สร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตา สร้างความอ่อนโยน
มีสัจจะกับตัวเรา มีความจริงใจ รู้จักแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจในชีวิตของเรา อย่าไปทิ้งบุญเด็ดขาด ในการทำบุญในการให้ทาน เพราะว่าทานนี้เป็นพื้นฐานให้ใจของเราสะอาดเบาบาง เข้าไปหาความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นทุกสิ่งทุกอย่างเกื้อหนุนกันหมด ไม่ใช่ว่าจะเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทุกอย่างนี่ต่างก็เกื้อหนุนอิงอาศัยกันอยู่ เหมือนกับเราขึ้นบนบ้านก็ต้องอาศัยบันได บันไดก็อาศัยราวบันได ถ้าไม่มีราวบันไดลูกบันไดก็อยู่ไม่ได้ เราก็เกี่ยวเนื่องกันหมด
สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน อัตตากับอนัตตาก็อยู่ด้วยกัน เหมือนกับน้ำกลิ้งอยู่บนใบบอนหรือว่าน้ำกลิ้งอยู่บนใบบัว ให้เราอยู่ด้วยกันอยู่ด้วยกันทำความเข้าใจ โน่นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งกายก้อนนี้จริงๆ แต่เราแยกแยะด้วยปัญญารู้ด้วยปัญญา เห็นเหตุเห็นผลก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ท่านถึงบอกพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเราแก้ไขตัวเราหมั่นพร่ำสอนตัวเรา บอกเราให้ได้ใช้เราให้เป็น จะปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส ก็เพื่อที่จะคลายความหลง ก็เพื่อที่จะทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ส่งถึงวิมุตติ การเจริญภาวนาการทำความเข้าใจ เราก็ต้องฝึกเอาสติปัญญาไปใช้ ถ้าฝึกเฉยๆ ไม่เอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่ฝึก
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 เมษายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทุกลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังคงพยายามเริ่มเสียนะ ความนึกคิดปรุงแต่งปัญญาเก่าที่เกิดจากจิตหรือว่าเกิดจากวิญญาณอันนี้มีมาเดิม เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ รู้กายรู้การหายใจเข้าออกอันนี้เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ต่อเนื่องกัน จาก 1 ครั้ง 2 ครั้งเป็นหลายๆ ครั้ง จนต่อเนื่อง
ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่อง เราถึงจะมองออกว่า มองเห็นว่า แต่ก่อนนั้นเรามีสติปัญญาอยู่ในระดับของโลกีย์ นี่คือความปกติของสมมติ แต่ความรู้ตัวให้ต่อเนื่องแล้วก็รู้ลึกลงไปรู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดของใจ รู้การเกิดของขันธ์ห้า ว่าใจกับขันธ์ห้าเขาเกิดอย่างไรเขารวมกันได้อย่างไร เราก็จะเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่จะเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง ส่วนใจนั้นก็ส่วนหนึ่งซึ่งเรียกว่ากอง ‘กองวิญญาณ’ ส่วนอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า เขาก็มีมา บางครั้งก็ไม่ได้เกิดจากใจ เขาผุดขึ้นมา แล้วใจเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียว รวมกันไปกับส่วนสมองอีกก็รวมกันไปทั้งก้อน
พระพุทธองค์ท่านให้จำแนกแจกแจงให้ชัดเจน ส่วนความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ๆ ก็เรียกว่า‘สติ’ ถ้าต่อเนื่องเขาก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเราเอาไปใช้ ให้รู้เท่ารู้ทันชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกเขาเรียก ‘ปัญญา’ ถ้าตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง หนึ่งเขาก็เรียกว่า ‘มหาปัญญา’ ตามดูรู้ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน จากมหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ รู้จักขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกไปเรื่อยๆ ละกิเลสใจของเราคลายจากขันธ์ห้า อันนี้ก็ใจก็ปล่อยวางขันธ์ห้า ส่วนรูปกายก็ยังอยู่ ส่วนจิตวิญญาณก็ยังอยู่ แต่รู้ด้วยปัญญาแยกแยะด้วยปัญญา ตามดูรู้เห็นด้วยปัญญาชี้เหตุชี้ผล ให้ใจมองเห็นความเป็นจริง
เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่า ‘อัตตา’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างนี้ วิญญาณเกิดหรือว่าใจเกิดนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘อัตตาเกิด’ ความเกิดของใจ คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ตัวใจมันอยู่ตรงไหนล่ะที่นี้ ก็อยู่ตรงที่ความเป็นกลาง ความว่างเหมือนกับเรานั่งอยู่ในห้องนี้มีเป็นห้องว่าง แต่ในห้องนี้มีอากาศอยู่ ในกายของเรานี้ก็มีวิญญาณอยู่ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ แต่ไม่มีตัวมีตน แต่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เรารู้ด้วยปัญญาที่เราเกิดจากการเจริญภาวนา แล้วก็เกิดจากการเจริญสตินี่แหละ จากสติแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ต่อเนื่องแล้วก็เป็นมหาสติ มหาสติก็กลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ มองเห็นตามความเป็นจริงแล้วก็ละขัดเกลาเอาออก อะไรควรละอะไรควรเจริญ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร สาเหตุต้นเหตุเหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน กายทวารทั้งหก ทำหน้าที่อย่างไรเห็นมีหมดทุกอย่างอยู่ในกายของเรา เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเจริญสติเข้าให้เข้มแข็งต่อเนื่องสร้างตบะบารมี
ใจของเราเกิดความอยาก ละความอยาก ใจเกิดความโลภ ละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ดับความโกรธ ในการให้อภัยอโหสิกรรม ใจเกิดความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็ละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจเกิดทิฏฐิมานะ เราก็ละทิฏฐิมานะ สร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตา สร้างความอ่อนโยน
มีสัจจะกับตัวเรา มีความจริงใจ รู้จักแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจในชีวิตของเรา อย่าไปทิ้งบุญเด็ดขาด ในการทำบุญในการให้ทาน เพราะว่าทานนี้เป็นพื้นฐานให้ใจของเราสะอาดเบาบาง เข้าไปหาความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นทุกสิ่งทุกอย่างเกื้อหนุนกันหมด ไม่ใช่ว่าจะเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทุกอย่างนี่ต่างก็เกื้อหนุนอิงอาศัยกันอยู่ เหมือนกับเราขึ้นบนบ้านก็ต้องอาศัยบันได บันไดก็อาศัยราวบันได ถ้าไม่มีราวบันไดลูกบันไดก็อยู่ไม่ได้ เราก็เกี่ยวเนื่องกันหมด
สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน อัตตากับอนัตตาก็อยู่ด้วยกัน เหมือนกับน้ำกลิ้งอยู่บนใบบอนหรือว่าน้ำกลิ้งอยู่บนใบบัว ให้เราอยู่ด้วยกันอยู่ด้วยกันทำความเข้าใจ โน่นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งกายก้อนนี้จริงๆ แต่เราแยกแยะด้วยปัญญารู้ด้วยปัญญา เห็นเหตุเห็นผลก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ท่านถึงบอกพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเราแก้ไขตัวเราหมั่นพร่ำสอนตัวเรา บอกเราให้ได้ใช้เราให้เป็น จะปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส ก็เพื่อที่จะคลายความหลง ก็เพื่อที่จะทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ส่งถึงวิมุตติ การเจริญภาวนาการทำความเข้าใจ เราก็ต้องฝึกเอาสติปัญญาไปใช้ ถ้าฝึกเฉยๆ ไม่เอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่ฝึก
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ