หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 11
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 11
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 11
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 มกราคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย
หยุดคิด หยุดพูด หยุดคุย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ อย่าไปจดจ่อลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ก็จะชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่สร้างความรับรู้ รู้สึกรับรู้ ลมหายใจวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ถ้าความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ คอยดูรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เหมือนกับนายทวาร รออยู่ที่หน้าประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รับรู้อยู่ รถคันไหนวิ่งออกก็รับรู้อยู่ นี่แหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ถ้าเรารู้ทั้งลมหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
มีความรู้ตัวทั่วพร้อม เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้า-ออก พวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจดูกันเท่าไหร่ปล่อยลมหายใจทิ้ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี คล้ายๆ กัน ความเคยชินเก่าๆ ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอก ทั้งความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ทั้งความทะเยอทะยานอยากของใจส่งออกไปภายนอก เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาเราสำรวจตัวเรา เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก เรามีความโกรธ เราก็พยายามควบคุมความโกรธ แล้วก็รู้จักให้อภัย อโหสิกรรม หมั่นแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ช่วยเหลือตัวเรา ไม่มีใครจะช่วยเหลือตัวเราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง
ทุกคนเกิดมาก็มีบุญอยู่ระดับหนึ่ง แต่เกิดมาด้วยความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ท่านถึงให้มาสร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น อาศัยความเพียร อาศัยความถูกต้อง อาศัยกาลเวลา อาศัยครูบาอาจารย์ชี้แนะแนวทางให้ อันนี้เห็นว่าเด็กๆ นักเรียนที่มาจากโรงเรียน โรงเรียนอะไรนะโรงเรียนโนนทัน มากันหลายๆ ชุด
มีโอกาสครูบาอาจารย์ก็พาลูกศิษย์ลูกหา มาหาประสบการณ์ เรียนที่โรงเรียนก็พร่ำสอนให้ พร่ำสอนแล้วก็ยังไม่พอ ก็ต้องพามาหาประสบการณ์ เปลี่ยนบรรยากาศ กายวิเวกจากบ้าน จากพ่อจากแม่ วิเวกจากสถานที่ มาอยู่ด้วยกันหลายคน ก็ให้มีความรักความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ตบะบารมี’
ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน ไม่เห็นแก่กินไม่เห็นแก่นอน ตื่นเช้าออกมาเดิน ออกมาทำความสะอาด ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง เราพยายามฝึก ให้เกิดความเคยชิน ที่โรงเรียนก็พยายามฝึก เดินเข้าไปไม่ว่าอยู่ที่ไหน เห็นเศษขยะเราก็เก็บ ตรงไหนไม่ดีเราก็ทำ
ห้องส้วมห้องน้ำไม่สะอาด เราก็ทำ เราได้กำไร ถ้าเราจะเข้าห้องส้วม มีหลายห้องเราเดินสำรวจดู ห้องไหนไม่เรียบร้อย นั่นแหละเป็นโอกาสของเราให้เข้าไป เข้าไปทำความสะอาด ไม่ใช่ว่าไปหาเลือกตั้งแต่ห้องที่ดีๆ ห้องที่สะอาด ห้องสกปรกก็ไม่เอา เราเข้าห้องสกปรกได้กำไร ในความเสียสละของเรา เราได้กำไร เราได้ทำความสะอาด สะอาดตาเเล้วก็สะอาดใจ ฝึกหัดให้เกิดความเคยชิน เดินไปตามถนนหนทาง เห็นเศษแก้ว เศษตะปู เห็นเศษกระดาษ เราก็พยายามเก็บ ดูแลรักษาความสะอาด เราก็จะได้ฝึกฝนตัวเราไปด้วยไม่เห็นแก่ตัว
แล้วก็มีสัจจะ มีความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์นี่สำคัญมากทีเดียว ความซื่อสัตย์ต่อตัวเรา ถ้าเราไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตัวเราแล้ว อย่าไปหวังว่าเราจะไปซื่อสัตย์ต่อคนอื่นได้เลย มีความซื่อสัตย์มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป แล้วก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรา เรามีความเกียจคร้าน เราก็สร้างความละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน
ตื่นดึก นอนดึก ขยันอ่านหมั่นเพียร ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจเราก็ข้ามไปก่อน แล้วก็ค่อยวกวนเวียนกลับมาศึกษาทำความเข้าใจใหม่ ไม่ใช่ว่าใกล้ๆ วันจะสอบ อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ ตั้งแต่เช้ายันสว่าง ยิ่งใกล้วันจะสอบ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนอย่างนั้น อย่างนั้นทำผิด พอวันสอบจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อะไร ไปนั่งสัปหงก เราต้องอ่านไปเรื่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปี อ่านไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ตรงไหนไม่เข้าใจเราก็ถามครูบาอาจารย์ ถามหมู่ ถามคณะ เเล้วก็ทบทวน ตรงไหนไม่เข้าใจก็ข้ามไปก่อน อ่านกลับไป อ่านกลับมา วิเคราะห์ หมั่นวิเคราะห์ ไม่เถลไถลหนีไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ตรงนั้นเราก็พยายามแก้ไข กว่าจะได้มาศึกษาเล่าเรียน
พ่อแม่อุตส่าห์ ทำการ ทำงาน หาเงินส่งลูกเรียน กว่าจะได้มาแต่ละบาท แต่ละห้า แต่ละสิบ นี่ลำบากมากทีเดียว ท่านอุตส่าห์ อุตส่าห์หาเงินส่งลูกให้มาเล่าเรียนได้มาศึกษา ให้เราพยายามตั้งใจเรียน เราก็จะได้ทำบุญต่อตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ พ่อแม่ก็ภูมิใจ
เราพยายามอ่านศึกษาไป แต่ละวัน แต่ละเดือน ขึ้นไปเรื่อยๆ ใกล้ๆ จะวันสอบ เราก็พักผ่อนสักอาทิตย์หนึ่ง ถึงเวลาไปสอบ ข้อสอบที่เราอ่าน เราศึกษาทบทวนมาต่างๆ มันก็จะผุดขึ้นมาในใจ ไม่ต้องไปรีบเร่ง ไม่ใช่ว่าใกล้ๆ วันจะสอบ แล้วก็ไปบนบานศาลกล่าวที่โน่นที่นี่ หนังสือไม่อ่าน ตรงนั้นก็ใช้การไม่ได้
ให้เราพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความเสียสละ สร้างความอดทน อาศัยกาลอาศัยเวลา สร้างความเป็นระเบียบให้มีให้เกิดขึ้น ก็จะส่งผลถึงวันข้างหน้า ถ้าเราเกียจคร้าน มันก็จะสะสมความเกียจคร้านไปเรื่อยๆ จากน้อยๆ ไปหามากๆ ถึงวันข้างหน้า ก็หมู่คณะเพื่อนฝูง
ถ้าคนอื่นเขาขยันเขาก็ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จะตกอับ ละอายหมู่ อายคณะ เพื่อนเรียนศึกษาได้ทำการ ทำงาน มีเงิน มีความรับผิดชอบ ตัวเราไม่มีอะไร ที่จะเป็นที่พึ่งได้ มันก็จะส่งผลให้จิตใจของตัวเราตกต่ำ เรามีโอกาส โอกาสมากที่ได้มีการศึกษา พ่อแม่ก็ยังมีกำลังส่งให้ เราพยายามตั้งใจเรียน เรียนจบ ทำการทำงาน อยากจะเที่ยวก็ค่อยว่ากัน หมู่คณะเพื่อนฝูง เราก็คบกันเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่เล่น แต่กิน แต่เที่ยว อนาคตก็จะเสีย เราก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เหมือนกันหมด ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ก็รู้จักวิธีการเจริญภาวนา ลักษณะของการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมใจเป็นอย่างนี้ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร เรามีหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ทำหน้าที่อย่างไร ความเกิดของจิตวิญญาณในกายของเรา เขาเกิดอย่างไร เราก็ต้องหัดวิเคราะห์ อันนี้คือการเจริญสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดของใจ อาการของใจเป็นลักษณะอย่างนี้ การแยกการคลายการแยกการคลายการหงาย การแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างนี้ การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดต่างๆ ก็จะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนมองเห็นชัดเจน มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน
ไม่ใช่ว่าฉันไปมาบวชแล้วก็ได้บุญแล้ว อันนี้ก็ได้บุญอยู่ในระดับของสมมติ บุญวิมุตติเราก็ต้องศึกษาค้นคว้า สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ไม่ใช่ว่าไปรอให้คนโน้นคนนี้เขามาสอนเขามาชี้ อันนี้ก็ครูบาอาจารย์ตำรา อันนี้ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าตัวเราไม่รู้จักวิเคราะห์ตัวเราแก้ไขตัวเรา อะไรก็มาช่วยเหลือเราไม่ได้ นอกจากตัวของเรา
ท่านถึงบอกว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ เป็นที่พึ่งสติปัญญา เป็นที่พึ่งของใจ ใจก็อาศัยกาย กายก็อาศัยสมมติ อาศัยปัจจัยสี่ อาศัยโลกธรรม เกี่ยวเนื่องกัน ถ้าถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง
เราต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อน ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด เพราะว่าความเป็นจริงมันเป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่ตาย ขณะที่ยังมีกำลัง มีลมหายใจ เราพยายามรีบสร้างตบะบารมีสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยม ก็จะได้ไม่เสียที เสียเที่ยว ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 มกราคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย
หยุดคิด หยุดพูด หยุดคุย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ อย่าไปจดจ่อลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ก็จะชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่สร้างความรับรู้ รู้สึกรับรู้ ลมหายใจวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ถ้าความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ คอยดูรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เหมือนกับนายทวาร รออยู่ที่หน้าประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รับรู้อยู่ รถคันไหนวิ่งออกก็รับรู้อยู่ นี่แหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ถ้าเรารู้ทั้งลมหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
มีความรู้ตัวทั่วพร้อม เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้า-ออก พวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจดูกันเท่าไหร่ปล่อยลมหายใจทิ้ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี คล้ายๆ กัน ความเคยชินเก่าๆ ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอก ทั้งความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ทั้งความทะเยอทะยานอยากของใจส่งออกไปภายนอก เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาเราสำรวจตัวเรา เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก เรามีความโกรธ เราก็พยายามควบคุมความโกรธ แล้วก็รู้จักให้อภัย อโหสิกรรม หมั่นแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ช่วยเหลือตัวเรา ไม่มีใครจะช่วยเหลือตัวเราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง
ทุกคนเกิดมาก็มีบุญอยู่ระดับหนึ่ง แต่เกิดมาด้วยความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ท่านถึงให้มาสร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น อาศัยความเพียร อาศัยความถูกต้อง อาศัยกาลเวลา อาศัยครูบาอาจารย์ชี้แนะแนวทางให้ อันนี้เห็นว่าเด็กๆ นักเรียนที่มาจากโรงเรียน โรงเรียนอะไรนะโรงเรียนโนนทัน มากันหลายๆ ชุด
มีโอกาสครูบาอาจารย์ก็พาลูกศิษย์ลูกหา มาหาประสบการณ์ เรียนที่โรงเรียนก็พร่ำสอนให้ พร่ำสอนแล้วก็ยังไม่พอ ก็ต้องพามาหาประสบการณ์ เปลี่ยนบรรยากาศ กายวิเวกจากบ้าน จากพ่อจากแม่ วิเวกจากสถานที่ มาอยู่ด้วยกันหลายคน ก็ให้มีความรักความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ตบะบารมี’
ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน ไม่เห็นแก่กินไม่เห็นแก่นอน ตื่นเช้าออกมาเดิน ออกมาทำความสะอาด ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง เราพยายามฝึก ให้เกิดความเคยชิน ที่โรงเรียนก็พยายามฝึก เดินเข้าไปไม่ว่าอยู่ที่ไหน เห็นเศษขยะเราก็เก็บ ตรงไหนไม่ดีเราก็ทำ
ห้องส้วมห้องน้ำไม่สะอาด เราก็ทำ เราได้กำไร ถ้าเราจะเข้าห้องส้วม มีหลายห้องเราเดินสำรวจดู ห้องไหนไม่เรียบร้อย นั่นแหละเป็นโอกาสของเราให้เข้าไป เข้าไปทำความสะอาด ไม่ใช่ว่าไปหาเลือกตั้งแต่ห้องที่ดีๆ ห้องที่สะอาด ห้องสกปรกก็ไม่เอา เราเข้าห้องสกปรกได้กำไร ในความเสียสละของเรา เราได้กำไร เราได้ทำความสะอาด สะอาดตาเเล้วก็สะอาดใจ ฝึกหัดให้เกิดความเคยชิน เดินไปตามถนนหนทาง เห็นเศษแก้ว เศษตะปู เห็นเศษกระดาษ เราก็พยายามเก็บ ดูแลรักษาความสะอาด เราก็จะได้ฝึกฝนตัวเราไปด้วยไม่เห็นแก่ตัว
แล้วก็มีสัจจะ มีความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์นี่สำคัญมากทีเดียว ความซื่อสัตย์ต่อตัวเรา ถ้าเราไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตัวเราแล้ว อย่าไปหวังว่าเราจะไปซื่อสัตย์ต่อคนอื่นได้เลย มีความซื่อสัตย์มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป แล้วก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรา เรามีความเกียจคร้าน เราก็สร้างความละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน
ตื่นดึก นอนดึก ขยันอ่านหมั่นเพียร ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจเราก็ข้ามไปก่อน แล้วก็ค่อยวกวนเวียนกลับมาศึกษาทำความเข้าใจใหม่ ไม่ใช่ว่าใกล้ๆ วันจะสอบ อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ ตั้งแต่เช้ายันสว่าง ยิ่งใกล้วันจะสอบ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนอย่างนั้น อย่างนั้นทำผิด พอวันสอบจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อะไร ไปนั่งสัปหงก เราต้องอ่านไปเรื่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปี อ่านไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ตรงไหนไม่เข้าใจเราก็ถามครูบาอาจารย์ ถามหมู่ ถามคณะ เเล้วก็ทบทวน ตรงไหนไม่เข้าใจก็ข้ามไปก่อน อ่านกลับไป อ่านกลับมา วิเคราะห์ หมั่นวิเคราะห์ ไม่เถลไถลหนีไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ตรงนั้นเราก็พยายามแก้ไข กว่าจะได้มาศึกษาเล่าเรียน
พ่อแม่อุตส่าห์ ทำการ ทำงาน หาเงินส่งลูกเรียน กว่าจะได้มาแต่ละบาท แต่ละห้า แต่ละสิบ นี่ลำบากมากทีเดียว ท่านอุตส่าห์ อุตส่าห์หาเงินส่งลูกให้มาเล่าเรียนได้มาศึกษา ให้เราพยายามตั้งใจเรียน เราก็จะได้ทำบุญต่อตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ พ่อแม่ก็ภูมิใจ
เราพยายามอ่านศึกษาไป แต่ละวัน แต่ละเดือน ขึ้นไปเรื่อยๆ ใกล้ๆ จะวันสอบ เราก็พักผ่อนสักอาทิตย์หนึ่ง ถึงเวลาไปสอบ ข้อสอบที่เราอ่าน เราศึกษาทบทวนมาต่างๆ มันก็จะผุดขึ้นมาในใจ ไม่ต้องไปรีบเร่ง ไม่ใช่ว่าใกล้ๆ วันจะสอบ แล้วก็ไปบนบานศาลกล่าวที่โน่นที่นี่ หนังสือไม่อ่าน ตรงนั้นก็ใช้การไม่ได้
ให้เราพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความเสียสละ สร้างความอดทน อาศัยกาลอาศัยเวลา สร้างความเป็นระเบียบให้มีให้เกิดขึ้น ก็จะส่งผลถึงวันข้างหน้า ถ้าเราเกียจคร้าน มันก็จะสะสมความเกียจคร้านไปเรื่อยๆ จากน้อยๆ ไปหามากๆ ถึงวันข้างหน้า ก็หมู่คณะเพื่อนฝูง
ถ้าคนอื่นเขาขยันเขาก็ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จะตกอับ ละอายหมู่ อายคณะ เพื่อนเรียนศึกษาได้ทำการ ทำงาน มีเงิน มีความรับผิดชอบ ตัวเราไม่มีอะไร ที่จะเป็นที่พึ่งได้ มันก็จะส่งผลให้จิตใจของตัวเราตกต่ำ เรามีโอกาส โอกาสมากที่ได้มีการศึกษา พ่อแม่ก็ยังมีกำลังส่งให้ เราพยายามตั้งใจเรียน เรียนจบ ทำการทำงาน อยากจะเที่ยวก็ค่อยว่ากัน หมู่คณะเพื่อนฝูง เราก็คบกันเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่เล่น แต่กิน แต่เที่ยว อนาคตก็จะเสีย เราก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เหมือนกันหมด ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ก็รู้จักวิธีการเจริญภาวนา ลักษณะของการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมใจเป็นอย่างนี้ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร เรามีหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ทำหน้าที่อย่างไร ความเกิดของจิตวิญญาณในกายของเรา เขาเกิดอย่างไร เราก็ต้องหัดวิเคราะห์ อันนี้คือการเจริญสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดของใจ อาการของใจเป็นลักษณะอย่างนี้ การแยกการคลายการแยกการคลายการหงาย การแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างนี้ การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดต่างๆ ก็จะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนมองเห็นชัดเจน มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน
ไม่ใช่ว่าฉันไปมาบวชแล้วก็ได้บุญแล้ว อันนี้ก็ได้บุญอยู่ในระดับของสมมติ บุญวิมุตติเราก็ต้องศึกษาค้นคว้า สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ไม่ใช่ว่าไปรอให้คนโน้นคนนี้เขามาสอนเขามาชี้ อันนี้ก็ครูบาอาจารย์ตำรา อันนี้ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าตัวเราไม่รู้จักวิเคราะห์ตัวเราแก้ไขตัวเรา อะไรก็มาช่วยเหลือเราไม่ได้ นอกจากตัวของเรา
ท่านถึงบอกว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ เป็นที่พึ่งสติปัญญา เป็นที่พึ่งของใจ ใจก็อาศัยกาย กายก็อาศัยสมมติ อาศัยปัจจัยสี่ อาศัยโลกธรรม เกี่ยวเนื่องกัน ถ้าถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง
เราต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อน ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด เพราะว่าความเป็นจริงมันเป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่ตาย ขณะที่ยังมีกำลัง มีลมหายใจ เราพยายามรีบสร้างตบะบารมีสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยม ก็จะได้ไม่เสียที เสียเที่ยว ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา