หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 68
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 68
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 68
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 17 มิถุนายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายวางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เราได้วางพันธะ ภาระหน้าที่ทางสมมติทางบ้าน ทางภาระหน้าที่การงานที่เคยทำ เข้ามาทำบุญถวายทานทางด้านวัตถุทาน
ทีนี้เรามาทานความคิด ทานอารมณ์ หยุด เราทานไม่ได้เราหยุดเสียก่อน หยุดด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจเป็นธรรมชาติที่สุด ความรู้สึกไม่ชัดเจน เราพยายามสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน หายใจยาวเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจออก หายใจเข้า หายใจสั้น หายใจยาว หายใจธรรมชาติ
สัมผัสของลมหายใจเวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปแรงๆ ความรู้สึกลมกระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ ที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เราพยายามรู้ทั้งหายใจเข้าหายใจออกตั้งแต่ตื่นขึ้น เพื่อที่จะสร้างความรู้ตัวของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ให้เข้มแข็ง ก็เพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของเรา
แต่เวลานี้ใจของเรานั้นทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด เราไม่มีสติปัญญาที่จะเข้าไปแยกเข้าไปคลาย เราก็เลยไม่รู้ว่าเราหลงเรายึด เราอาจจะว่าเราทำถูกอยู่ระดับของสมมติ มันก็ถูกอยู่ แต่ในหลักธรรมแล้วความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ คืออัตภาพร่างกายขันธ์ห้าของเรา พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติเข้าลงที่กายของเราให้ได้
ลึกลงไปรู้เท่าทันการเกิดของใจ รู้การดับ การควบคุม การชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนกายก็เป็นรูปธรรม กำลังสติตามดูเห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง-ความไม่เที่ยง’ ของขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความเปลี่ยนแปลงของอาการของความคิดซึ่งเราไม่ได้ตั้งใจคิด เกิดจากตัวใจ เกิดจากอาการของใจบ้าง ใจของเราเข้าไปรวมจนเป็นตัวเดียวกัน บางทีก็รวมกันไปทั้งสติปัญญาไปทั้งก้อน ก็หลงไปทั้งก้อนนั่นแหละ
พระพุทธองค์ท่านจึงให้เจริญสติตัวใหม่ สร้างผู้รู้ ใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้ เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งเป็นทาสของกิเลส แต่เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ มีตั้งแต่ส่งเสริมหากิเลสเข้ามาทับถมดวงใจของตัวเรา
กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบทั้งอยากทั้งไม่อยาก ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทุกอย่างเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาโอกาสหาเวลาที่จะมาต่อสู้ ธรรมกับอธรรม เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทั้งบุญทั้งบาป ทั้งความเกิด
ถ้าเรายังแยกแยะไม่ได้ก็อาจจะหลง หลงอยู่ในระดับของสมมติ หลงอยู่ในความเกิด เราอาจจะละบาปได้สร้างบุญได้ แต่เราก็ยังหลงยึดติดอยู่ในบุญ ตราบใดที่ใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้า ก็ยังหลงยังยึดอยู่ ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่สูญหายไม่เสียหลายอะไร เราก็ต้องพยายาม
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่นู่น.. การเจริญสติเป็นอย่างนี้ คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เป็นอย่างนี้ ทุกขณะจิตเป็นอย่างนี้ แต่เวลานี้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ เพียงแค่การเจริญ การทำให้มีให้เกิด ตรงนี้ก็ยังยากลำบากอยู่
ส่วนศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรมตรงนี้มีอยู่ การฝักใฝ่ทำบุญนั้นมีอยู่ ความอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว นั้นมีอยู่ การสนใจการทำความเข้าใจ อาจจะทำความเข้าใจได้เป็นบางช่วง บางครั้งบางคราว เราไม่ได้ทำความเข้าใจให้ได้ตลอดตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ อันนี้เป็นเหตุ เหตุทางด้านรูปธรรมก็เป็นลักษณะอย่างนี้ เหตุทางด้านนามธรรม คือความเกิด เกิดของจิตวิญญาณ ความเกิดของอาการของความคิด เขาเกิดๆ ดับๆ
พระพุทธองค์เน้นลงให้รู้ทั้ง 2 อย่าง ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งสมมติวิมุตติ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา รอบรู้ในปัจจัย ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รอบรู้ในโลกธรรม ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่กับสมมติไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึด อยู่เหนือบุญเหนือบาปได้นั่นแหละ ถึงจะอยู่ในความเป็นกลางได้ นั่นแหละ ถึงจะมองเห็นความสุขที่ถาวร
ความสุขภายนอกเราก็ได้อยู่ ความสุขทางสมมติ ความเป็นอยู่ เราก็พยายามยังประโยชน์ ยังสมมติของเราให้สมบูรณ์แบบ ก็ส่งผลถึงกายของเราให้อยู่ดีมีความสุข ทางด้านจิตใจ เราก็พยายามเจริญพรหมวิหาร เจริญความเมตตา ทำใจของเราให้มีความเห็นถูก คือสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิในหลักธรรมคือใจต้องคลายจากขันธ์ห้า ใจหงายจากรูปนามเสียก่อน ใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามให้ได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนาม เพียงแค่ใจคลายนั้นเพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นของความเห็นถูก หรือว่าสัมมาทิฏฐิ
ถ้าเราเห็นถูกตั้งแต่ต้นเหตุ มันก็จะเห็นถูก ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร คำว่าสักแต่ว่าดู คำว่าสักแต่ว่ารู้ คำว่าสักแต่ว่าฟัง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจ ทวารทั้งหก เขาทำหน้าที่ของเขา ทุกเรื่อง
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ว่าจะทำเฉพาะการเจริญสติ จะทำเฉพาะการนั่งสมาธิ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งหมดลมหายใจ เราต้องดูอันนี้ใจนะ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ อันนี้กายนะ กายเจ็บปวดป่วย เราก็รู้จักดูแลรักษา อันนี้สมมตินะ เราจะเอาสมมติมาใช้ไม่ให้ใจเกิดกิเลสได้อย่างไร ไม่ให้ใจเข้าไปหลงไปยึดได้อย่างไร
เราต้องคลายจากภายในเสร็จก่อน… ไม่เหลือวิสัย บุคคลมีบุญมีกุศลมีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ น้อมเข้าไปดูที่ใจของเรา ใจของเรามีพรหมวิหารมีความเมตตาหรือไม่ ใจของเรามีความอ่อนโยน มีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่า หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ
แต่ละวันความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากเข้าครอบงำ ความเกิดเข้าครอบงำ เราต้องพยายามหัดสร้างความรู้ตัว เจริญสติให้เข้มแข็ง เพื่อที่จะเอาไปใช้การใช้งาน เพื่อที่จะอบรมใจ เจริญสติเป็นเพื่อนใจ คอยอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ทำปุ๊บมันไม่ได้ปั๊บหรอก ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป
เพียงแค่รู้จักจำแนกแจกแจง อันนี้ลักษณะของสติ ความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างไร ความรู้ตัวที่เชื่อมโยงเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดของใจเป็นลักษณะอย่างนี้ เราควบคุมใจของเราได้หรือไม่
ใหม่ๆ ก็อาจจะควบคุม ทั้งขนาบทั้งหาวิธีหาอุบายที่จะทำใจของเราให้สงบ ถ้าใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาแล้ว สติปัญญาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจมองเห็นความเป็นจริง เขาก็จะปล่อยวางของเขาโดยอัตโนมัติ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา เราก็ต้องพยายาม พยายามดู
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่จะปลายจมูกของเรานะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 17 มิถุนายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายวางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เราได้วางพันธะ ภาระหน้าที่ทางสมมติทางบ้าน ทางภาระหน้าที่การงานที่เคยทำ เข้ามาทำบุญถวายทานทางด้านวัตถุทาน
ทีนี้เรามาทานความคิด ทานอารมณ์ หยุด เราทานไม่ได้เราหยุดเสียก่อน หยุดด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจเป็นธรรมชาติที่สุด ความรู้สึกไม่ชัดเจน เราพยายามสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน หายใจยาวเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจออก หายใจเข้า หายใจสั้น หายใจยาว หายใจธรรมชาติ
สัมผัสของลมหายใจเวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปแรงๆ ความรู้สึกลมกระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ ที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เราพยายามรู้ทั้งหายใจเข้าหายใจออกตั้งแต่ตื่นขึ้น เพื่อที่จะสร้างความรู้ตัวของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ให้เข้มแข็ง ก็เพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของเรา
แต่เวลานี้ใจของเรานั้นทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด เราไม่มีสติปัญญาที่จะเข้าไปแยกเข้าไปคลาย เราก็เลยไม่รู้ว่าเราหลงเรายึด เราอาจจะว่าเราทำถูกอยู่ระดับของสมมติ มันก็ถูกอยู่ แต่ในหลักธรรมแล้วความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ คืออัตภาพร่างกายขันธ์ห้าของเรา พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติเข้าลงที่กายของเราให้ได้
ลึกลงไปรู้เท่าทันการเกิดของใจ รู้การดับ การควบคุม การชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนกายก็เป็นรูปธรรม กำลังสติตามดูเห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง-ความไม่เที่ยง’ ของขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความเปลี่ยนแปลงของอาการของความคิดซึ่งเราไม่ได้ตั้งใจคิด เกิดจากตัวใจ เกิดจากอาการของใจบ้าง ใจของเราเข้าไปรวมจนเป็นตัวเดียวกัน บางทีก็รวมกันไปทั้งสติปัญญาไปทั้งก้อน ก็หลงไปทั้งก้อนนั่นแหละ
พระพุทธองค์ท่านจึงให้เจริญสติตัวใหม่ สร้างผู้รู้ ใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้ เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งเป็นทาสของกิเลส แต่เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ มีตั้งแต่ส่งเสริมหากิเลสเข้ามาทับถมดวงใจของตัวเรา
กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบทั้งอยากทั้งไม่อยาก ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทุกอย่างเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาโอกาสหาเวลาที่จะมาต่อสู้ ธรรมกับอธรรม เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทั้งบุญทั้งบาป ทั้งความเกิด
ถ้าเรายังแยกแยะไม่ได้ก็อาจจะหลง หลงอยู่ในระดับของสมมติ หลงอยู่ในความเกิด เราอาจจะละบาปได้สร้างบุญได้ แต่เราก็ยังหลงยึดติดอยู่ในบุญ ตราบใดที่ใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้า ก็ยังหลงยังยึดอยู่ ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่สูญหายไม่เสียหลายอะไร เราก็ต้องพยายาม
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่นู่น.. การเจริญสติเป็นอย่างนี้ คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เป็นอย่างนี้ ทุกขณะจิตเป็นอย่างนี้ แต่เวลานี้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ เพียงแค่การเจริญ การทำให้มีให้เกิด ตรงนี้ก็ยังยากลำบากอยู่
ส่วนศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรมตรงนี้มีอยู่ การฝักใฝ่ทำบุญนั้นมีอยู่ ความอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว นั้นมีอยู่ การสนใจการทำความเข้าใจ อาจจะทำความเข้าใจได้เป็นบางช่วง บางครั้งบางคราว เราไม่ได้ทำความเข้าใจให้ได้ตลอดตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ อันนี้เป็นเหตุ เหตุทางด้านรูปธรรมก็เป็นลักษณะอย่างนี้ เหตุทางด้านนามธรรม คือความเกิด เกิดของจิตวิญญาณ ความเกิดของอาการของความคิด เขาเกิดๆ ดับๆ
พระพุทธองค์เน้นลงให้รู้ทั้ง 2 อย่าง ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งสมมติวิมุตติ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา รอบรู้ในปัจจัย ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รอบรู้ในโลกธรรม ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่กับสมมติไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึด อยู่เหนือบุญเหนือบาปได้นั่นแหละ ถึงจะอยู่ในความเป็นกลางได้ นั่นแหละ ถึงจะมองเห็นความสุขที่ถาวร
ความสุขภายนอกเราก็ได้อยู่ ความสุขทางสมมติ ความเป็นอยู่ เราก็พยายามยังประโยชน์ ยังสมมติของเราให้สมบูรณ์แบบ ก็ส่งผลถึงกายของเราให้อยู่ดีมีความสุข ทางด้านจิตใจ เราก็พยายามเจริญพรหมวิหาร เจริญความเมตตา ทำใจของเราให้มีความเห็นถูก คือสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิในหลักธรรมคือใจต้องคลายจากขันธ์ห้า ใจหงายจากรูปนามเสียก่อน ใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามให้ได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนาม เพียงแค่ใจคลายนั้นเพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นของความเห็นถูก หรือว่าสัมมาทิฏฐิ
ถ้าเราเห็นถูกตั้งแต่ต้นเหตุ มันก็จะเห็นถูก ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร คำว่าสักแต่ว่าดู คำว่าสักแต่ว่ารู้ คำว่าสักแต่ว่าฟัง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจ ทวารทั้งหก เขาทำหน้าที่ของเขา ทุกเรื่อง
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ว่าจะทำเฉพาะการเจริญสติ จะทำเฉพาะการนั่งสมาธิ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งหมดลมหายใจ เราต้องดูอันนี้ใจนะ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ อันนี้กายนะ กายเจ็บปวดป่วย เราก็รู้จักดูแลรักษา อันนี้สมมตินะ เราจะเอาสมมติมาใช้ไม่ให้ใจเกิดกิเลสได้อย่างไร ไม่ให้ใจเข้าไปหลงไปยึดได้อย่างไร
เราต้องคลายจากภายในเสร็จก่อน… ไม่เหลือวิสัย บุคคลมีบุญมีกุศลมีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ น้อมเข้าไปดูที่ใจของเรา ใจของเรามีพรหมวิหารมีความเมตตาหรือไม่ ใจของเรามีความอ่อนโยน มีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่า หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ
แต่ละวันความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากเข้าครอบงำ ความเกิดเข้าครอบงำ เราต้องพยายามหัดสร้างความรู้ตัว เจริญสติให้เข้มแข็ง เพื่อที่จะเอาไปใช้การใช้งาน เพื่อที่จะอบรมใจ เจริญสติเป็นเพื่อนใจ คอยอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ทำปุ๊บมันไม่ได้ปั๊บหรอก ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป
เพียงแค่รู้จักจำแนกแจกแจง อันนี้ลักษณะของสติ ความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างไร ความรู้ตัวที่เชื่อมโยงเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดของใจเป็นลักษณะอย่างนี้ เราควบคุมใจของเราได้หรือไม่
ใหม่ๆ ก็อาจจะควบคุม ทั้งขนาบทั้งหาวิธีหาอุบายที่จะทำใจของเราให้สงบ ถ้าใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาแล้ว สติปัญญาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจมองเห็นความเป็นจริง เขาก็จะปล่อยวางของเขาโดยอัตโนมัติ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา เราก็ต้องพยายาม พยายามดู
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่จะปลายจมูกของเรานะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ