หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 118
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 118
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 118
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 ธันวาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พวกเราพากันสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
อย่าไปคิดว่าฝึกเวลาโน้นฝึกเวลานี้ เราต้องเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานอยู่ตลอดเวลา ใจที่เบิกบานจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่หลงขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ความรู้ตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา หมั่นอบรมใจของเราจนเห็นใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละสำคัญ คลายความหลงถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าก็จะเป็นสัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก ทำความเห็นถูกให้ตรง อย่าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าของเรามาโต้แย้ง หรือว่ามาแก้ไข
เราต้องเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออก ใจหงายออก คลายออกจากขันธ์ห้า ใจก็จะว่างกายก็จะเบา นั่นแหละคือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ตามทำความเข้าใจในเรื่องขันธ์ห้า เห็นความเกิดความดับ เป็นเรื่องอะไรบ้างที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นเรื่องอดีตก็เป็นกองของสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ กองรูป กองนาม
ในเมื่อเราเห็นชัดเจนเราก็ตามดู ตามดูจากต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ใช้สติ ใช้สติตามดู ใจรับรู้อยู่ในความว่าง ทุกเรื่อง ถ้าใจจะเกิดเข้าไปร่วม เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักควบคุม ใจจะปรุงแต่งเราก็รู้จักดับ ใจไม่มีกิเลสเขาก็สงบ ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง ความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ความเกิดนี้หลายซับหลายซ้อน ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นเราอย่าเพิ่งไปนั่นเขา เรามาดูใจซึ่งเกิดมาอยู่ในกายของเรา มาสร้างภพมนุษย์ตรงนี้ให้ได้ เขามาสร้างอัตภาพร่างกาย สร้างภพมนุษย์ขึ้นมาแล้วก็มายึด
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเราให้ได้ อบรมใจของเราให้ได้ทุกวิถีทางที่จะเอาใจของเราให้อยู่ ด้วยการสร้างตบะสร้างบารมี ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจของเราเกิดความโกรธก็ละความโกรธ เราละเฉยๆ ไม่ได้ เราต้องพยายามเจริญพรหมวิหารเข้าไปด้วย ใจเกิดความโกรธ เราก็ดับความโกรธแล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เลือกเฉพาะส่วนที่ดีๆ ใจเกิดความอยาก เราก็ละความอยากด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย เอาออกจากใจของเรา พยายามฝึกให้ติดเป็นนิสัย
ความละอายเกรงกลัวต่อบาปของใจของเรามีหรือไม่ ความกล้าหาญของเรามีหรือไม่ ทิฏฐิความเห็น เห็นแบบโลกีย์แบบโลกๆ อย่าเพิ่งเอามาโต้เถียง เราก็พยายามเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล รู้ว่าใจที่ว่างจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นลักษณะอย่างนี้ ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาไปคิดเอา...ไม่ใช่ การนึกการคิดนั่นเขาเรียกว่า 'วิปัสสนึก' ถึงจะพิจารณาในธรรม ใจยังเกิดยังหลงอยู่ก็เป็นกิเลสธรรม ก็ปิดกั้นตัวใจของเราเอาไว้หมด
ถ้าเราหมั่นสังเกตดูอยู่บ่อยๆ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ถึงเรียกว่า 'สมถภาวนา' พยายามฝึกให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จนกำลังสติของเราต่อเนื่องเข้มแข็ง จนรู้เท่ารู้ทัน จนแยกแยะได้ กำลังสติก็จะพุ่งแรงเป็นมหาสติ ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็จะหลุด เราต้องพยายามตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ทุกเรื่อง จนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้เข้าไปแก้ไข เราก็จะได้มีความสุข มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น มีความสุขดูแลรักษากายไปจนกว่าเขาจะแตกจะดับ ถ้าถึงเวลาเขาก็ต้องแตกดับเพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ทุกคนมีความเกิดก็มีความตาย
ความเกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว ทีนี้เกิดทางด้านจิตวิญญาณนี่ก็ ทั้งวิญญาณเกิด ขันธ์ห้าเกิด ทั้งรวมไปทั้งจิตวิญญาณ ทั้งสติปัญญาทั้งขันธ์ห้ารวมกันไปทั้งก้อน เราพยายามเจริญสติของเราออกมาขึ้นมาให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง เอาไปอบรมใจ ไปชี้เหตุชี้ผล กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ตั้งแต่เช้ามา ใจเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ภาษาธรรมเป็นอย่างไร ภาษาโลกเป็นอย่างไร ถ้าเราใจคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘ภาษาธรรม’ เข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เห็น...เห็นลักษณะหน้าตาอาการของความคิด เข้าใจคำว่า ‘สมมติ วิมุตติ’ เข้าใจคำว่า ‘ปล่อยวาง’ ปล่อยวางที่ใจ ดับความเกิดที่ใจ แต่ส่วนกายนี้ก็เกิดมาแล้วเราก็ดูแลรักษาเขาไป ซึ่งเรียกว่า ‘ก้อนสมมติ’ หรือว่าก้อนกรรม กรรมซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมคืออาการของใจ เราต้องดูให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
ถ้ากำลังสติของเราตามดูรู้เห็นว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ถ้าเขารู้แจ้งแทงตลอดหมดแล้ว สติ ปัญญา สมาธิ นั่นแหละเขาจะรักษาเราเอง ไม่จำเป็นที่จะไปรักษานั่นตลอดหรอก สติ ปัญญา สมาธิ หรือว่าธรรม จะรักษาเรา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะเข้าไปหาเหตุหาผล ทำความเข้าใจให้ได้ ตรงนี้มันก็ต้องมีความเพียร ความเพียรอย่างยิ่งยวด ความเพียรเป็นเลิศ ในการวิเคราะห์ในการพิจารณา
ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ฉันจะเข้าใจ ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ฉันจะเข้าถึง อย่างนั้นมันเป็นแค่เพียงปัญญาโลกีย์ เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย แล้วก็เห็นหนทางเดินของเราด้วย ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ส่วนมากก็มีตั้งแต่กระโดดข้ามจะเอาตั้งแต่ผล ไม่เห็นเหตุเห็นผลเสียก่อน มันก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันยิ่งใหญ่ในภายในใจของเรา
เราต้องพยายามรื้อของเก่าออกให้มันหมด จนเหลืออยู่ที่ความบริสุทธิ์หรือว่าเหลืออยู่ที่ศูนย์ แล้วก็เพิ่มปัญญาใหม่ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เข้าไปทำความเข้าใจ อบรม ถ้าใจของเรายังเกิดเราก็พยายามดับ พยายามควบคุมแล้วก็อบรม กระหนาบแล้วกระหนาบอีก แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคล เราต้องแยกแยะให้ชัดเจนว่า อันนี้คือสติที่เราสร้างขึ้นมานะ อันนี้คือใจนะ ต่อไปข้างหน้าอันนี้คืออาการของใจ อาการของขันธ์ห้านะ เห็นเหตุเห็นผลให้ชัดเจน
แยกแยะความอยากความหิว กายของเราหิวใจของเราเกิดความอยาก แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา ทวารทั้งหกก็ทำหน้าที่ของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นธรรมชาติหมด ถ้าเข้าถึงจุดหมายปลายทางที่แท้จริง ธรรมชาติของกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลสที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างนี้
วางกาย วางใจ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น ถ้าเราอยากจะมีมาก อยากจะเอามาก ก็เป็นไปตามความต้องการของสติปัญญา ขยันหมั่นเพียรด้วยสติปัญญา ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้าง ถ้าเราทำความเข้าใจได้แล้วมีแต่ความสุข กายก็สุขใจก็สุข สนุกอยู่กับบุญ บุญไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่วาจาของเรา อยู่ที่ใจของเรา นอกนั้นก็มีตั้งแต่กำไรให้กับหมู่คณะ กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
ความตายนี่มีกันทุกคน มารับเอาโลงศพทุกวัน เมื่อวานนี้ก็ 3-4 โลงวันก่อนนั้นก็ 3 4 โลง เผลอแป๊บเดียวก็ปาเข้าไปร่วม 2,000 แล้ว เราก็จะได้ไปเหมือนกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 ธันวาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พวกเราพากันสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
อย่าไปคิดว่าฝึกเวลาโน้นฝึกเวลานี้ เราต้องเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานอยู่ตลอดเวลา ใจที่เบิกบานจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่หลงขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ความรู้ตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา หมั่นอบรมใจของเราจนเห็นใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละสำคัญ คลายความหลงถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าก็จะเป็นสัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก ทำความเห็นถูกให้ตรง อย่าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าของเรามาโต้แย้ง หรือว่ามาแก้ไข
เราต้องเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออก ใจหงายออก คลายออกจากขันธ์ห้า ใจก็จะว่างกายก็จะเบา นั่นแหละคือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ตามทำความเข้าใจในเรื่องขันธ์ห้า เห็นความเกิดความดับ เป็นเรื่องอะไรบ้างที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นเรื่องอดีตก็เป็นกองของสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ กองรูป กองนาม
ในเมื่อเราเห็นชัดเจนเราก็ตามดู ตามดูจากต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ใช้สติ ใช้สติตามดู ใจรับรู้อยู่ในความว่าง ทุกเรื่อง ถ้าใจจะเกิดเข้าไปร่วม เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักควบคุม ใจจะปรุงแต่งเราก็รู้จักดับ ใจไม่มีกิเลสเขาก็สงบ ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง ความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ความเกิดนี้หลายซับหลายซ้อน ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นเราอย่าเพิ่งไปนั่นเขา เรามาดูใจซึ่งเกิดมาอยู่ในกายของเรา มาสร้างภพมนุษย์ตรงนี้ให้ได้ เขามาสร้างอัตภาพร่างกาย สร้างภพมนุษย์ขึ้นมาแล้วก็มายึด
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเราให้ได้ อบรมใจของเราให้ได้ทุกวิถีทางที่จะเอาใจของเราให้อยู่ ด้วยการสร้างตบะสร้างบารมี ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจของเราเกิดความโกรธก็ละความโกรธ เราละเฉยๆ ไม่ได้ เราต้องพยายามเจริญพรหมวิหารเข้าไปด้วย ใจเกิดความโกรธ เราก็ดับความโกรธแล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เลือกเฉพาะส่วนที่ดีๆ ใจเกิดความอยาก เราก็ละความอยากด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย เอาออกจากใจของเรา พยายามฝึกให้ติดเป็นนิสัย
ความละอายเกรงกลัวต่อบาปของใจของเรามีหรือไม่ ความกล้าหาญของเรามีหรือไม่ ทิฏฐิความเห็น เห็นแบบโลกีย์แบบโลกๆ อย่าเพิ่งเอามาโต้เถียง เราก็พยายามเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล รู้ว่าใจที่ว่างจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นลักษณะอย่างนี้ ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาไปคิดเอา...ไม่ใช่ การนึกการคิดนั่นเขาเรียกว่า 'วิปัสสนึก' ถึงจะพิจารณาในธรรม ใจยังเกิดยังหลงอยู่ก็เป็นกิเลสธรรม ก็ปิดกั้นตัวใจของเราเอาไว้หมด
ถ้าเราหมั่นสังเกตดูอยู่บ่อยๆ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ถึงเรียกว่า 'สมถภาวนา' พยายามฝึกให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จนกำลังสติของเราต่อเนื่องเข้มแข็ง จนรู้เท่ารู้ทัน จนแยกแยะได้ กำลังสติก็จะพุ่งแรงเป็นมหาสติ ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็จะหลุด เราต้องพยายามตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ทุกเรื่อง จนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้เข้าไปแก้ไข เราก็จะได้มีความสุข มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น มีความสุขดูแลรักษากายไปจนกว่าเขาจะแตกจะดับ ถ้าถึงเวลาเขาก็ต้องแตกดับเพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ทุกคนมีความเกิดก็มีความตาย
ความเกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว ทีนี้เกิดทางด้านจิตวิญญาณนี่ก็ ทั้งวิญญาณเกิด ขันธ์ห้าเกิด ทั้งรวมไปทั้งจิตวิญญาณ ทั้งสติปัญญาทั้งขันธ์ห้ารวมกันไปทั้งก้อน เราพยายามเจริญสติของเราออกมาขึ้นมาให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง เอาไปอบรมใจ ไปชี้เหตุชี้ผล กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ตั้งแต่เช้ามา ใจเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ภาษาธรรมเป็นอย่างไร ภาษาโลกเป็นอย่างไร ถ้าเราใจคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘ภาษาธรรม’ เข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เห็น...เห็นลักษณะหน้าตาอาการของความคิด เข้าใจคำว่า ‘สมมติ วิมุตติ’ เข้าใจคำว่า ‘ปล่อยวาง’ ปล่อยวางที่ใจ ดับความเกิดที่ใจ แต่ส่วนกายนี้ก็เกิดมาแล้วเราก็ดูแลรักษาเขาไป ซึ่งเรียกว่า ‘ก้อนสมมติ’ หรือว่าก้อนกรรม กรรมซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมคืออาการของใจ เราต้องดูให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
ถ้ากำลังสติของเราตามดูรู้เห็นว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ถ้าเขารู้แจ้งแทงตลอดหมดแล้ว สติ ปัญญา สมาธิ นั่นแหละเขาจะรักษาเราเอง ไม่จำเป็นที่จะไปรักษานั่นตลอดหรอก สติ ปัญญา สมาธิ หรือว่าธรรม จะรักษาเรา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะเข้าไปหาเหตุหาผล ทำความเข้าใจให้ได้ ตรงนี้มันก็ต้องมีความเพียร ความเพียรอย่างยิ่งยวด ความเพียรเป็นเลิศ ในการวิเคราะห์ในการพิจารณา
ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ฉันจะเข้าใจ ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ฉันจะเข้าถึง อย่างนั้นมันเป็นแค่เพียงปัญญาโลกีย์ เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย แล้วก็เห็นหนทางเดินของเราด้วย ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ส่วนมากก็มีตั้งแต่กระโดดข้ามจะเอาตั้งแต่ผล ไม่เห็นเหตุเห็นผลเสียก่อน มันก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันยิ่งใหญ่ในภายในใจของเรา
เราต้องพยายามรื้อของเก่าออกให้มันหมด จนเหลืออยู่ที่ความบริสุทธิ์หรือว่าเหลืออยู่ที่ศูนย์ แล้วก็เพิ่มปัญญาใหม่ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เข้าไปทำความเข้าใจ อบรม ถ้าใจของเรายังเกิดเราก็พยายามดับ พยายามควบคุมแล้วก็อบรม กระหนาบแล้วกระหนาบอีก แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคล เราต้องแยกแยะให้ชัดเจนว่า อันนี้คือสติที่เราสร้างขึ้นมานะ อันนี้คือใจนะ ต่อไปข้างหน้าอันนี้คืออาการของใจ อาการของขันธ์ห้านะ เห็นเหตุเห็นผลให้ชัดเจน
แยกแยะความอยากความหิว กายของเราหิวใจของเราเกิดความอยาก แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา ทวารทั้งหกก็ทำหน้าที่ของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นธรรมชาติหมด ถ้าเข้าถึงจุดหมายปลายทางที่แท้จริง ธรรมชาติของกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลสที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างนี้
วางกาย วางใจ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น ถ้าเราอยากจะมีมาก อยากจะเอามาก ก็เป็นไปตามความต้องการของสติปัญญา ขยันหมั่นเพียรด้วยสติปัญญา ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้าง ถ้าเราทำความเข้าใจได้แล้วมีแต่ความสุข กายก็สุขใจก็สุข สนุกอยู่กับบุญ บุญไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่วาจาของเรา อยู่ที่ใจของเรา นอกนั้นก็มีตั้งแต่กำไรให้กับหมู่คณะ กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
ความตายนี่มีกันทุกคน มารับเอาโลงศพทุกวัน เมื่อวานนี้ก็ 3-4 โลงวันก่อนนั้นก็ 3 4 โลง เผลอแป๊บเดียวก็ปาเข้าไปร่วม 2,000 แล้ว เราก็จะได้ไปเหมือนกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ