หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 34
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 34
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 34
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 เมษายน 2562
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็วันศุกร์ อากาศก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ สงสัยฝนฟ้าคงจะตกที่อื่น ใกล้จะตกทางเราแล้ว
ดูดีๆ นะ พระเราชีเราสามเณร พิจารณากะประมาณการขบฉันของตัวเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นเรามีสติรู้กายแล้วหรือยัง เราพยายามเจริญสติให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
เวลาจะขบจะฉันก็พิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเรา กายก็หิว ใจจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย มันสั่ง กิเลสมันสั่งบอกว่าเอาเยอะๆ กลัวไม่อิ่ม เราก็ต้องพยายามดับความอยากของเรา ดับความอยาก ความเกิดของใจนั่นแหละ ใจมันอยากก็ดับหยุดไม่เอาให้มัน ถ้าเอาให้มัน แล้วมันก็เพิ่มกิเลส
เราก็พยายามอบรมใจของเรา กะประมาณในการขบฉัน อะไรที่มันต้องการเราก็พยายามให้มันผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้ว มันยังเสียดายอาลัยอาวรณ์ หรือไม่เราก็ต้องดู มองซ้ายมองขวามองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา ใจของเราเกิดความอยากเราก็พยายามดับ อาหารแต่ละชิ้น อาหารแต่ละส่วน เราก็มองดู ถ้าเราเอาเยอะคนข้างหลังก็ไม่ได้ทาน ถ้าเราเอามาก เอาไปเราก็ทานไม่หมด เอาไปทิ้ง
มองคนข้างบน ข้างล่าง เราพอเสียสละได้ เราก็เสียสละ ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้านสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ สร้างกำลังสติให้เข้มแข็งชี้เหตุชี้ผลให้ได้ ไม่ใช่ว่าทำตามอำนาจกิเลส ทำตามอำนาจอัตตาตัวตน
ใจเกิด อัตตาเกิด แต่ละวันๆ ใจเกิดสักกี่เที่ยว เกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง เราได้ยังประโยชน์อะไรไว้บ้าง ความขยันมีไหม ความรับผิดชอบมีหรือเปล่า ความเสียสละมีหรือไม่ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเกียจคร้านนี้สำคัญ ถ้าเกียจคร้านครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง แล้วค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มันก็เลยสะสมกิเลสโดยไม่รู้ตัว
ถ้าเราสร้างความขยันหมั่นเพียร มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขัดเกลากิเลส ไปที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข หมั่นอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ใจเกิดความอยากสักกี่เที่ยว เราละได้หรือไม่ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดขึ้นจากภายในเราก็ต้องดู แต่ละวันใจของเรามีความอิจฉาริษยาหรือเปล่า ยกตัวเองสูงมองเห็นคนอื่นต่ำ มีนิวรณ์เข้าครอบงำ จิตใจของเรามีความโลภ มันมีหมดทุกคนนั่นแหละ
ถ้าเรามีกำลังสติเข้าไปตรวจสอบทุกเวลา แม้แต่ความเกิดของใจ ความเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียด เข้าข้างตัวเอง ขันธ์ห้าก็เข้าข้างตัวเอง สติปัญญาก็เข้าข้างตัวเอง หมุนกันไปทั้งก้อน หมุนกันไปด้วยความหลง ถ้าเราแยกแยะไม่ได้ เราก็ว่าเราไม่หลง ถ้าเราแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไรเนี่ยเราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเจริญสติไม่ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติ ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง เราถึงจะรู้ว่าสติที่ผ่านๆ มานั้น เป็นแค่เพียงสติปัญญาของโลกีย์ที่ใจยังหลงอยู่
เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาที่โน่นที่นี่ถึงเป็นการปฏิบัติธรรม กิเลสมันเล่นงานอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักละ จักชัด จักเกลา มันก็เป็นแค่เพียงพิธีรีตอง
ตื่นขึ้นมาใจปกติหรือไม่ ใจสงบหรือเปล่า อะไรคือสติปัญญา อะไรคือใจ อะไรคืออาการของใจอะไรคือสมมติวิมุตติ คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เป็นอย่างไร ‘ศีลสังคมศีลวิมุตติ’ เป็นอย่างไร ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดขอบ ความเสียสละ การกระทำของเรามีถึงพร้อมหรือเปล่า
เราก็ต้องดู ดูทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น จะลุกจะก้าว เข้าห้องส้วมห้องน้ำ ขณะตื่นขึ้นมามีนิวรณ์เข้าครอบงำไหม มีความเกียจคร้านไหม สติตั้งมั่นไหม ใจปกติหรือเปล่า จะเดินเข้าห้องส้วมห้องน้ำทำภาระหน้าที่ จะทำกับข้าวกับปลา จะลุก จะก้าว จะเดิน ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การเดิน อยู่ที่การหายใจ ลึกลงไปถ้ากำลังสติมีต่อเนื่องเราก็รู้ใจ รู้จักหยุด รู้จักดับ อบรมใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
ใจนี้ต้องอบรม อบรมจนอยู่ในโอวาสของปัญญาจึงจะอยู่ได้ ชี้เหตุชี้ผลจนเขายอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะสงบ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่ปัญญา กิเลสเข้ามาโต้แย้ง คิดก็รู้ ทำก็รู้ มันอาจจะรู้อยู่ในระดับของสมมติ รู้อยู่ในความหลงตรงนั้นอยู่ อันนี้เป็นของละเอียด ถ้าเราไม่แยกแยะได้จริงๆ เราก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็อย่าไปทิ้ง อย่าไปทิ้ง
ในการวิเคราะห์ ในการสังเกต ในการทำบุญให้ทาน ในความเสียสละตั้งแต่ทาน ธรรมทาน การให้ ให้วัตถุทาน ให้อภัยทาน อโหสิกรรม จนใจคลายออก แยกได้ สัมมาทิฏฐิเปิดทาง ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้ ทีนี้การทำความเข้าใจมันก็จะทะลุปรุโปร่ง พูดจาชอบ ดำริชอบ การงานชอบ สมาธิชอบ มันไล่ไปเรื่อยๆ ตามอริยมรรคในองค์แปด ตามหนทางที่เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิคือคลายความหลง แยกรูปและแยกนาม มิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด พระพุทธองค์ท่านชี้เหตุชี้ผลว่าอันนี้ไม่มีตัว ไม่มีตน แต่เรายังมองเห็นเป็นตัวเป็นตน ยังเดินได้ ยืนได้ กินได้อันนี้เป็นตัวตนในระดับของสมมติ ในระดับวิมุตติท่านให้แยก จำแนกแจกแจง ในกายมีอะไรบ้าง อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ส่วนนามมีอะไรบ้าง ส่วนรูปทำหน้าที่อย่างไรบ้าง หู ตาจมูก ลิ้น กาย ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง
เรายังอยู่กับโลกธรรมอีก ยังมีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง ยังอยู่เกี่ยวเนื่องกันอีก เกี่ยวเนื่องกันในระดับของสมมติ อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ เราพยายามทำความเข้าใจ ให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้ ก็จะมีความสุขทุกอิริยาบถ
ส่วนชีเราพระเราก็ช่วยกันไปเคลียร์พื้นที่เมื่อวานให้เสร็จ จะได้ทำให้สวยให้งาม ใครขยันก็ออกมาช่วย ใครเกียจคร้านก็ไม่ต้องออกมา พวกเราก็จะได้ช่วยกัน อันโน้นบ้างอันนี้บ้าง ความสะอาด ความเป็นระเบียบ อีกเรื่องหนึ่งก็เรื่องขยะก็ช่วยๆ กัน พอใส่ถุงหิ้วมาไว้ในส่วนรวมส่วนกลางได้ก็หิ้วมา แต่ละวันๆ ใส่ถุงมาก็หิ้วมาด้วย คนเราที่จะช่วยกันไปตามเก็บไปตามอะไรต่างๆ คนเราก็ไม่เพียงพอ แม่ชีก็มีงานเยอะ งานโน้นบ้าง งานนี้บ้าง
ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกันอยากจะมาช่วยก็มาช่วยกัน ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่อยากจะรักสะอาดทิ้งมันไปเกลื่อนใช้การไม่ได้ เราก็ต้องช่วยกัน คนเสียสละ คนเก็บทำความสะอาดนั่นแหละเป็นคนที่ได้กำไรที่สุด ไม่มีใครทำ อย่างเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เดินดูทุกห้อง ห้องไหนสกปรก ห้องไหนน้ำไม่มี เราเข้าห้องนั้นแหละ จะได้เปิดน้ำใส่ ได้ทำความสะอาดด้วย จะได้ไม่ได้ลำบาก ถ้าเราไม่มีความเสียสละ เราก็ทำไม่ได้ ไปดูห้องน้ำแต่ละห้อง มันใช้กัน อย่างไรที่ผ่านๆ มา ทางศาลาเมรุบางทีก็โถส้วมนี่แตก ฝานั่งก็แตกมันขึ้นไปเหยียบไปย่ำ ทางสวนมะลิวัลย์ใช่หมดเลย เสียหายไปเยอะ มีให้ดีๆ ใช้ให้ดีๆ หาให้ ทำให้ทุกอย่างก็ไม่รู้จัก ดูแลรักษากัน
นี่แหละคนเรามีหลายประเภท จิตใจมีหลายระดับ ขาดปัญญา แค่ความเสียสละ ความเป็นระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่รู้จัก จะเอาตั้งแต่ธรรมอันใหญ่ อยากได้ธรรม อยากได้ความบริสุทธิ์ความเสียสละไม่มี การกระทำไม่มี ความรับผิดชอบไม่มี มันจะไปได้ทรัพย์อันใหญ่ได้ อย่างไร มีแต่ความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มันจะไปเจริญได้ อย่างไร หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
ถ้าเรารู้จักแก้ไข สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ มันก็จะส่งผลให้จิตใจของเราเป็นคนบุคคลที่มีความเป็นระเบียบ มีความเสียสละ มีความกล้าหาญ รักสะอาด ไปไหนมาไหนก็มองเห็นสิ่งมีแต่งานทั้งนั้นแหละ เดินไปไหนก็มีแต่งานทำถ้าเราเข้าใจ สิ่งรอบข้างของเรา ความเป็นระเบียบมีไหม ความสะอาดมีไหม ความเรียบร้อยมีไหม ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนปัจจัยสี่สมบูรณ์แบบ
ความเป็นอยู่ปากท้องของเราลำบากหรือไม่ เราทำให้บริบูรณ์ จนล้นออกไปสู่หมู่คณะ สู่พี่ สู่น้องจนมันมาก สมัยก่อนไม่มีอะไรจากศูนย์ จนเริ่มจนมี จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ จากภายในล้นออกไปสู่ภายนอก ยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติ ประโยชน์วิมุตติ ขัดเกลากิเลสเป็นเรื่องของเรา
เพียงแค่ความขยันเนี่ยก็สร้างให้มีเถิด ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน สร้างความขยันสร้างความรับผิดชอบ กำลังกายของเราก็เสียสละในการทำบุญให้ทาน ไล่ลงไป ดับความเกิดละอัตตาตัวตน ละทิฎฐิ ละมานะ ละความเห็นผิด ถ้าฝึกดีแล้วจะไปที่ไหนก็ไม่เก้อไม่เขิน
ถ้าเอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็จะช่วยแต่ตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น สติก็ไม่เจริญ กิเลสก็ไม่รู้จักละ มันจะไปเอาธรรมะได้ อย่างไร ก็มีตั้งแต่ทำเมา แทนที่จะเป็นผู้เบา ผู้เสียสละผู้ขัดเกลา ผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ นั่นก็เลยหนักตัวเอง หนักคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
ทั้งพระทั้งชีเราก็พยายาม ลูกเณรเราก็เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าเป็นงานหนัก หนักเอาเบาสู้ ไปที่ไหนก็จะได้เอาไปใช้กับชีวิต ไม่ใช่ว่าไปที่ไหนก็ลำบากตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ สมมติภายนอกเราอาศัยกันได้ แต่วิมุตติภายในก็ต้องแก้ไข ถ้าที่อื่นล่ะยิ่งลำบากกว่าเรานี่ตั้งเยอะแยะ
ไล่เรียงลงไปตั้งแต่คำพูดคำจา การกระทำให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ บุคคลผู้รู้ไม่จำเป็นต้องไปพูดมาก ฟังนิดเดียว รู้นิดเดียว แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน กลางคืนก็ดู สติเราต่อเนื่องหรือไม่ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำไหม ใจของเราเป็นอย่างไร ทุกเวลานั่นแหละ ถ้าไม่นอนหลับ หลับแล้วตื่นขึ้นมา เอาใหม่
งานสมมติภายนอกเราก็ทำให้มันดี จากสิ่งที่ไม่ดีเราก็ทำให้มันดี จากมันดีอยู่แล้วเราก็ทำ ทำเพิ่มให้มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็ได้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ทิ้งๆ ขว้างๆ เอาก็ให้ฉันได้อยู่ดีมีความสุขใครจะเป็น อย่างไรก็ช่างมัน มันไม่ใช่
เรามาอยู่ของเรา เหตุการณ์ภายนอกก็เข้ามาหาเรา เราก็ต้องช่วยกันแก้ไข แก้ไขทั้งข้างในแก้ไขทั้งข้างนอก จากความเป็นระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย มีแต่คนกิเลสหนาเท่านั้นแหละที่ปล่อยปละละเลย เห็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เนี่ยว่าไม่มีปัญหา ไอ้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละมันสะสมไปจนเป็นกิเลสตัวใหญ่ เพียงแค่ความเกิดความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละไม่รู้จักดับไม่รู้จักละ ถ้าเราดับเราละกิเลสตัวน้อยๆ แล้วตัวใหญ่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
เราก็ต้องพยายามเจริญพรหมวิหาร ความเมตตาให้เต็มเปี่ยม ให้มันอยู่เหนือกิเลส อย่าให้กิเลสมันเล่นงาน วิ่งตามกิเลสตัวเองก็ยังไม่พอ สนองกิเลสคนโน้นคนนี้อีกด้วย เราก็ต้องแก้ไขตัวเรา
พากันตั้งใจรับพร
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 เมษายน 2562
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็วันศุกร์ อากาศก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ สงสัยฝนฟ้าคงจะตกที่อื่น ใกล้จะตกทางเราแล้ว
ดูดีๆ นะ พระเราชีเราสามเณร พิจารณากะประมาณการขบฉันของตัวเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นเรามีสติรู้กายแล้วหรือยัง เราพยายามเจริญสติให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
เวลาจะขบจะฉันก็พิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเรา กายก็หิว ใจจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย มันสั่ง กิเลสมันสั่งบอกว่าเอาเยอะๆ กลัวไม่อิ่ม เราก็ต้องพยายามดับความอยากของเรา ดับความอยาก ความเกิดของใจนั่นแหละ ใจมันอยากก็ดับหยุดไม่เอาให้มัน ถ้าเอาให้มัน แล้วมันก็เพิ่มกิเลส
เราก็พยายามอบรมใจของเรา กะประมาณในการขบฉัน อะไรที่มันต้องการเราก็พยายามให้มันผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้ว มันยังเสียดายอาลัยอาวรณ์ หรือไม่เราก็ต้องดู มองซ้ายมองขวามองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา ใจของเราเกิดความอยากเราก็พยายามดับ อาหารแต่ละชิ้น อาหารแต่ละส่วน เราก็มองดู ถ้าเราเอาเยอะคนข้างหลังก็ไม่ได้ทาน ถ้าเราเอามาก เอาไปเราก็ทานไม่หมด เอาไปทิ้ง
มองคนข้างบน ข้างล่าง เราพอเสียสละได้ เราก็เสียสละ ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้านสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ สร้างกำลังสติให้เข้มแข็งชี้เหตุชี้ผลให้ได้ ไม่ใช่ว่าทำตามอำนาจกิเลส ทำตามอำนาจอัตตาตัวตน
ใจเกิด อัตตาเกิด แต่ละวันๆ ใจเกิดสักกี่เที่ยว เกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง เราได้ยังประโยชน์อะไรไว้บ้าง ความขยันมีไหม ความรับผิดชอบมีหรือเปล่า ความเสียสละมีหรือไม่ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเกียจคร้านนี้สำคัญ ถ้าเกียจคร้านครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง แล้วค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มันก็เลยสะสมกิเลสโดยไม่รู้ตัว
ถ้าเราสร้างความขยันหมั่นเพียร มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขัดเกลากิเลส ไปที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข หมั่นอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ใจเกิดความอยากสักกี่เที่ยว เราละได้หรือไม่ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดขึ้นจากภายในเราก็ต้องดู แต่ละวันใจของเรามีความอิจฉาริษยาหรือเปล่า ยกตัวเองสูงมองเห็นคนอื่นต่ำ มีนิวรณ์เข้าครอบงำ จิตใจของเรามีความโลภ มันมีหมดทุกคนนั่นแหละ
ถ้าเรามีกำลังสติเข้าไปตรวจสอบทุกเวลา แม้แต่ความเกิดของใจ ความเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียด เข้าข้างตัวเอง ขันธ์ห้าก็เข้าข้างตัวเอง สติปัญญาก็เข้าข้างตัวเอง หมุนกันไปทั้งก้อน หมุนกันไปด้วยความหลง ถ้าเราแยกแยะไม่ได้ เราก็ว่าเราไม่หลง ถ้าเราแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไรเนี่ยเราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเจริญสติไม่ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติ ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง เราถึงจะรู้ว่าสติที่ผ่านๆ มานั้น เป็นแค่เพียงสติปัญญาของโลกีย์ที่ใจยังหลงอยู่
เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาที่โน่นที่นี่ถึงเป็นการปฏิบัติธรรม กิเลสมันเล่นงานอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักละ จักชัด จักเกลา มันก็เป็นแค่เพียงพิธีรีตอง
ตื่นขึ้นมาใจปกติหรือไม่ ใจสงบหรือเปล่า อะไรคือสติปัญญา อะไรคือใจ อะไรคืออาการของใจอะไรคือสมมติวิมุตติ คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เป็นอย่างไร ‘ศีลสังคมศีลวิมุตติ’ เป็นอย่างไร ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดขอบ ความเสียสละ การกระทำของเรามีถึงพร้อมหรือเปล่า
เราก็ต้องดู ดูทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น จะลุกจะก้าว เข้าห้องส้วมห้องน้ำ ขณะตื่นขึ้นมามีนิวรณ์เข้าครอบงำไหม มีความเกียจคร้านไหม สติตั้งมั่นไหม ใจปกติหรือเปล่า จะเดินเข้าห้องส้วมห้องน้ำทำภาระหน้าที่ จะทำกับข้าวกับปลา จะลุก จะก้าว จะเดิน ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การเดิน อยู่ที่การหายใจ ลึกลงไปถ้ากำลังสติมีต่อเนื่องเราก็รู้ใจ รู้จักหยุด รู้จักดับ อบรมใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
ใจนี้ต้องอบรม อบรมจนอยู่ในโอวาสของปัญญาจึงจะอยู่ได้ ชี้เหตุชี้ผลจนเขายอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะสงบ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่ปัญญา กิเลสเข้ามาโต้แย้ง คิดก็รู้ ทำก็รู้ มันอาจจะรู้อยู่ในระดับของสมมติ รู้อยู่ในความหลงตรงนั้นอยู่ อันนี้เป็นของละเอียด ถ้าเราไม่แยกแยะได้จริงๆ เราก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็อย่าไปทิ้ง อย่าไปทิ้ง
ในการวิเคราะห์ ในการสังเกต ในการทำบุญให้ทาน ในความเสียสละตั้งแต่ทาน ธรรมทาน การให้ ให้วัตถุทาน ให้อภัยทาน อโหสิกรรม จนใจคลายออก แยกได้ สัมมาทิฏฐิเปิดทาง ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้ ทีนี้การทำความเข้าใจมันก็จะทะลุปรุโปร่ง พูดจาชอบ ดำริชอบ การงานชอบ สมาธิชอบ มันไล่ไปเรื่อยๆ ตามอริยมรรคในองค์แปด ตามหนทางที่เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิคือคลายความหลง แยกรูปและแยกนาม มิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด พระพุทธองค์ท่านชี้เหตุชี้ผลว่าอันนี้ไม่มีตัว ไม่มีตน แต่เรายังมองเห็นเป็นตัวเป็นตน ยังเดินได้ ยืนได้ กินได้อันนี้เป็นตัวตนในระดับของสมมติ ในระดับวิมุตติท่านให้แยก จำแนกแจกแจง ในกายมีอะไรบ้าง อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ส่วนนามมีอะไรบ้าง ส่วนรูปทำหน้าที่อย่างไรบ้าง หู ตาจมูก ลิ้น กาย ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง
เรายังอยู่กับโลกธรรมอีก ยังมีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง ยังอยู่เกี่ยวเนื่องกันอีก เกี่ยวเนื่องกันในระดับของสมมติ อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ เราพยายามทำความเข้าใจ ให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้ ก็จะมีความสุขทุกอิริยาบถ
ส่วนชีเราพระเราก็ช่วยกันไปเคลียร์พื้นที่เมื่อวานให้เสร็จ จะได้ทำให้สวยให้งาม ใครขยันก็ออกมาช่วย ใครเกียจคร้านก็ไม่ต้องออกมา พวกเราก็จะได้ช่วยกัน อันโน้นบ้างอันนี้บ้าง ความสะอาด ความเป็นระเบียบ อีกเรื่องหนึ่งก็เรื่องขยะก็ช่วยๆ กัน พอใส่ถุงหิ้วมาไว้ในส่วนรวมส่วนกลางได้ก็หิ้วมา แต่ละวันๆ ใส่ถุงมาก็หิ้วมาด้วย คนเราที่จะช่วยกันไปตามเก็บไปตามอะไรต่างๆ คนเราก็ไม่เพียงพอ แม่ชีก็มีงานเยอะ งานโน้นบ้าง งานนี้บ้าง
ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกันอยากจะมาช่วยก็มาช่วยกัน ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่อยากจะรักสะอาดทิ้งมันไปเกลื่อนใช้การไม่ได้ เราก็ต้องช่วยกัน คนเสียสละ คนเก็บทำความสะอาดนั่นแหละเป็นคนที่ได้กำไรที่สุด ไม่มีใครทำ อย่างเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เดินดูทุกห้อง ห้องไหนสกปรก ห้องไหนน้ำไม่มี เราเข้าห้องนั้นแหละ จะได้เปิดน้ำใส่ ได้ทำความสะอาดด้วย จะได้ไม่ได้ลำบาก ถ้าเราไม่มีความเสียสละ เราก็ทำไม่ได้ ไปดูห้องน้ำแต่ละห้อง มันใช้กัน อย่างไรที่ผ่านๆ มา ทางศาลาเมรุบางทีก็โถส้วมนี่แตก ฝานั่งก็แตกมันขึ้นไปเหยียบไปย่ำ ทางสวนมะลิวัลย์ใช่หมดเลย เสียหายไปเยอะ มีให้ดีๆ ใช้ให้ดีๆ หาให้ ทำให้ทุกอย่างก็ไม่รู้จัก ดูแลรักษากัน
นี่แหละคนเรามีหลายประเภท จิตใจมีหลายระดับ ขาดปัญญา แค่ความเสียสละ ความเป็นระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่รู้จัก จะเอาตั้งแต่ธรรมอันใหญ่ อยากได้ธรรม อยากได้ความบริสุทธิ์ความเสียสละไม่มี การกระทำไม่มี ความรับผิดชอบไม่มี มันจะไปได้ทรัพย์อันใหญ่ได้ อย่างไร มีแต่ความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มันจะไปเจริญได้ อย่างไร หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
ถ้าเรารู้จักแก้ไข สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ มันก็จะส่งผลให้จิตใจของเราเป็นคนบุคคลที่มีความเป็นระเบียบ มีความเสียสละ มีความกล้าหาญ รักสะอาด ไปไหนมาไหนก็มองเห็นสิ่งมีแต่งานทั้งนั้นแหละ เดินไปไหนก็มีแต่งานทำถ้าเราเข้าใจ สิ่งรอบข้างของเรา ความเป็นระเบียบมีไหม ความสะอาดมีไหม ความเรียบร้อยมีไหม ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนปัจจัยสี่สมบูรณ์แบบ
ความเป็นอยู่ปากท้องของเราลำบากหรือไม่ เราทำให้บริบูรณ์ จนล้นออกไปสู่หมู่คณะ สู่พี่ สู่น้องจนมันมาก สมัยก่อนไม่มีอะไรจากศูนย์ จนเริ่มจนมี จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ จากภายในล้นออกไปสู่ภายนอก ยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติ ประโยชน์วิมุตติ ขัดเกลากิเลสเป็นเรื่องของเรา
เพียงแค่ความขยันเนี่ยก็สร้างให้มีเถิด ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน สร้างความขยันสร้างความรับผิดชอบ กำลังกายของเราก็เสียสละในการทำบุญให้ทาน ไล่ลงไป ดับความเกิดละอัตตาตัวตน ละทิฎฐิ ละมานะ ละความเห็นผิด ถ้าฝึกดีแล้วจะไปที่ไหนก็ไม่เก้อไม่เขิน
ถ้าเอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็จะช่วยแต่ตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น สติก็ไม่เจริญ กิเลสก็ไม่รู้จักละ มันจะไปเอาธรรมะได้ อย่างไร ก็มีตั้งแต่ทำเมา แทนที่จะเป็นผู้เบา ผู้เสียสละผู้ขัดเกลา ผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ นั่นก็เลยหนักตัวเอง หนักคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
ทั้งพระทั้งชีเราก็พยายาม ลูกเณรเราก็เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าเป็นงานหนัก หนักเอาเบาสู้ ไปที่ไหนก็จะได้เอาไปใช้กับชีวิต ไม่ใช่ว่าไปที่ไหนก็ลำบากตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ สมมติภายนอกเราอาศัยกันได้ แต่วิมุตติภายในก็ต้องแก้ไข ถ้าที่อื่นล่ะยิ่งลำบากกว่าเรานี่ตั้งเยอะแยะ
ไล่เรียงลงไปตั้งแต่คำพูดคำจา การกระทำให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ บุคคลผู้รู้ไม่จำเป็นต้องไปพูดมาก ฟังนิดเดียว รู้นิดเดียว แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน กลางคืนก็ดู สติเราต่อเนื่องหรือไม่ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำไหม ใจของเราเป็นอย่างไร ทุกเวลานั่นแหละ ถ้าไม่นอนหลับ หลับแล้วตื่นขึ้นมา เอาใหม่
งานสมมติภายนอกเราก็ทำให้มันดี จากสิ่งที่ไม่ดีเราก็ทำให้มันดี จากมันดีอยู่แล้วเราก็ทำ ทำเพิ่มให้มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็ได้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ทิ้งๆ ขว้างๆ เอาก็ให้ฉันได้อยู่ดีมีความสุขใครจะเป็น อย่างไรก็ช่างมัน มันไม่ใช่
เรามาอยู่ของเรา เหตุการณ์ภายนอกก็เข้ามาหาเรา เราก็ต้องช่วยกันแก้ไข แก้ไขทั้งข้างในแก้ไขทั้งข้างนอก จากความเป็นระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย มีแต่คนกิเลสหนาเท่านั้นแหละที่ปล่อยปละละเลย เห็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เนี่ยว่าไม่มีปัญหา ไอ้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละมันสะสมไปจนเป็นกิเลสตัวใหญ่ เพียงแค่ความเกิดความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละไม่รู้จักดับไม่รู้จักละ ถ้าเราดับเราละกิเลสตัวน้อยๆ แล้วตัวใหญ่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
เราก็ต้องพยายามเจริญพรหมวิหาร ความเมตตาให้เต็มเปี่ยม ให้มันอยู่เหนือกิเลส อย่าให้กิเลสมันเล่นงาน วิ่งตามกิเลสตัวเองก็ยังไม่พอ สนองกิเลสคนโน้นคนนี้อีกด้วย เราก็ต้องแก้ไขตัวเรา
พากันตั้งใจรับพร