หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 33
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 33
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 33
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มีนาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย น้อมสำเหนียกรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาวผ่อนลมหายใจยาว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นมารู้ตัวปุ๊บ รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เจริญสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตรงนี้แหละพวกเราพวกท่านไม่ค่อยจะเจริญ ไม่ค่อยสร้างกันให้ต่อเนื่อง ซึ่งความคิดเก่าที่เกิดจากตัวใจหรือเกิดจากอาการของใจ มีกันเต็มเปี่ยมกันทุกคน ความคิดเก่า ปัญญาเก่า
ความเกิดของใจส่งออกไปภายนอก เราคิดก็รู้ ทำก็รู้ อันนี้เราก็รู้อยู่ในระดับของสมมติ เขาเรียกว่าปัญญาโลกีย์ ปัญญาที่ยังเข้าไปดับทุกข์เข้าไปละกิเลสไม่ได้ นอกจากการเจริญสติให้รู้ ให้ต่อเนื่องและก็เอาไปใช้การใช้งาน เอาไปรู้เท่าทันใจ รู้ไม่ทันใจ ก็รู้จักใช้สมถะเข้าไปดับ รู้จักแก้ไขอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านบอกว่าเจริญสติเป็นเพื่อนใจ ตนเป็นที่พึ่งของตน
ส่วนมากการเจริญสติไม่ค่อยจะต่อเนื่องเพราะว่าความ ความไม่เคยชิน ความเกิดก็เก่าๆ ปัญญาก็เก่าๆ เขาเกิดมาตั้งนาน เขาหลงมาตั้งนาน เราก็เลยไปยึดมั่นถือมั่นเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าอาจจะถูกต้องในระดับของสมมติแต่ในหลักธรรมแล้วยัง
ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์ ความเกิดนั่นแหละคือความไม่เที่ยง ความเกิดนั่นแหละคือความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ที่นี้จิตวิญญาณของคนเรานี่หลงมาเกิดตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาในภพมนุษย์ และก็มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์มีร่างกาย มีขันธ์ห้า เข้ามาห่อหุ้มแล้วก็มาอาศัยกายก้อนนี้อยู่ กายของเราก็มีการพัฒนาเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จากเด็กเป็นเด็กโตเด็กใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว บางทีก็สร้างสะสมคุณงามความดี สร้างกุศลอกุศลมา ผ่านกาลผ่านเวลา ปฏิบัติฝึกหัดอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในความถูกต้อง อันนั้นเขาเรียกว่า ‘ตบะบารมี’ อยู่ในระดับหนึ่ง อยู่ในระดับของสมมติ จนกระทั่งเติบโต ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบต่อสมมติ มีครอบมีครัว สารพัดอย่างที่ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกข์ผ่านร้อน ผ่านหนาว ถูกบ้างดีบ้าง อกุศลบ้างกุศลบ้าง อยู่ในความเป็นกลางๆ บ้าง อันนั้นก็เป็นระดับของโลกีย์ที่เราเอาใช้กันอยู่ทุกวัน
แต่กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาใหม่นี่แหละที่จะเอาไปใช้ เอาไปชี้เหตุชี้ผลจนเห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า จนแยกรูปแยกนามซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก แยกรูปแยกนามใจคลายออกจากความคิด ที่ภาษาธรรมท่านว่า เห็นถูก เพียงแค่เริ่มต้น ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ อาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ ถ้าแยกได้ คลายได้ ใจหงายขึ้นมาได้เป็นการเริ่มต้นของความเห็นถูก ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ’วิปัสสนา’ ความรู้แจ้งเห็นจริง
แต่ถ้าเราขาดการทำ ทำความเข้าใจ ขาดการดู การรู้ การชี้เหตุชี้ผลให้ได้ทุกเรื่อง ใจของเราก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผลจนใจมองเห็นความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์ ใจก็จะไม่เกิด ถึงเกิดเราก็ใช้ปัญญาเข้าไปดับ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ละออกจากจิตใจของเรา การฝึกหัดปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน วิธีการใดก็ช่าง ก็เพื่อที่จะคลายความหลง ก็เพื่อที่จะละกิเลส ก็เพื่อที่จะทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์
เราต้องพยายามกัน อย่างไปผัดวันประกันพรุ่ง อย่าไปเลือกวันเวลา ทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาล อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำ ประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกสมมติประโยชน์ในโลกหน้า
เอาโลกสมมตินี้ให้ดี ทำความเข้าใจให้ดี อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ละเสีย อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็เจริญ คลายความหลงภายในใจของเรา ใจของเราไปหลงเอาความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมส่วนรูปก็ร่างกายของเรานี่ก็ส่วนหนึ่ง แต่เราไปมองรวมกันทั้งก้อน กายก็ของเรา อันโน้นอันนี้ก็ของเรา รวมกันไปทั้งใจ ทั้งขันธ์ห้า ทั้งสติปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติ สร้างความรู้ตัวขึ้นมาตัวหนึ่งให้เข้มแข็งแล้วก็ไปอบรมใจของเราให้ได้ อบรมใจของเราไม่ทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักควบคุม รู้จักสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีเข้าไปทดแทน ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธก็พยายามละความโกรธ ด้วยการให้อภัย ด้วยการอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี
แต่ละวันจิตใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ จิตใจของเรามีความหนักแน่นหรือเปล่าหรือว่าจิตใจของเรามีแต่ความกังวล มีแต่ความฟุ้งซ่าน มีตั้งแต่กิเลสเข้าเล่นงาน เราก็ต้องพยายามจัดการกับตัวเรา แก้ไขตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล มองเห็นความเป็นจริง ดู รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ จนไม่มีอะไรที่จะมาให้เราได้แก้ไข จนเหลือตั้งแต่สติปัญญาเหลือแต่ความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยง ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มีนาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย น้อมสำเหนียกรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาวผ่อนลมหายใจยาว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นมารู้ตัวปุ๊บ รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เจริญสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตรงนี้แหละพวกเราพวกท่านไม่ค่อยจะเจริญ ไม่ค่อยสร้างกันให้ต่อเนื่อง ซึ่งความคิดเก่าที่เกิดจากตัวใจหรือเกิดจากอาการของใจ มีกันเต็มเปี่ยมกันทุกคน ความคิดเก่า ปัญญาเก่า
ความเกิดของใจส่งออกไปภายนอก เราคิดก็รู้ ทำก็รู้ อันนี้เราก็รู้อยู่ในระดับของสมมติ เขาเรียกว่าปัญญาโลกีย์ ปัญญาที่ยังเข้าไปดับทุกข์เข้าไปละกิเลสไม่ได้ นอกจากการเจริญสติให้รู้ ให้ต่อเนื่องและก็เอาไปใช้การใช้งาน เอาไปรู้เท่าทันใจ รู้ไม่ทันใจ ก็รู้จักใช้สมถะเข้าไปดับ รู้จักแก้ไขอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านบอกว่าเจริญสติเป็นเพื่อนใจ ตนเป็นที่พึ่งของตน
ส่วนมากการเจริญสติไม่ค่อยจะต่อเนื่องเพราะว่าความ ความไม่เคยชิน ความเกิดก็เก่าๆ ปัญญาก็เก่าๆ เขาเกิดมาตั้งนาน เขาหลงมาตั้งนาน เราก็เลยไปยึดมั่นถือมั่นเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าอาจจะถูกต้องในระดับของสมมติแต่ในหลักธรรมแล้วยัง
ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์ ความเกิดนั่นแหละคือความไม่เที่ยง ความเกิดนั่นแหละคือความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ที่นี้จิตวิญญาณของคนเรานี่หลงมาเกิดตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาในภพมนุษย์ และก็มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์มีร่างกาย มีขันธ์ห้า เข้ามาห่อหุ้มแล้วก็มาอาศัยกายก้อนนี้อยู่ กายของเราก็มีการพัฒนาเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จากเด็กเป็นเด็กโตเด็กใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว บางทีก็สร้างสะสมคุณงามความดี สร้างกุศลอกุศลมา ผ่านกาลผ่านเวลา ปฏิบัติฝึกหัดอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในความถูกต้อง อันนั้นเขาเรียกว่า ‘ตบะบารมี’ อยู่ในระดับหนึ่ง อยู่ในระดับของสมมติ จนกระทั่งเติบโต ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบต่อสมมติ มีครอบมีครัว สารพัดอย่างที่ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกข์ผ่านร้อน ผ่านหนาว ถูกบ้างดีบ้าง อกุศลบ้างกุศลบ้าง อยู่ในความเป็นกลางๆ บ้าง อันนั้นก็เป็นระดับของโลกีย์ที่เราเอาใช้กันอยู่ทุกวัน
แต่กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาใหม่นี่แหละที่จะเอาไปใช้ เอาไปชี้เหตุชี้ผลจนเห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า จนแยกรูปแยกนามซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก แยกรูปแยกนามใจคลายออกจากความคิด ที่ภาษาธรรมท่านว่า เห็นถูก เพียงแค่เริ่มต้น ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ อาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ ถ้าแยกได้ คลายได้ ใจหงายขึ้นมาได้เป็นการเริ่มต้นของความเห็นถูก ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ’วิปัสสนา’ ความรู้แจ้งเห็นจริง
แต่ถ้าเราขาดการทำ ทำความเข้าใจ ขาดการดู การรู้ การชี้เหตุชี้ผลให้ได้ทุกเรื่อง ใจของเราก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผลจนใจมองเห็นความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์ ใจก็จะไม่เกิด ถึงเกิดเราก็ใช้ปัญญาเข้าไปดับ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ละออกจากจิตใจของเรา การฝึกหัดปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน วิธีการใดก็ช่าง ก็เพื่อที่จะคลายความหลง ก็เพื่อที่จะละกิเลส ก็เพื่อที่จะทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์
เราต้องพยายามกัน อย่างไปผัดวันประกันพรุ่ง อย่าไปเลือกวันเวลา ทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาล อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำ ประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกสมมติประโยชน์ในโลกหน้า
เอาโลกสมมตินี้ให้ดี ทำความเข้าใจให้ดี อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ละเสีย อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็เจริญ คลายความหลงภายในใจของเรา ใจของเราไปหลงเอาความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมส่วนรูปก็ร่างกายของเรานี่ก็ส่วนหนึ่ง แต่เราไปมองรวมกันทั้งก้อน กายก็ของเรา อันโน้นอันนี้ก็ของเรา รวมกันไปทั้งใจ ทั้งขันธ์ห้า ทั้งสติปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติ สร้างความรู้ตัวขึ้นมาตัวหนึ่งให้เข้มแข็งแล้วก็ไปอบรมใจของเราให้ได้ อบรมใจของเราไม่ทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักควบคุม รู้จักสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีเข้าไปทดแทน ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธก็พยายามละความโกรธ ด้วยการให้อภัย ด้วยการอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี
แต่ละวันจิตใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ จิตใจของเรามีความหนักแน่นหรือเปล่าหรือว่าจิตใจของเรามีแต่ความกังวล มีแต่ความฟุ้งซ่าน มีตั้งแต่กิเลสเข้าเล่นงาน เราก็ต้องพยายามจัดการกับตัวเรา แก้ไขตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล มองเห็นความเป็นจริง ดู รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ จนไม่มีอะไรที่จะมาให้เราได้แก้ไข จนเหลือตั้งแต่สติปัญญาเหลือแต่ความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยง ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ