หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 7
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 7
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 7
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 มกราคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราก็วางเอาไว้ ถึงได้น้อมกายเข้ามาในวัด ทีนี้เราก็มาวาง มาหยุดความคิด ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ
นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่กล่าววิธีการ แนวทางการเจริญสติ การทำความเข้าใจ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ อย่าไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ เพียงแค่การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เป็นธรรมชาติ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น กายของเราก็มีความสบายขึ้นเยอะ
ความรู้สึกตัวนั่นแหละ เวลาลมกระทบปลายจมูก หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะรู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการเกิดของใจเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด หรือภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’
ใจกับขันธ์ห้า นั้นเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดหรือว่าปัญญาเก่าของพวกเรานั่นแหละ ซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาโลกีย์’ ท่านถึงให้มาเจริญสติตัวใหม่ มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่อยู่ลงที่กายของเราให้ได้ ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง แล้วจะรู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะใจ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เรารู้จักจุด รู้จักดับรู้จักควบคุม จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเป็นความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ใจก็จะว่างกายก็จะเบา ใจก็จะพลิกหงายขึ้นมา นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก’
ในหลักธรรม เห็นการแยกการคลาย เข้าใจคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในกายของเรา เห็นความเกิดความดับ รู้จักขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา
ใจของเราเกิดกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็พยายามขัดเกลาเอาออก ด้วยการสร้างตบะบารมี ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามคลายความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออกด้วยการบริจาค ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ด้วยการสร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตา รู้จักให้อภัย รู้จักอโหสิกรรม มองทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเราไม่ฝึกตัวเราไม่มีใครจะฝึกเราได้เลยนอกจากตัวของเรา
ส่วนแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์นั้นมีมาตั้งนาน ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยจำแนกแจกแจงว่าในกายของคนเรานี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีธาตุสี่ขันธ์ห้า มีวิญญาณ คำว่า ‘วิญญาณ’ คือตัวใจของเรานั่นแหละ เข้ามาครอบครอง ใจคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงพูดอย่างนั้นถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ที่หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ อันนี้เขามาอาศัยอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ขึ้นมา แล้วก็มาหลงตรงนี้ แล้วก็มายึดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นของของเรา ขณะยังอยู่ในกายหรือว่ายังเกิดต่ออีก ก็ความคิดของเรานั่นแหละส่งออกไปภายนอก หลงตัวนี้ยังไม่พอก็มีอาการของขันธ์ห้าเข้ามาผสมโรงอีก ใจของเราก็เป็นธาตุกิเลสอีก สารพัดอย่างที่เขาจะมาปกปิดตัวของเขาเอาไว้
ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปชี้เหตุที่ผล เห็นเหตุเห็นผล ขัดเกลาเอาออก จนใจของเราเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ คือความสะอาด แม้แต่การเกิดก็ไม่ให้มี ให้เกิดด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ อย่าไปปล่อยปละละเลย คิดดีทำดี อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญก็ให้รีบทำ ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของพวกเรา เห็นคนอื่นทำ เราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีส่วนแห่งบุญ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยืนเดินนั่งนอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อยปัญญาโลกีย์นั้นมีจนคล่องแคล่วเอาไปใช้การใช้งานจน ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานั้นสติความรู้ตัวของเราไม่มีเลย มีตั้งแต่สติในโลกๆ ในทางโลกๆ
ถ้าเรายังคลายใจออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ หรือว่าแยกรูปแยกนามไม่ได้เราก็จะว่าเราไม่หลง ถ้าแยกได้เมื่อไหร่ตามดูได้เมื่อไหร่เราก็ถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราตามเห็นการเกิดการดับ การแยกการทำความเข้าใจ เราก็จะระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าทันทีว่าท่านมีจริง ถ้าไม่มีจริงท่านก็คงไม่ค้นพบเรื่องอริยสัจ เรื่องความจริงอันประเสริฐ ท่านก็คงจะไม่ได้ประกาศ ถ้าเราเข้าถึงเราก็จะระลึกนึกถึงคุณของท่าน รีบเร่งสร้างคุณงามความดี รีบเร่งสร้าง ขัดเกลากิเลสเอาออกจากใจของเรา จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
ขอให้เรามีความเพียร ความเพียรที่ถูกต้อง ความเพียรที่ต่อเนื่อง เราก็จะเข้าถึงได้สักวัน ไม่เข้าถึงวันนี้ วันพรุ่งนี้เดือนนี้ เดือนหน้า ถ้าไม่เข้าถึงวันนี้ก็ต้องเข้าถึงในวันในภพหน้า ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ก็ขอให้ทุกคนจงพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็วอย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ทุกคนก็ต้องมีเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 มกราคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราก็วางเอาไว้ ถึงได้น้อมกายเข้ามาในวัด ทีนี้เราก็มาวาง มาหยุดความคิด ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ
นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่กล่าววิธีการ แนวทางการเจริญสติ การทำความเข้าใจ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ อย่าไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ เพียงแค่การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เป็นธรรมชาติ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น กายของเราก็มีความสบายขึ้นเยอะ
ความรู้สึกตัวนั่นแหละ เวลาลมกระทบปลายจมูก หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะรู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการเกิดของใจเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด หรือภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’
ใจกับขันธ์ห้า นั้นเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดหรือว่าปัญญาเก่าของพวกเรานั่นแหละ ซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาโลกีย์’ ท่านถึงให้มาเจริญสติตัวใหม่ มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่อยู่ลงที่กายของเราให้ได้ ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง แล้วจะรู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะใจ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เรารู้จักจุด รู้จักดับรู้จักควบคุม จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเป็นความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ใจก็จะว่างกายก็จะเบา ใจก็จะพลิกหงายขึ้นมา นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก’
ในหลักธรรม เห็นการแยกการคลาย เข้าใจคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในกายของเรา เห็นความเกิดความดับ รู้จักขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา
ใจของเราเกิดกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็พยายามขัดเกลาเอาออก ด้วยการสร้างตบะบารมี ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามคลายความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออกด้วยการบริจาค ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ด้วยการสร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตา รู้จักให้อภัย รู้จักอโหสิกรรม มองทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเราไม่ฝึกตัวเราไม่มีใครจะฝึกเราได้เลยนอกจากตัวของเรา
ส่วนแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์นั้นมีมาตั้งนาน ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยจำแนกแจกแจงว่าในกายของคนเรานี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีธาตุสี่ขันธ์ห้า มีวิญญาณ คำว่า ‘วิญญาณ’ คือตัวใจของเรานั่นแหละ เข้ามาครอบครอง ใจคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงพูดอย่างนั้นถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ที่หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ อันนี้เขามาอาศัยอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ขึ้นมา แล้วก็มาหลงตรงนี้ แล้วก็มายึดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นของของเรา ขณะยังอยู่ในกายหรือว่ายังเกิดต่ออีก ก็ความคิดของเรานั่นแหละส่งออกไปภายนอก หลงตัวนี้ยังไม่พอก็มีอาการของขันธ์ห้าเข้ามาผสมโรงอีก ใจของเราก็เป็นธาตุกิเลสอีก สารพัดอย่างที่เขาจะมาปกปิดตัวของเขาเอาไว้
ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปชี้เหตุที่ผล เห็นเหตุเห็นผล ขัดเกลาเอาออก จนใจของเราเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ คือความสะอาด แม้แต่การเกิดก็ไม่ให้มี ให้เกิดด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ อย่าไปปล่อยปละละเลย คิดดีทำดี อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญก็ให้รีบทำ ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของพวกเรา เห็นคนอื่นทำ เราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีส่วนแห่งบุญ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยืนเดินนั่งนอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อยปัญญาโลกีย์นั้นมีจนคล่องแคล่วเอาไปใช้การใช้งานจน ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานั้นสติความรู้ตัวของเราไม่มีเลย มีตั้งแต่สติในโลกๆ ในทางโลกๆ
ถ้าเรายังคลายใจออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ หรือว่าแยกรูปแยกนามไม่ได้เราก็จะว่าเราไม่หลง ถ้าแยกได้เมื่อไหร่ตามดูได้เมื่อไหร่เราก็ถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราตามเห็นการเกิดการดับ การแยกการทำความเข้าใจ เราก็จะระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าทันทีว่าท่านมีจริง ถ้าไม่มีจริงท่านก็คงไม่ค้นพบเรื่องอริยสัจ เรื่องความจริงอันประเสริฐ ท่านก็คงจะไม่ได้ประกาศ ถ้าเราเข้าถึงเราก็จะระลึกนึกถึงคุณของท่าน รีบเร่งสร้างคุณงามความดี รีบเร่งสร้าง ขัดเกลากิเลสเอาออกจากใจของเรา จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
ขอให้เรามีความเพียร ความเพียรที่ถูกต้อง ความเพียรที่ต่อเนื่อง เราก็จะเข้าถึงได้สักวัน ไม่เข้าถึงวันนี้ วันพรุ่งนี้เดือนนี้ เดือนหน้า ถ้าไม่เข้าถึงวันนี้ก็ต้องเข้าถึงในวันในภพหน้า ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ก็ขอให้ทุกคนจงพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็วอย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ทุกคนก็ต้องมีเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ