หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 20

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 20
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 20
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 20
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มีนาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพวกท่านได้พากันสร้างความรู้ตัว ได้วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของตัวเราเองแล้วหรือยัง

เพียงแค่การเจริญสติก็ให้เริ่มทำ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง ตั้งแต่ลุกจากที่ เราสร้างความรู้ตัว เราก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา รู้กายรู้ใจ อบรมใจของเราจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ เป็นบุคคลที่มีความมุ่งมั่นจริงๆ ถึงจะเข้าถึงตรงนี้

เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าแยกใจคลายออกจากความคิด แยกรูปแยกนามได้ เพียงแค่เริ่มต้นของความรู้จริง ของความเห็นถูก เราต้องตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ลักษณะของการเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย

ต้องให้ใจของเราสงบ สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส สงบจากขันธ์ห้า สงบด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่การฝึกโดยที่ไม่เอาสติปัญญาไปใช้ ไปใช้การใช้งาน ฝึกก็ได้แค่ฝึก ถ้าเราฝึกสติให้ต่อเนื่อง จนรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ เห็นลักษณะหน้าตาอาการ การเกิดกิเลสหยาบ เกิดขึ้นที่กายใจปรุงแต่งร่วมหรือไม่ หรือเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดได้อย่างไร กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร กองรูป กองนาม ความรู้ตัวที่เราเจริญ หรือว่าเราสร้างขึ้นมาต่อเนื่องเอาไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นหน้าที่ของเราที่จะแก้ไขตัวเรา

แนวทางคำสอนวิธีการนั้นมีมาตั้งนาน พวกเราก็มีโอกาสได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ เด็กเล็กเด็กโตเด็กใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านการผ่านเวลาผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านประสบการณ์ น้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศล อันนี้ก็เป็นการสร้างบารมีอยู่ระดับของสมมติ สูงขึ้นไปอีกเราก็ต้องเจริญสติเข้าไปจำแนกแจกแจงให้รู้แจ้งเห็นจริง ละกิเลสให้เบาบางลงไปเรื่อยๆ

ก็ต้องพยายามเอานะ หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงแค่พูด แค่ชี้แนะวิธีการแนวทางให้พวกท่านได้พากันไปดำเนินไปปฏิบัติ เรารู้ความเป็นจริงแล้ว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งเรานอนหลับโน่นแหละ เวลารับประทานข้าวปลาอาหารก็เหมือนกัน เราก็ต้องรู้จักจำแนกแจกแจงกายของเราหิว ดูว่าใจของเราเกิดความอยาก ในภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ พิจารณาอาหารมาให้กายของเรา โดยใจไม่ให้เกิดกิเลส

กาย ทวาร ตาทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟังเราก็ ห้ามไม่ได้ เราจำแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียง ออกจากใจของเราได้แล้วหรือยัง ตากระทบรูป ใจเกิดความยินดีหรือไม่ หูกระทบเสียง ใจเกิดความยินดีผลักไสหรือว่าดึงเข้ามาหรือไม่ ทุกเรื่องเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งหมดลมหายใจโน่นแหละ

ท่านถึงบอกว่าให้ทำความเข้าใจกับ สมมติวิมุตติ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าก็จะเป็นใจที่วิมุตติจากความยึดมั่นถือมั่น ที่คลายความหลง แต่ใจยังมีกิเลส เราก็ต้องพยายามละกิเลสอีก กิเลสนี้มีมาทีหลัง สภาพเดิมจิตเดิมแท้นั้นเขาไม่มีกิเลส เขาบริสุทธิ์ แต่ความเป็นจริงนั้น กิเลส ใจของเรานี้หลง ถึงเป็นทาสของกิเลส เราก็ขัดเกลาเอาออกทีละเล็กทีละน้อย ใจเกิดความโลภก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้ามใจ เกิดความโลภก็พยายามละ พยายามคลาย พยายามเอาออก ใจเกิดความโกรธก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม


ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ จนถึงความถูกต้องคือความเป็นกลาง
ความว่าง ความว่าง..ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ความว่างนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘วิหารธรรม’ คือเครื่องอยู่ของจิต

การพูดง่าย แต่การลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เป็นบุคคลที่มีความเพียรที่ต่อเนื่องที่สืบเนื่อง แล้วก็ตามทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ การนึก การคิด การปรุงการแต่งด้วยปัญญาโลกีย์นั้นยากที่จะเข้าใจ เราต้องเจริญสติเข้าไปแยกแยะ ตามทำความเข้าใจจนใจของเราคลายออกรับรู้ มองเห็นว่าอะไรผิดอะไรถูกนั่นแหละท่านถึงเรียกว่า ‘ปัญญาธรรม’ ก็ต้องพยายามกัน แต่เวลานี้การเจริญสติก็มีบ้าง เพราะเป็นบางครั้งบางคราวแต่มีไม่ต่อเนื่อง ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้า หายใจออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว หายใจหยาบเป็นอย่างไร หายใจละเอียดเป็นอย่างไร หายใจที่เป็นธรรมชาติเป็นอย่างไร หายใจที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร ถ้าเราหมั่นฝักใฝ่ หมั่นสนใจจะมีความสุข สนุกในการดู ในการรู้ พลั้งเผลอเมื่อไหร่เราเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเมื่อไหร่เราก็เริ่มใหม่ ช่วงใหม่ๆ เรายังไม่เข้าใจ กิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้เหมือนกัน ก็ต้องพยายามกันนะ

สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรากันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปศึกษาค้นคว้าให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง