หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 82
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 82
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 82
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่
เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเราเองที่จะต้องแก้ไขตัวเรา แก้ไขใจของเรา ปรับปรุงชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ได้แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย มีแต่เรื่องของเรา ตื่นขึ้นมาก็มีแต่เรื่องของเรา 'เรา' ในที่นี้หมายถึงตัว 'ใจ' กับตัว 'ปัญญา-สติปัญญา'
สติปัญญา เราต้องสร้างขึ้นมาเข้าไปอบรมใจ ไปชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม' ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นถูก' คือใจไม่ไปหลงไปยึดในกายก้อนนี้ ไม่ไปหลงไปยึด คลายความหลง เพียงแค่คลาย ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก เห็นถูกตั้งแต่เริ่มแรก แล้วก็ตามทำความเข้าใจ ทุกอย่างก็จะถูกไปหมด คิดถูก พูดถูก ทำถูก ทำดี ละอกุศล เจริญกุศล ให้มีให้เกิดขึ้น
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากพี่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้กายปุ๊บ รู้ใจปั๊บ จะลุกจะก้าวจะเดิน ทำพันธะภาระ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำกิจกรรมต่างๆ สติปัญญาก็รู้ใจ จะคิด จะทำ สติปัญญาเป็นตัวนำ พากายไปใจรับรู้อยู่ภายใน ผิดถูกชั่วดีอย่างไรปัญญาไปแก้ไข
แต่ส่วนมากจะไม่เป็นอย่างนั้น ส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องของเรา เรื่องของเขาแต่เกิดที่เรา คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องของเขา ความเกิดอยู่ที่เรา
เราต้องมาแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา โทษตัวเราแล้วก็ปรับปรุงตัวเรา คลายความหลง ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะจิตใจหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ หมุนเวียนว่ายตายเกิด จิตใจนี่ตายไม่เป็น มีแต่หลงกับเกิด ถ้าคลายความหลงไม่ได้ ดับความเกิดไม่ได้ เขาก็หลงเกิดอยู่อย่างงั้นแหละ ไม่เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดเป็นเทวดาก็เกิดเป็นพรหม ไม่เกิดเป็นพรหมก็เกิดลงไปสู่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก
เราต้องมาแก้ไขเรา ไม่ใช่ว่าแต่ละวันๆ ก็มีแต่เรื่องภายนอก เรื่องภายนอกนี้เราก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่ แต่เป็นการยุ่งเกี่ยวด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนรูป กายของเราก็ยังต้องการอาศัยปัจจัยสี่ ความเป็นอยู่ เราก็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนหมู่มาก
ทีนี้เรามาเอาตั้งแต่ภายใน ตั้งแต่การเกิดของใจ ตั้งแต่ความคิด ทั้งทางกาย ทางใจ ทางวาจา ไล่ลงไปทำความเข้าใจให้ถูก ก็จะค่อยล้นออกไปสู่คนรอบข้าง คนรอบข้างแล้วก็ล้นออกไปสู่หมู่คณะ สู่สังคม สู่หมู่บ้าน สู่ตำบล สู่จังหวัด
ถ้าคนเราไม่เข้าใจ มันก็จะเอาตั้งแต่เรื่องภายนอกมาทับถมดวงใจของตัวเองหนักขึ้นๆ ภายในขันธ์ห้าก็คลายไม่ได้ กิเลสก็ละไม่ได้ ความเกิดก็ดับไม่ได้ ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด กิเลสทั้งอยากทั้งไม่อยาก เป็นกิเลสหมดทุกอย่างนั่นแหละ ตั้งแต่ความเกิด ความเกิดของวิญญาณ วิญญาณหรือว่าใจเกิด ความเกิดก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ นี่เป็นกิเลสละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
พระพุทธองค์ท่านได้มาค้นพบ เจริญสติสร้างความรู้ตัว เจริญสติลงที่กายให้ต่อเนื่อง คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' ปัจจุบันธรรมไม่ใช่ว่าชั่วโมงนี้ วันนี้ อันนั้นเป็นปัจจุบันในทางโลก ปัจจุบันในทางธรรมคือทุกขณะสัมผัสของลมหายใจที่เข้ากระทบปลายจมูกนั่นแหละเขาเรียกว่าปัจจุบันเวลาหายใจเข้า หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่
เพียงแค่เรื่องหายใจเข้าหายใจออกก็ยังขาดการวิเคราะห์ ขาดการทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง มีแต่ปล่อยเลยตามเลย คิดก็รู้เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ ความเกิดความดับความหลงความยึด เขารู้หมดนั่นแหละ แต่เขายังมีความหลงอยู่ ยึดมั่นในขันธ์ห้าอยู่ แล้วก็ยึดมั่นในการเกิดอยู่ ถ้าเจริญสติลงไปเรื่อยๆ ก็จะเห็น เห็นความละเอียดมากขึ้นๆ แล้วก็ขัดเกลากิเลสให้มันเบาบาง
ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ละความโกรธด้วยการให้ด้วยการเอาออก ด้วยการมองในทางที่ดี การให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี
ไล่เรียงลงไป ถ้าใจเกิดใจคิดนี่ให้ดับ ให้ละ แม้แต่สติปัญญาเกิดเป็นอกุศลก็ให้ละ ไม่ให้เกิด ให้เกิดเฉพาะที่เป็นกุศลแต่ไม่ให้ยึดอีก ไม่ให้ใจเข้าไปยึดอีก เราต้องจำแนกแจกแจงให้ได้ชัดเจน อันนี้คือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ทำไงถึงจะเป็นอัตโนมัติทุกขณะลมหายใจเข้า-ออกได้ ช่วงใหม่ๆ ก็มีการพลั้งเผลอ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ๆ เริ่มอยู่บ่อยๆ จนกำลังสติของเราเอาไปใช้การใช้งานได้ จนใจของเราอยู่ในโอวาทของปัญญาของเราได้ ไม่ใช่ว่าจะปล่อยเลย ปล่อยปละละเลย
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเรื่องหลักของอัตตาอนัตตา หลักของอริยสัจ ความเกิดความดับ ค้นพบความจริงของชีวิต พระพุทธองค์ถึงจะเกิดหรือไม่เกิด ธรรมะก็มีอยู่ประจำโลก ทีนี้ท่านเป็นองค์ค้นพบ เป็นศาสดาเอกของโลก เป็นครูบาอาจารย์ของเหล่ามนุษย์ของเหล่าเทวดา ท่านก็เอามาจำแนกแจกแจงให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเราก็พากันประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลาตัวเรา อย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ไม่ให้ใจของเราตกไปสู่อกุศล จนกว่าใจของเราจะถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น
ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ แล้วก็เป็นบุคคลที่หมั่นทำความเข้าใจให้ถูกต้อง อันนี้กายเป็นก้อนรูป ส่วนนาม วิญญาณในกาย หรือว่าตัวใจของเรา ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเราเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตาก็มีหน้าที่ดู หูก็มีหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า 'อนิจจัง' ความไม่เที่ยงในอาการของขันธ์ห้า ความเกิดความดับ อนิจจังทุกขังอนัตตาที่ปรากฏขึ้น ที่ใจของเรา เข้าไปหลง เข้าไปรวม
ถ้าสติของเรารู้ทัน ใจของเราก็จะคลายออก หงายออก เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้ากำลังสติของเราตามค้นคว้า ตามดูตามรู้ ไม่ให้ความรู้ตัวรู้กายของเราพลั้งเผลอ กำลังสติของเราก็จะเริ่มเป็นมหาสติ จากมหาสติตามค้นคว้าให้ใจรับรู้ทุกเรื่อง ด้วยความเพียรที่ยิ่งยวด สติของเราก็จะเริ่มกลายเป็นมหาปัญญา จนทำความเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริง ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน จนแม้กระทั่งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด แม้กระทั่งการเกิดของใจ อันนี้ที่ภาษาธรรมท่านก็จะเข้าสู่คำว่า 'วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ'
คำว่า 'วิปัสสนา' ก็คือความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อย หรือบางครั้งบางคราวแทบไม่มี ความคิดมีอยู่ ปัญญาของโลกีย์นี้มีเต็มเปี่ยม เราก็ต้องพยายามพลิกปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม
ถ้าใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ใจรับรู้อยู่ภายใน จะคิดเรื่องโลก คิดเรื่องอะไร ก็เป็นปัญญาธรรม เพราะใจของเราคลายความหลงออกได้แล้ว คลายความหลงแล้วก็มาละกิเลสอีก ตามความเป็นจริงนั้นใจนั้นบริสุทธิ์สะอาด เพราะว่าความไม่เข้าใจ ใจถึงมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก อยากมั่งอยากมี อยากร่ำอยากรวย อยากสวย อยากสารพัดอย่าง ความอยาก ความเกิด
ถ้าเรามาดับความเกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน ขยันด้วยสติด้วยปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ไม่ใช่ว่าไม่คิด ให้ปัญญาส่วนสมองเป็นตัวคิด ใจรับรู้ แม้แต่สมอง ถ้าเป็นอกุศล ปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามดับ
มีแต่เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น อย่าไปไขว้เขว ถ้าไปไขว้เขวออกนอกเรื่องก็ห่างไกลใจของตัวเรา พยายามเน้นสติลงที่กายแล้วก็รู้จักควบคุมใจ ควบคุมใจแล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ หมั่นอบรมใจอยู่ตลอดเวลา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้กายรู้ใจของเรา มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่ายก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย
ใจที่เป็นสมาธิ สมาธิด้วยการข่มเอาไว้ด้วยการบังคับ หรือสมาธิที่รู้แจ้งด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผล ละกิเลส ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่ปรุงแต่ง ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิด ทั้งวิ่ง ทั้งหลง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ การเกิดของใจนั่นแหละกิเลสอันละเอียดที่สุด เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้ง เพราะว่าเขาเกิดเขาหลงมานาน ไม่ใช่ว่าปุ๊บปั๊บเขาจะปล่อย เขาจะวาง เขาจะละได้ทันที มันเป็นไปไม่ได้
เราก็ต้องพยายามหาเหตุหาผลให้ได้ ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเองหรือเปล่า เรามีสัจจะ มีความละอาย มีความกล้าหาญ รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจในสิ่งที่เราแสวงหา ในสิ่งที่เราทำ รู้จักบริหารกายรู้จักบริหารใจของเราให้อยู่ในกองบุญกุศลเอาไว้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน น้อมใจน้อมกายของเราให้อยู่ในกองบุญ
ความขยันหมั่นเพียรของเรามี การกระทำของเรามี ในสิ่งที่พวกเราทำอานิสงส์ก็จะออกมา เราก็จะพลอยได้รับอานิสงส์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับอานิสงส์นั้นด้วย ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว ความเกียจคร้าน ปล่อยปละละเลย ไม่ใช่เรื่องของเราว่างั้น มันเป็นเรื่องของเราทุกคน ในเมื่อโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยม อยู่หลายคนถ้ารู้จักแก้ไขตัวเราก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่รู้จักแก้ไขตัวเรา เราก็สร้างปัญหา กูดีมึงดี คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ทั้งที่ใจของเรานั่นแหละเกิด
เรื่องของเรา มีตั้งแต่เรื่องของเราแต่เป็นของคนอื่น เรามาแก้ไขเราเสีย ปรับปรุงตัวเราเสีย คนอื่นนั้นจะดีหรือไม่ดีก็เป็นส่วนของคนอื่น ถ้าใจของเราดีคนอื่นไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าคนอื่นไม่ดีใจของเราดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าคนอื่นไม่ดีหรือคนอื่นดี ใจของเราไม่ดี เราก็มาแก้ไขที่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นอาจารย์เป็นสิ่งทดสอบใจของเรา
สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบ ว่าใจของเราจะเกิดกิเลสหรือไม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ แพ้ให้กิเลสเราก็เริ่มใหม่ ทำอยู่อย่างนี้แหละจนเป็นอัตโนมัติ จนไม่มีอะไรที่จะให้แก้ไข จนกิเลสไม่มีจะให้ละ เหลือตั้งแต่สมมติ เหลือตั้งแต่กาย เหลือแต่รูปกับนาม รอถึงวาระเวลาที่จะให้ธาตุขันธ์เขาแตกดับ ใจก็ไม่ต้องกลับมาเกิด เพราะว่าเราดับความเกิดขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่ เป็นเรื่องของเราทุกคนนะไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่นฉันจะรู้ธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะรู้ธรรม ถ้าฉันมีตั้งแต่ความเกียจคร้านล่ะ การงานก็ไม่เอา ความรับผิดชอบก็ไม่มี ความเสียสละก็ไม่มี มีตั้งแต่นิวรณ์เข้าครอบงำ ตื่นขึ้นมามีแต่เรื่องของคนอื่น เรื่องคนโน้นคนนี้ มีตั้งแต่กิเลส ช่วยเหลือบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น เป็นที่พึ่งของตัวเราไม่ได้ แม้ตั้งแต่ระดับของสมมติ ความเป็นอยู่ก็ลำบาก ขาดความขยันหมั่นเพียร ขาดความรับผิดชอบ มันไปอยู่ที่ไหนก็เลยลำบาก เพราะว่าการกระทำของเราไม่มี ความเสียสละของเราไม่มี พรหมวิหารของเราไม่มี เพียงแค่ระดับสมมติ ปัจจัยสี่ก็ไม่รู้จักบริหารให้เกิดประโยชน์มันก็เลยลำบาก ก็เลยมีตั้งแต่พันธะภาระปกปิดดวงใจของตัวเอง แล้วก็ปกปิดสมมติบีบรัดอยู่อย่างนั้น ธรรมะก็เลยเป็นเรื่องยาก ก็เลยเข้าไม่ถึงกันสักที ทั้งที่กายของเราก็เป็นก้อนบุญ ใจของเราก็เป็นตัวบุญ
เรามาเปลี่ยน มาทำความเข้าใจตรงนี้ให้ถูกต้องเสีย มาแก้ไข กิเลสเขาก็ไม่ยอมแพ้ ใหม่ๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้ ท่านถึงบอกว่า ‘เป็นการทวน เป็นการสวนกระแสกิเลส’ ถ้าเราเข้าใจแล้ว ใจของเราตกกระแสธรรมแล้ว เราก็สนุกดูรู้ใจ เป็นเพื่อนใจ มีเครื่องอยู่ ใจที่ปกติใจที่สะอาดใจที่บริสุทธิ์ ใจที่เป็นสมาธิด้วยการข่ม ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริง ด้วยการละกิเลส พลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนเริ่มใหม่ พลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนเริ่มใหม่ มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
อย่าไปโทษคนโน้นคนนี้เด็ดขาด จงโทษตัวเราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราตั้งแต่กาย วาจา ลึกลงไปถึงใจ พระพุทธองค์ให้ดับความเกิดตั้งแต่ตัวใจโน่น ในเมื่อใจได้เกิดมาในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า แล้วก็มาหลงตรงนี้ ท่านก็ให้มาคลายขันธ์ห้า แล้วก็มาเจริญพรหมวิหาร ขัดเกลากิเลสให้เบาบาง มาละกิเลส แล้วมาดับความเกิดอีก ก็ต้องพยายามกัน
หลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบใจทุกคนทั้งพระทั้งชีทั้งโยมช่วยกัน มีอะไรก็ให้ช่วยกัน ให้ระวัง ให้ระวังทั้งคำพูดคำจา ให้ระวังใจ จิตจะคิดไม่ดีอกุศลเราก็รีบดับ ใจของเราเป็นอกุศลไม่ใช่ว่าของคนอื่น ของเรา ของเราทั้งนั้น ไม่ใช่ของคนอื่น มาดัดนิสัยเราแก้ไขเรา จนใจมองเห็นความเป็นจริง ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสให้กิเลสใช้งาน เราใช้งานกิเลสให้เกิดประโยชน์ มาทำความเข้าใจกับโลกธรรม รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลก รอบรู้ในปัจจัย รอบรู้ในโลกธรรม อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่
เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเราเองที่จะต้องแก้ไขตัวเรา แก้ไขใจของเรา ปรับปรุงชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ได้แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย มีแต่เรื่องของเรา ตื่นขึ้นมาก็มีแต่เรื่องของเรา 'เรา' ในที่นี้หมายถึงตัว 'ใจ' กับตัว 'ปัญญา-สติปัญญา'
สติปัญญา เราต้องสร้างขึ้นมาเข้าไปอบรมใจ ไปชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม' ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นถูก' คือใจไม่ไปหลงไปยึดในกายก้อนนี้ ไม่ไปหลงไปยึด คลายความหลง เพียงแค่คลาย ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก เห็นถูกตั้งแต่เริ่มแรก แล้วก็ตามทำความเข้าใจ ทุกอย่างก็จะถูกไปหมด คิดถูก พูดถูก ทำถูก ทำดี ละอกุศล เจริญกุศล ให้มีให้เกิดขึ้น
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากพี่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้กายปุ๊บ รู้ใจปั๊บ จะลุกจะก้าวจะเดิน ทำพันธะภาระ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำกิจกรรมต่างๆ สติปัญญาก็รู้ใจ จะคิด จะทำ สติปัญญาเป็นตัวนำ พากายไปใจรับรู้อยู่ภายใน ผิดถูกชั่วดีอย่างไรปัญญาไปแก้ไข
แต่ส่วนมากจะไม่เป็นอย่างนั้น ส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องของเรา เรื่องของเขาแต่เกิดที่เรา คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องของเขา ความเกิดอยู่ที่เรา
เราต้องมาแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา โทษตัวเราแล้วก็ปรับปรุงตัวเรา คลายความหลง ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะจิตใจหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ หมุนเวียนว่ายตายเกิด จิตใจนี่ตายไม่เป็น มีแต่หลงกับเกิด ถ้าคลายความหลงไม่ได้ ดับความเกิดไม่ได้ เขาก็หลงเกิดอยู่อย่างงั้นแหละ ไม่เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดเป็นเทวดาก็เกิดเป็นพรหม ไม่เกิดเป็นพรหมก็เกิดลงไปสู่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก
เราต้องมาแก้ไขเรา ไม่ใช่ว่าแต่ละวันๆ ก็มีแต่เรื่องภายนอก เรื่องภายนอกนี้เราก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่ แต่เป็นการยุ่งเกี่ยวด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนรูป กายของเราก็ยังต้องการอาศัยปัจจัยสี่ ความเป็นอยู่ เราก็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนหมู่มาก
ทีนี้เรามาเอาตั้งแต่ภายใน ตั้งแต่การเกิดของใจ ตั้งแต่ความคิด ทั้งทางกาย ทางใจ ทางวาจา ไล่ลงไปทำความเข้าใจให้ถูก ก็จะค่อยล้นออกไปสู่คนรอบข้าง คนรอบข้างแล้วก็ล้นออกไปสู่หมู่คณะ สู่สังคม สู่หมู่บ้าน สู่ตำบล สู่จังหวัด
ถ้าคนเราไม่เข้าใจ มันก็จะเอาตั้งแต่เรื่องภายนอกมาทับถมดวงใจของตัวเองหนักขึ้นๆ ภายในขันธ์ห้าก็คลายไม่ได้ กิเลสก็ละไม่ได้ ความเกิดก็ดับไม่ได้ ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด กิเลสทั้งอยากทั้งไม่อยาก เป็นกิเลสหมดทุกอย่างนั่นแหละ ตั้งแต่ความเกิด ความเกิดของวิญญาณ วิญญาณหรือว่าใจเกิด ความเกิดก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ นี่เป็นกิเลสละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
พระพุทธองค์ท่านได้มาค้นพบ เจริญสติสร้างความรู้ตัว เจริญสติลงที่กายให้ต่อเนื่อง คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' ปัจจุบันธรรมไม่ใช่ว่าชั่วโมงนี้ วันนี้ อันนั้นเป็นปัจจุบันในทางโลก ปัจจุบันในทางธรรมคือทุกขณะสัมผัสของลมหายใจที่เข้ากระทบปลายจมูกนั่นแหละเขาเรียกว่าปัจจุบันเวลาหายใจเข้า หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่
เพียงแค่เรื่องหายใจเข้าหายใจออกก็ยังขาดการวิเคราะห์ ขาดการทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง มีแต่ปล่อยเลยตามเลย คิดก็รู้เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ ความเกิดความดับความหลงความยึด เขารู้หมดนั่นแหละ แต่เขายังมีความหลงอยู่ ยึดมั่นในขันธ์ห้าอยู่ แล้วก็ยึดมั่นในการเกิดอยู่ ถ้าเจริญสติลงไปเรื่อยๆ ก็จะเห็น เห็นความละเอียดมากขึ้นๆ แล้วก็ขัดเกลากิเลสให้มันเบาบาง
ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ละความโกรธด้วยการให้ด้วยการเอาออก ด้วยการมองในทางที่ดี การให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี
ไล่เรียงลงไป ถ้าใจเกิดใจคิดนี่ให้ดับ ให้ละ แม้แต่สติปัญญาเกิดเป็นอกุศลก็ให้ละ ไม่ให้เกิด ให้เกิดเฉพาะที่เป็นกุศลแต่ไม่ให้ยึดอีก ไม่ให้ใจเข้าไปยึดอีก เราต้องจำแนกแจกแจงให้ได้ชัดเจน อันนี้คือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ทำไงถึงจะเป็นอัตโนมัติทุกขณะลมหายใจเข้า-ออกได้ ช่วงใหม่ๆ ก็มีการพลั้งเผลอ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ๆ เริ่มอยู่บ่อยๆ จนกำลังสติของเราเอาไปใช้การใช้งานได้ จนใจของเราอยู่ในโอวาทของปัญญาของเราได้ ไม่ใช่ว่าจะปล่อยเลย ปล่อยปละละเลย
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเรื่องหลักของอัตตาอนัตตา หลักของอริยสัจ ความเกิดความดับ ค้นพบความจริงของชีวิต พระพุทธองค์ถึงจะเกิดหรือไม่เกิด ธรรมะก็มีอยู่ประจำโลก ทีนี้ท่านเป็นองค์ค้นพบ เป็นศาสดาเอกของโลก เป็นครูบาอาจารย์ของเหล่ามนุษย์ของเหล่าเทวดา ท่านก็เอามาจำแนกแจกแจงให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเราก็พากันประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลาตัวเรา อย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ไม่ให้ใจของเราตกไปสู่อกุศล จนกว่าใจของเราจะถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น
ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ แล้วก็เป็นบุคคลที่หมั่นทำความเข้าใจให้ถูกต้อง อันนี้กายเป็นก้อนรูป ส่วนนาม วิญญาณในกาย หรือว่าตัวใจของเรา ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเราเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตาก็มีหน้าที่ดู หูก็มีหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า 'อนิจจัง' ความไม่เที่ยงในอาการของขันธ์ห้า ความเกิดความดับ อนิจจังทุกขังอนัตตาที่ปรากฏขึ้น ที่ใจของเรา เข้าไปหลง เข้าไปรวม
ถ้าสติของเรารู้ทัน ใจของเราก็จะคลายออก หงายออก เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้ากำลังสติของเราตามค้นคว้า ตามดูตามรู้ ไม่ให้ความรู้ตัวรู้กายของเราพลั้งเผลอ กำลังสติของเราก็จะเริ่มเป็นมหาสติ จากมหาสติตามค้นคว้าให้ใจรับรู้ทุกเรื่อง ด้วยความเพียรที่ยิ่งยวด สติของเราก็จะเริ่มกลายเป็นมหาปัญญา จนทำความเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริง ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน จนแม้กระทั่งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด แม้กระทั่งการเกิดของใจ อันนี้ที่ภาษาธรรมท่านก็จะเข้าสู่คำว่า 'วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ'
คำว่า 'วิปัสสนา' ก็คือความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อย หรือบางครั้งบางคราวแทบไม่มี ความคิดมีอยู่ ปัญญาของโลกีย์นี้มีเต็มเปี่ยม เราก็ต้องพยายามพลิกปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม
ถ้าใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ใจรับรู้อยู่ภายใน จะคิดเรื่องโลก คิดเรื่องอะไร ก็เป็นปัญญาธรรม เพราะใจของเราคลายความหลงออกได้แล้ว คลายความหลงแล้วก็มาละกิเลสอีก ตามความเป็นจริงนั้นใจนั้นบริสุทธิ์สะอาด เพราะว่าความไม่เข้าใจ ใจถึงมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก อยากมั่งอยากมี อยากร่ำอยากรวย อยากสวย อยากสารพัดอย่าง ความอยาก ความเกิด
ถ้าเรามาดับความเกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน ขยันด้วยสติด้วยปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ไม่ใช่ว่าไม่คิด ให้ปัญญาส่วนสมองเป็นตัวคิด ใจรับรู้ แม้แต่สมอง ถ้าเป็นอกุศล ปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามดับ
มีแต่เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น อย่าไปไขว้เขว ถ้าไปไขว้เขวออกนอกเรื่องก็ห่างไกลใจของตัวเรา พยายามเน้นสติลงที่กายแล้วก็รู้จักควบคุมใจ ควบคุมใจแล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ หมั่นอบรมใจอยู่ตลอดเวลา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้กายรู้ใจของเรา มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่ายก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย
ใจที่เป็นสมาธิ สมาธิด้วยการข่มเอาไว้ด้วยการบังคับ หรือสมาธิที่รู้แจ้งด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผล ละกิเลส ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่ปรุงแต่ง ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิด ทั้งวิ่ง ทั้งหลง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ การเกิดของใจนั่นแหละกิเลสอันละเอียดที่สุด เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้ง เพราะว่าเขาเกิดเขาหลงมานาน ไม่ใช่ว่าปุ๊บปั๊บเขาจะปล่อย เขาจะวาง เขาจะละได้ทันที มันเป็นไปไม่ได้
เราก็ต้องพยายามหาเหตุหาผลให้ได้ ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเองหรือเปล่า เรามีสัจจะ มีความละอาย มีความกล้าหาญ รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจในสิ่งที่เราแสวงหา ในสิ่งที่เราทำ รู้จักบริหารกายรู้จักบริหารใจของเราให้อยู่ในกองบุญกุศลเอาไว้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน น้อมใจน้อมกายของเราให้อยู่ในกองบุญ
ความขยันหมั่นเพียรของเรามี การกระทำของเรามี ในสิ่งที่พวกเราทำอานิสงส์ก็จะออกมา เราก็จะพลอยได้รับอานิสงส์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับอานิสงส์นั้นด้วย ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว ความเกียจคร้าน ปล่อยปละละเลย ไม่ใช่เรื่องของเราว่างั้น มันเป็นเรื่องของเราทุกคน ในเมื่อโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยม อยู่หลายคนถ้ารู้จักแก้ไขตัวเราก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่รู้จักแก้ไขตัวเรา เราก็สร้างปัญหา กูดีมึงดี คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ทั้งที่ใจของเรานั่นแหละเกิด
เรื่องของเรา มีตั้งแต่เรื่องของเราแต่เป็นของคนอื่น เรามาแก้ไขเราเสีย ปรับปรุงตัวเราเสีย คนอื่นนั้นจะดีหรือไม่ดีก็เป็นส่วนของคนอื่น ถ้าใจของเราดีคนอื่นไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าคนอื่นไม่ดีใจของเราดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าคนอื่นไม่ดีหรือคนอื่นดี ใจของเราไม่ดี เราก็มาแก้ไขที่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นอาจารย์เป็นสิ่งทดสอบใจของเรา
สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบ ว่าใจของเราจะเกิดกิเลสหรือไม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ แพ้ให้กิเลสเราก็เริ่มใหม่ ทำอยู่อย่างนี้แหละจนเป็นอัตโนมัติ จนไม่มีอะไรที่จะให้แก้ไข จนกิเลสไม่มีจะให้ละ เหลือตั้งแต่สมมติ เหลือตั้งแต่กาย เหลือแต่รูปกับนาม รอถึงวาระเวลาที่จะให้ธาตุขันธ์เขาแตกดับ ใจก็ไม่ต้องกลับมาเกิด เพราะว่าเราดับความเกิดขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่ เป็นเรื่องของเราทุกคนนะไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่นฉันจะรู้ธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะรู้ธรรม ถ้าฉันมีตั้งแต่ความเกียจคร้านล่ะ การงานก็ไม่เอา ความรับผิดชอบก็ไม่มี ความเสียสละก็ไม่มี มีตั้งแต่นิวรณ์เข้าครอบงำ ตื่นขึ้นมามีแต่เรื่องของคนอื่น เรื่องคนโน้นคนนี้ มีตั้งแต่กิเลส ช่วยเหลือบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น เป็นที่พึ่งของตัวเราไม่ได้ แม้ตั้งแต่ระดับของสมมติ ความเป็นอยู่ก็ลำบาก ขาดความขยันหมั่นเพียร ขาดความรับผิดชอบ มันไปอยู่ที่ไหนก็เลยลำบาก เพราะว่าการกระทำของเราไม่มี ความเสียสละของเราไม่มี พรหมวิหารของเราไม่มี เพียงแค่ระดับสมมติ ปัจจัยสี่ก็ไม่รู้จักบริหารให้เกิดประโยชน์มันก็เลยลำบาก ก็เลยมีตั้งแต่พันธะภาระปกปิดดวงใจของตัวเอง แล้วก็ปกปิดสมมติบีบรัดอยู่อย่างนั้น ธรรมะก็เลยเป็นเรื่องยาก ก็เลยเข้าไม่ถึงกันสักที ทั้งที่กายของเราก็เป็นก้อนบุญ ใจของเราก็เป็นตัวบุญ
เรามาเปลี่ยน มาทำความเข้าใจตรงนี้ให้ถูกต้องเสีย มาแก้ไข กิเลสเขาก็ไม่ยอมแพ้ ใหม่ๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้ ท่านถึงบอกว่า ‘เป็นการทวน เป็นการสวนกระแสกิเลส’ ถ้าเราเข้าใจแล้ว ใจของเราตกกระแสธรรมแล้ว เราก็สนุกดูรู้ใจ เป็นเพื่อนใจ มีเครื่องอยู่ ใจที่ปกติใจที่สะอาดใจที่บริสุทธิ์ ใจที่เป็นสมาธิด้วยการข่ม ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริง ด้วยการละกิเลส พลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนเริ่มใหม่ พลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนเริ่มใหม่ มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
อย่าไปโทษคนโน้นคนนี้เด็ดขาด จงโทษตัวเราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราตั้งแต่กาย วาจา ลึกลงไปถึงใจ พระพุทธองค์ให้ดับความเกิดตั้งแต่ตัวใจโน่น ในเมื่อใจได้เกิดมาในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า แล้วก็มาหลงตรงนี้ ท่านก็ให้มาคลายขันธ์ห้า แล้วก็มาเจริญพรหมวิหาร ขัดเกลากิเลสให้เบาบาง มาละกิเลส แล้วมาดับความเกิดอีก ก็ต้องพยายามกัน
หลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบใจทุกคนทั้งพระทั้งชีทั้งโยมช่วยกัน มีอะไรก็ให้ช่วยกัน ให้ระวัง ให้ระวังทั้งคำพูดคำจา ให้ระวังใจ จิตจะคิดไม่ดีอกุศลเราก็รีบดับ ใจของเราเป็นอกุศลไม่ใช่ว่าของคนอื่น ของเรา ของเราทั้งนั้น ไม่ใช่ของคนอื่น มาดัดนิสัยเราแก้ไขเรา จนใจมองเห็นความเป็นจริง ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสให้กิเลสใช้งาน เราใช้งานกิเลสให้เกิดประโยชน์ มาทำความเข้าใจกับโลกธรรม รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลก รอบรู้ในปัจจัย รอบรู้ในโลกธรรม อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน