หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 8

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 8
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 8
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 8
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 มกราคม 2562

ดูดีๆ พระเราชีเรา ตื่นขึ้นมาก็รีบพิจารณากายพิจารณาใจของตัวเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้กาย รู้ลม รู้ใจ รู้ความปกติ รู้การเกิดการดับของความคิดของจิตใจ ของวิญญาณในกายของเรา


ทั้งพระใหม่พระเก่าเราพยายามเป็นผู้ใหม่ตลอด ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ใหม่ ไม่ใช่ว่าบวชมานานเป็นพระเก่าอัตตาเยอะ ในหลักธรรมแล้วท่านก็ให้เป็นผู้ใหม่ ผู้ตื่น ผู้รู้ผู้ตื่นทุกขณะ ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก หรือว่าทุกขณะจิต มีโอกาสทุกเรื่องเป็นเรื่องชีวิตของเรา

พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแนวทาง แล้วก็มาเปิดเผยจำแนกแจกแจง ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิต ในชีวิตของเรานี้มีอะไรบ้างที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ท่านให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปอบรมใจ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก’ เห็นถูกในข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด

ตามเห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในกาย เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ในกายเป็นอย่างนี้ เห็นความเกิดความดับของวิญญาณในกาย เห็นใจ เห็นใจของเราเข้าไปรวมเข้าไปร่วมกับขันธ์ห้า เห็นใจวิ่งออกไปภายนอกนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘เห็นอริยสัจ’ ที่นี้เราจะทำความเข้าใจได้ตลอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่ความเพียรของเรา เราจะละกิเลสได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่ความเพียรของเรา กิเลสก็มีหลายอย่างนะกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสทั้งเป็นละเอียด กิเลสหยาบ

ตามความเป็นจริงนี้ ใจของคนเรานี้หลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด มีความเกิดก็มีความหลง ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่เกิด แล้วก็หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มีร่างกายมีขันธ์ห้า แล้วก็มายึดในร่างอันนี้ว่าเป็นตัวเป็นตน แล้วก็เกิดต่อ ขณะยังมีลมหายใจยังมีการเกิดต่อ เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง อดีตบ้าง อนาคตบ้าง เกิดต่อยังไม่พอ ยังเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสก็มีหลายอย่าง ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ทั้งกุศลและอกุศล

มีหลายอย่างที่เราจะต้องศึกษาชีวิตของเรา แก้ไขชีวิตของเรา ศรัทธามีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นศรัทธาที่ยังขาดการเจริญภาวนา รู้แจ้งเห็นจริง ศรัทธาอยู่ในกายสร้างบุญบารมี คนที่จะมีเข้าถึงความเป็นจริงได้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละสร้างตบะบารมี แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความกตัญญูกตเวที เรามีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่า สิ่งพวกนี้เป็นความเพียร เรารู้จักขัดเกลากิเลสของเราหรือเปล่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง

ความหลงนี้ต้องเจริญสติเข้าไปคลาย เข้าไปวิเคราะห์เขาถึงจะแยกได้คลายได้ ถ้าแยกไม่ได้คลายไม่ได้ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ก็ต้องหลง ความเกิดนั่นแหละเป็นกิเลสอันละเอียดที่สุด คนไม่ค่อยจะสนใจ คิดก็รู้ ทำก็รู้ เขาก็หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นแหละ ถ้าเราเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนใจคลายออกมาได้นั่นแหละ ความหลงถึงจะคลาย

เอ้ย อะไรแมวไปไล่นก เอ้ยไปล่ะ อะไรไปไล่นกหรือไล่ไก่ อ๋อธรรมดา ฆ่าแกงกันตีกัน กัดกันตาย เพราะว่าคนเรามาเท่าไหร่ก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่ามีการผลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราต้องพยายามศึกษาหาความรู้ตรงนี้ขณะที่ยังมีกำลังกาย ยังร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ตายทางกายเนื้อ ทางด้านรูป

ที่นี้เราก็มาดับความเกิดภายใน ถ้าไม่อยากจะเกิด ความตายนี่ มารับเอาโลงศพที่นี่ทุกวันๆ วันละ 2 โลง 3 โลง หมดไปแล้วประมาณ 1,600 - 1,700 กว่าโลงแล้ว นี่แหละญาติโยม ที่หลวงพ่อประกาศไปเมื่อวานนี้ ญาติโยมท่านใดอยากจะมาร่วมผ้าขาวห่อศพก็ให้พากันเอามาคนละผืนสองผืน หรือคนละมัดสองมัด เพราะว่าใช้เยอะ ใช้เยอะ ผ้าขาวห่อศพมอบให้แต่ละโลงแต่ละคน ศพละ 2 ผืน และก็ดอกไม้ธูปเทียนและก็ผ้าไตรจีวร 1 ชุด และก็เงินช่วยทำศพอีก 5,000 ตอนนี้เวลานี้ก็ผ้าขาวนี่ขาดเยอะ ขาดเยอะเพราะอนุเคราะห์ให้ 2 ที่ ที่ขอนแก่นเรา ทีแรกก็ว่าตำบลสำราญที่นี้ก็รอบเมืองขอนแก่นมาหมดเลย ทางปักธงชัยก็เหมือนกันก็ได้อนุเคราะห์ให้ทำเหมือนกันกับที่ขอนแก่น เริ่มทำตั้งแต่ปีที่ผ่านมาก็มารับเอาประมาณ 200 กว่าโลง 200 กว่าศพ

มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างบารมีกัน บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ทำดีคิดดี ทำน้อยก็เป็นของเรา ทำมากก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ ส่วนการขัดเกลากิเลสเราก็ต้องพยายามขัดเกลากิเลสของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจเกิดความโลภความโกรธ ใจเกิดความทะเยอทะยานอยาก ความคิดอะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม


การวิเคราะห์ การสังเกต การอบรมใจของเรา จนใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรานั่นแหละ ชี้เหตุชี้ผล เจริญสติไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริงเราก็จะขัดเกลากิเลสของเราออกไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ใจของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์เบาบางลงไปเรื่อยๆ ตามคำสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติ การวิเคราะห์ การแยกรูปแยกนาม การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ก็จะค่อยเบาบางไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก

ภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมคำว่า ‘สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง’ เป็นลักษณะอย่างไรเราต้องจำแนกแจกแจงแยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจของเรา ทวารทั้งหกนี่เขาทำหน้าที่ของเขา เราห้ามไม่ได้ ตาห้ามดู ห้ามอย่าไปดูก็ห้ามไม่ได้ หูห้ามฟังก็ห้ามไม่ได้ แต่เราเอาสติปัญญาของเราไปวิเคราะห์ใจของเราโน่น ใจเกิดความยินดีหรือไม่ ใจเกิดความอยากผลักไส หรือว่าดึงเข้ามาหรือไม่ ทุกเรื่องเลยนะในชีวิตของเรา ทุกเรื่องไม่ใช่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทุกเรื่องจนกระทั่งหมดลมหายใจ จนใจละกิเลสออกหมด ละวางความยึดมั่นถือมั่นได้ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน


ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่โน่นจะเข้าใจ ปฏิบัติธรรมที่นี่จะเข้าใจ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้องมันก็ยากที่จะเข้าใจ เราอยู่กับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ เราจะไปหลีกลี้หนีตรงนี้ไม่ได้นอกจากเราจะรู้ด้วยปัญญาเท่านั้นแหละ หลบหลีกด้วยปัญญาอยู่ด้วยปัญญา แล้วเราจะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน เราก็แบกสมมติไป คือร่างกายของเรานี่แหละก้อนสมมติ เราจะหนีสมมติก้อนนี้ไม่ได้ นอกจากร่างกายจะหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติส่วนรูปธรรม

เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์คลายใจออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ตัววิญญาณ กองวิญญาณ กองร่างกายก็กองรูป กองความคิด กองอารมณ์ กองสังขาร ที่พากันสวดมนต์ทำวัตรเช้า-วัตรเย็น ว่าอะไรก็ไม่เที่ยง อะไรก็ไม่เที่ยง ทำไมถึงไม่เที่ยงเราต้องเห็นที่ว่าความไม่เที่ยงนั้น คือความเกิดความดับ ความเกิดความดับ


ในเมื่อกายได้เกิดมาแล้ว ก็ดูแลรักษาให้เขาไปให้ถูกที่ถูกทาง ไม่เบียดเบียนตนเบียดเบียนคนอื่น เพราะว่ากายเป็นก้อนทุกข์เราก็ทำความเข้าใจ อยู่กับร่างกายก้อนนี้จนถึงวาระเวลาของเขาส่วนด้านจิตใจเราก็พยายามขัดเกลากิเลส คลายใจออกให้รับรู้ ให้มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง เขาก็จะได้ไม่หลงไม่ยึด

ใจคนเรานี่ก็แปลก ถ้าฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาเอาจริงๆ เขาถึงจุดหมายปลายทางได้เพราะเขามีเหตุมีผลเหมือนกัน กิเลสก็มีเหตุมีผลเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเขาเกิดมานาน เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เรามาดูรู้ให้อยู่ในภพของมนุษย์นี่แหละ มาแก้ไขอยู่ในภพของมนุษย์ให้ได้ ตื่นขึ้นมาสติของเราต่อเนื่องหรือไม่ ความเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความอดทน สารพัดอย่างที่เราจะต้องทำความเข้าใจ

คำว่า ‘ทุกขณะจิต’ คำว่า ‘ทุกขณะลมหายใจ’ ตรงนี้แหละ ใหม่ๆ คำว่า ‘ความรู้ตัว’ ของเราไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี ให้ได้ในทุกอิริยาบถ เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ยังพากันทำกันยากอยู่ เราต้องพยายาม พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง


ส่วนการเกิดการดับของจิตของใจเรานั้นมีอยู่เดิม การเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมนั้นก็มีอยู่เดิม ความคิดเก่านั่นแหละเขาเกิดอย่างไร เขาส่งไปภายนอกได้อย่างไร

ความรู้ตัวของเราสร้างขึ้นมาแล้ว ก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องกัน 5 นาที 10 นาที 20 นาที 30 นาทีขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าความรู้ตัวของเราเข้มแข็งเราก็เจาะลึกเห็นลักษณะอาการของใจใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้ ส่วนความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด หรือว่าขันธ์ห้าเขาผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ขณะผุดขึ้นมา ใจของเราเคลื่อนไปรวมได้อย่างไร


นี่แหละเราสังเกตวิเคราะห์ ถ้าเราสังเกตทันเราไม่จำเป็นไปจับเขาแยกยากเลย ใจจะแยกออกจากขันธ์ห้าได้โดยอัตโนมัติ เขาจะพลิกแยกเหมือนกับเราตัดของที่วงกลม เราตัดวงกลมออกมันก็เชื่อมต่อกันไม่ได้ ถ้าเรารู้ทันปุ๊ปใจมันก็จะดีดออก หงายขึ้นมา ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา

เราก็จะเข้าใจว่า ‘อัตตาเป็นอย่างนี้’ ‘อนัตตาเป็นอย่างนี้’ กำลังสติของเราตามเห็นการเกิดดับของขันธ์ห้านั่นแหละเขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ส่วนใจของเราก็ว่างรับรู้อยู่ ตามดูตามรู้ตามเห็นว่าเป็นเรื่องอะไร เขาจบลงอย่างไร ตามดูทุกเรื่องจนเกิดความเบื่อหน่าย

ใจเกิดความเบื่อหน่าย ใจมันจะหลบหลีก หาทางหลบหลีกไม่ได้ก็อยู่อุเบกขา ทำความเข้าใจนี่แหละที่เรียกว่า ‘ทำความเข้าใจกับกรรม’ ตัวขันธ์ห้านี่แหละคือ ตัวกรรม ถ้าเราแยกแยะได้ ตามดูได้ ก็มาปรุงแต่งใจของเราไม่ได้ กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรง พุ่งแรง


ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ถ้าตามดู ตามรู้ ตามเห็นไม่ลดละ จนไม่มีอะไรเหลือที่ใจให้ตามดู นอกจากรู้ความจริงแล้ว ขัดเกลากิเลส ละกิเลส ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ ยิ่งทำความเข้าใจแล้วค่อยละ ละจนไม่มีอะไรที่จะเหลือ จนเหลือตั้งแต่ใจกับส่วนรูป กับส่วนปัญญาทำความเข้าใจ อะไรคือโลก อะไรคือธรรม ธรรมภายในเราก็ไม่เข้าไม่ยึด ปล่อยวางให้หมดเลย แม้แต่ใจของเรา วางใจให้เป็นอิสรภาพ วางกายให้เป็นอิสรภาพ

ที่นี้เราส่วนมากก็เพียงแค่การเจริญสติยังมีไม่เพียงพอ ส่วนมากก็ไปนึกเอาว่าตัวใจนั่นแหละคือสติ ความคิดนั่นแหละคือสติปัญญา มันเป็นสติปัญญาอยู่แต่เป็นสติปัญญาของโลกียะ ไม่ใช่สติปัญญาของโลกุตตระที่จะเข้าไปดับทุกข์ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล พระพุทธองค์ท่านสอนลงที่เหตุ ท่านชี้ลงที่เหตุ ไม่ใช่ว่าจะไปชี้แบบไม่มีเหตุไม่มีผล เหตุผลของการเกิดการดับการหลง การแยกการคลาย การขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด นิวรณธรรม มลทินนั้นมีหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะมีกำลังสติไปค้นคว้าเพียงพอหรือไม่ เรามีศรัทธาเต็มเปี่ยมหรือไม่

ท่านถึงวางรากฐานเอาไว้ตั้งแต่ทานศีลสมาธิ ทานก็เพื่อจุดหมาย ความมุ่งหมายของทานคือขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ศีลก็เพื่อที่จะควบคุมกิเลสหยาบๆ ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ ศีลสังคม ศีลสมมติ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 คร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จะปฏิบัติคร่ำเคร่งอย่างไร ก็เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ก็เพื่อที่จะละกิเลส จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะทำใจให้บริสุทธิ์ ทำใจให้สะอาด

เราต้องพยายามทำความเข้าใจกับความหมายของภาษาธรรม ภาษาโลก ความหมายของการศึกษาค้นคว้าชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ทั้งพระใหม่พระเก่า เราต้องเป็นผู้ใหม่ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ตลอดเวลา เป็นคนมีความขยัน เป็นคนมีความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ท่านถึงบอกให้พิจารณาทุกเรื่องๆ อาหารการอยู่การขบการฉันเป็นอย่างไร

ในเมื่อกายก็ต้องการอาหาร เราก็ต้องรู้จักพิจารณาภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ ให้รู้จักพิจารณาเสียก่อน ขณะรับประทานข้าวปลาอาหารหรือขณะที่จะเอารับประทานข้าวปลาอาหาร เราก็ดู ใจเกิดความอยากหรือไม่ ใจปกติหรือไม่ ใจเกิดความยินดีไหม ยินร้ายไหมผลักไสไหม ดึงเข้ามาไหม กะประมาณในการขบฉันของตัวเองหรือเปล่า เอาเท่านี้กิเลสมันก็บอกว่าเอาเยอะๆ มันก็กลัวไม่อิ่ม มันก็สั่งให้เอาเยอะๆ เอาเยอะๆ แล้วก็ทานไม่หมด เราก็ต้องหัดพิเคราะห์หัดพิจารณา อย่างนั้นท่านถึงบอกปฏิสังขาโยทุกเรื่องนั่นแหละ ตากระทบรูปก็เหมือนกัน หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เราก็เอาด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยใจที่ไม่เกิดกิเลส

เราต้องพยายามกัน ทั้งพระบวชใหม่พระบวชเก่า เราก็ต้องพยายามศึกษาตัวเรา แก้ไขตัวเราไม่ใช่ว่าธรรมะจะอยู่ที่โน้นอยู่ที่นี่ ธรรมะก็อยู่ที่กายที่ใจของเรา ถ้าเรารู้จักค้นคว้า ถ้าเรารู้จักทำความเข้าใจ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กายวิเวกจากพันธะภาระหน้าที่ต่างๆ จากสมติที่เราเคยทำมา ที่นี้ใจวิเวกจากการเกิด จากกิเลส จากความคิด จากอารมณ์ ขันธ์ห้าเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ใจของเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะว่าใจมันก็หลอกตัวเองอยู่ เขาเรียกว่า ‘จิตหลอกจิต’ หลายชั้น

การฝึกหัดปฏิบัติธรรมต้องเป็นบุคคลที่มีความละเอียด มีความเพียรเป็นเลิศ หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต หัดทำความเข้าใจ ตามดู รู้เหตุรู้ผล จนไม่มีอะไรมาโต้แย้ง เราก็จะระลึกนึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้ามีจริง ถ้าไม่มีจริงท่านคงไม่ค้นพบหลักของอริยสัจ ท่านคงไม้ค้นพบวิธีการแนวทาง ท่านไม่ค้นพบหลักของวิปัสสนา คำว่า ‘วิปัสสนา’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความรู้แจ้งเห็นจริงใจต้องคลายออกจากขันธ์ห้าเสียก่อน แยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา อันนั้นเป็นวิปัสสนึก ไม่ใช่วิปัสสนา

วิปัสสนานั้นต้องให้ใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม ใจหงายขึ้นมา ปัญญาตามดูชี้เหตุชี้ผล ใจเกิดกิเลสก็รู้จักละกิเลส ใจเกิดความโลภก็รู้จักขัดเกลาให้ รู้จักให้ รู้จักเอาออก ใจเกิดความโกรธก็รู้จักดับความโกรธ ให้อภัยอโหสิกรรม ไม่ใช่ว่าสะสมแต่กิเลสเข้าทับถมดวงใจของตัวเอง ส่วนมากก็มีตั้งแต่แสวงหากิเลสเข้าทับถมดวงใจของตัวเองก็เลยเข้าไม่ถึงความเป็นจริงสักที ก็เลยแบกตั้งแต่ทุกข์ กายก็ทุกข์ใจก็ทุกข์เพราะว่าไม่รู้จักวิธีแก้ไข ก็ต้องพยายาม

แนวทางหนทางมีอยู่ ถ้าใจของเราคลายออกมาได้ตามดูรู้เห็นความเป็นจริงได้การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา เขารู้ความเป็นจริง มีตั้งแต่จะเดินสติ เดินปัญญา ตัดกิเลสละกิเลสให้มันหมด ดับความเกิดให้มันได้กายเนื้อแตกดับก็ไม่กลับมาเกิดกัน อันนี้หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปฝึกหัดปฏิบัติก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ได้แค่ฟัง ฟังก็ได้แค่ฟัง

ส่วนมากก็ได้แค่ทำบุญให้ทานก็ยังดี ไม่ใช่อย่าไปปล่อยปละละเลยบุญเล็กน้อยก็เป็นของเราบุญมากก็เป็นของเรา โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดมีโอกาสเราก็ช่วยกันทำ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนบุคคลมีบุญจะรีบตักตวงสะสมสร้างบุญบารมีให้มี ให้เกิด ให้สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ตั้งแต่ทาน ศีล สมาธิปัญญา ถ้าเราศึกษาค้นคว้าให้ละเอียดถึงจุดหมายปลายทาง สติ ปัญญา สมาธิ เขาจะรักษาเราเอง ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นเพียงแค่อิริยาบถ จะร้องตะโกนอยู่ในใจก็ไม่เกิด จะทำอะไรอยู่ ใจก็ว่างก็บริสุทธิ์ ถ้าเขาถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าเขารู้ตามความเป็นจริงแล้ว ท่านถึงบอกว่าสติปัญญา สมาธิ เขาจะรักษาเราเอง

ช่วงใหม่ๆ สติไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี สติไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องสร้างให้ต่อเนื่อง ใจของเราควบคุมไม่อยู่เราก็ใช้วิธีการแนวทางสารพัดอย่าง บางคนก็ใช้สมถะ บางคนก็แล้วแต่อุบายแล้วแต่วิธีที่จะทำใจของเราให้สงบ บังคับใจของเราให้หยุดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ใจของคนเรานี่ก็แปลกเหมือนกับนักโทษนั่นแหละ ถ้าเปรียบเหมือนนักโทษประหาร นักโทษประหารเขาต้องใส่ตรวนทั้งข้อมือข้อเท้าจับยัดเข้าไปในกรงขัง นักโทษประหารรอประหาร แต่ฝึกหัด แต่เวลาไปอยู่ในคุก แล้วก็ปฏิบัติตัวใหม่ ทำตัวดีขึ้น รู้จักรับผิดชอบ รู้จักมีความเสียสละสร้างบารมี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ขยันหมั่นเพียร จากนักโทษประหารก็คลายลงมาเป็นนักโทษตลอดชีวิต ปฏิบัติตัวดีขึ้นก็ค่อยลดหย่อนโทษไปเรื่อยๆ จากโซ่ตรวนก็ปลดโซ่ตรวนออกปลดโซ่ตรวนออกทีละเล็กทีละน้อย ก็ปฏิบัติตัวดีขึ้นๆ ดีขึ้นจากโทษประหารก็เหลืออยู่ที่โทษจำคุกตลอดชีวิต จากโทษจำคุกตลอดชีวิตก็ลดเหลืออยู่เท่านั้นปี เท่านี้ปี ลดลงมาเรื่อยๆ การปฏิบัติตัวดีขึ้นๆ ดีขึ้น จนคลายโซ่ตรวนออก จนเป็นนักโทษรออภัยทาน อโหสิกรรม นั่นแหละการปฏิบัติตัว

ใจของคนเราก็เหมือนกัน ถ้าฝึกหักปฏิบัติขัดเกลากิเลสออก ช่วงใหม่ๆ เขาก็ดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อฟัง กำลังสติก็ทั้งเฆี่ยนทั้งตีสารพัดอย่าง ทั้งเฆี่ยนทั้งตี ทั้งขัดทั้งเกลา ที่จะเอาเขาให้อยู่ แล้วก็ค่อยอบรมเขา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา จนมองเห็นเหตุเห็นผล ถ้าเขารู้ความจริงแล้วขัดเกลากิเลสเอาออก เราดับความเกิดแล้ว เขารู้ความจริงแล้ว จะเอาเชือกเอาช้างมาฉุดเขาก็ไม่เกิด เพราะว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา ก็ต้องพยายาม

พวกเราล่ะ แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาสร้างสะสมแต่กิเลสเข้าใส่ตัวเอง มีตั้งแต่ความอยาก อยากโน่นอยากนี่ อยากมี อยากเป็นอยากไป ในหลักธรรมทั้งความอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละถ้ามีความเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แล้วก็มาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เรามีโอกาสมากที่สุด ให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ จำแนก แจกแจงกิเลสของเราเบาบางลง ลงไปเรื่อยๆ ก็ที่ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘โสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผล’ เบาบางลงไปเรื่อย ‘อนาคามีมรรค-อนาคามีผล’ ‘สกิทาคามีมรรค-สกิทาคามีผล’ ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเบาบางลงไปจนหน่วงเหนี่ยวเอาความว่างเป็นอารมณ์ ก็โดดเข้าสู่โน่นยกจิตของเราเข้าสู่เขตอริยะ ห่างไกลจากกิเลส เข้าสู่ความว่าง รู้จักความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากขันธ์ห้า ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น จิตจะมีความว่าง

ในความว่างนั้นมีตัวจิตอยู่ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เหมือนกับเรานั่งอยู่ในห้องนี้แหละ อยู่ในห้องอยู่ในศาลานี้เป็นศาลาที่ว่าง แต่ในความว่างนั้นมีอากาศอยู่โดยที่เราไม่รู้ ในความว่างในกายของเรานั่นแหละก็มีวิญญาณอยู่ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เราต้องรอบรู้ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา ให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ให้รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว

แต่เวลานี้เราทั้งหลงทั้งยึดทั้งติด ทั้งที่ไม่อยากจะหลง ไม่อยากจะยึด อยากจะปล่อย อยากจะวางแต่มันก็วางไม่ได้ เพราะว่าเรายังคลายใจออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง ไม่รู้จักวิธีการแนวทาง การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจใจของเรามีความแข็งกระด้างเราก็แก้ไขใจของเรา ใจของเรามีทิฏฐิมีมานะ เราก็พยายามละอัตตา ละตัวตน แก้ไขใจของเรา

ท่านถึงบอกว่าให้ทำใจเหมือนแผ่นดิน ใครจะขากเสลดถมน้ำลายใส่แผ่นดินก็ไม่ไหวหวั่น นี่แหละ ให้พยายามแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา รู้จักวิธีการแนวทางแล้วให้พากันทำ

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจเกิดความกลัว เราละความกลัวได้อย่างไร ใจเกิดความอยากเราละความอยากได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าไปแสวงหาธรรมที่โน่น หาธรรมที่นี่ หาธรรมที่กายของเรานี่แหละ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นอาจารย์ เป็นครูมาสอบอารมณ์เราตลอดเวลา ตากระทบรูปใจเกิดกิเลสหรือไม่ หูกระทบเสียงใจเกิดกิเลสหรือไม่ กายเกิดความหิวใจเกิดกิเลสหรือไม่ กายไม่อยู่ในอำนาจของใจ

ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์ดูดีๆ จำแนกแจกแจงดูดีๆ เราก็จะเห็นชัด ถึงเวลาเขาต้องแตกต้องดับเพราะว่ากายมันเป็นก้อนโรค เป็นก้อนทุกข์เราจะไปมัวเสียเวลาอยู่ทำไม เสียเวลาวิ่งตามกิเลสตัวเองหรือยังไม่พอ วิ่งตามกิเลสคนโน้นคนนี้ไม่จบไม่สิ้น เรามาจัดการที่เรา แก้ไขที่เรา ปรับปรุงที่เราเราให้ถึงจุดหมายปลายทางของเรา ที่นี้ใครเข้ามาเราก็พออนุเคราะห์ได้เราก็อนุเคราะห์ พอชี้ให้ได้ก็ชี้ พอแก้ไขให้ได้เราก็แก้ไข แก้ไขให้ได้ทั้งทางสมมติทั้งวิมุตติ สมมติก็ไม่ให้ลำบาก ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ที่ถ่ายที่เยี่ยว อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมมติไม่ได้ลำบาก’

เราก็ต้องทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติไม่ยึดติดสมมติ ที่นี้ก็ไล่เรียงกันลงไปหาสมมติที่กายของเรา แยกภายในของเรา อะไรคือสมมติในกาย อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตาอนัตตา เขาก็จะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ มีตั้งแต่เรื่องเดียวนี่แหละ ที่จะต้องศึกษาค้นคว้า นอกนั้นเป็นเรื่องประกอบในทางสมมติ เพื่อที่ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ให้อยู่ในกองบุญ กองกุศล ให้อยู่ในความสะดวกสบายเท่านั้น

การฝึกหัดปฏิบัติธรรม ก็ฝึกหัดปฏิบัติใจของเรานั่นแหละ ฝึกหัดปฏิบัติใจ กาย วาจาของเรานั่นแหละ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นทุกข์เป็นโทษ เราพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อนที่จะหมดลมหายใจ มีโอกาสอยากจะร่วมไม่ว่างานบุญอะไร ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อยู่ไกลเราก็พยายามทำ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย ก็ขอให้ทำ ทำตามกำลัง ทำตามฐานะของเรา อย่าไปทำให้เกินเหตุเกินผล เราก็ไปที่ไหน เราก็จะได้ไม่ตกอับ เป็นบุคคลที่มีความเตรียมพร้อม ไม่ว่าใกล้ว่าไกล หลวงพ่อก็มีโอกาสก็จะได้พาญาติโยมพี่น้องของเราทำทุกอย่าง อะไรที่จะเป็นบุญ

ส่วนการขัดเกลากิเลส ทำความเข้าใจกับภายในของเราตรงนี้สำคัญ เราก็ต้องพยายามเข้าวัดตั้งแต่ตื่นขึ้น ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เอากายนี่แหละเป็นวัด เอากายนี่แหละเป็นสนามรบ เอากายของเรานี่แหละเป็นตำราใบใหญ่ ครูบาอาจารย์นั้นเยอะ ตำรามีเยอะ เราพยายามยกกายของเราขึ้นมาเป็นตำรา เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ หาเหตุ หาผล

เรารู้เข้าใจวิธีการแนวทางแล้ว ไปเร่งทำความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้เอาสติปัญญาใช้งานเป็นอย่างนี้ จนรู้เท่ารู้ทัน จนเห็นจนทำตามเข้าใจได้ ถ้ารู้ความเป็นจริงแล้วมันละหมดนั่นแหละไม่เอาหรอกกิเลสต่างๆ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันขัดเกลาเอาออกหมดนั่นแหละ มันไม่เหลือวิสัยหรอก ก็ต้องพยายามนะ ไม่เข้าถึงวันนี้วันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า มันไม่เข้าถึงจริงๆ ไว้ต่อปีหน้า ไม่เข้าถึงจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนจงไหว้พระพร้อมๆ กัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง