หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 103
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 103
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 103
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 กันยายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติ รู้จักลักษณะของสติให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง รู้จักแก้ไขปรับปรุงกายปรับปรุงใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาลอย่าพากันมองข้าม
ตื่นขึ้นมาปุ๊บรู้กายรู้ใจ สำรวจใจของเรา สำรวจกายของเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ ขยันระดับสมมติ ขยันระดับวิมุตติ ขยันในการเจริญสติ ขยันในการทำการทำงาน รู้จักพิจารณาว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
ศึกษาชีวิตของเราให้เข้าใจขณะที่ยังมีกำลังกาย อาศัยกายก้อนนี้สร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยม หากำไรในกายก้อนนี้ขณะที่เขายังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป
อะไรคือสติ อะไรคือใจ อะไรคืออาการของใจ กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กิเลสตัวใหญ่ๆ ตัวโตนี่ เกิดขึ้นรู้เร็วเห็นเร็ว แต่กิเลสตัวละเอียดๆ นี่ไม่ค่อยจะเข้าถึงกันเท่าไหร่ ยิ่งความเกิดของใจ การเกิดหรือว่าความคิดของเรานั่นแหละ ความคิดเก่าๆ ของเรา ความคิดเก่าของเรามีอยู่ เป็นผู้รู้อยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง เราต้องมาเจริญสติเข้ามาสำรวจตรวจตราดู จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม แยกรูปแยกนามเพียงแค่เริ่มต้นของความรู้แจ้งเห็นจริงหรือว่าสัมมาทิฏฐิ
ในภาษาธรรมท่านเรียกว่าอริยมรรคในองค์แปด เริ่มต้นในข้อแรกคือสัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก เห็นถูกแล้วก็ตามดู อะไรส่วนรูปอะไรส่วนนาม เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ กองรูป กองความคิด กองอารมณ์ต่างๆ ซึ่งท่านมองเห็นเป็นกองเป็นขันธ์ แต่พวกเรามองเห็นเป็นก้อนรวมกันไป คิดก็รู้ทำก็รู้ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็ยังเดินปัญญาเข้าไม่ถึง ยังแยกแยะไม่ได้ ยังอยู่ในอานิสงส์ของการสร้างตบะสร้างบารมี
ท่านถึงวางเอาไว้ตั้งแต่ทาน ทาน-ศีล-สมาธิแล้วก็ปัญญา 'ทาน' ความหมายของทานเพื่ออะไร เพื่อการขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา 'ศีล' เป็นลักษณะอย่างไร ระดับสมมติ ระดับวิมุตติ ความปกติ ความปกติระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ความปกติของใจก็เป็นสมาธิ สมาธิด้วยสมถะภาวนา หรือว่าการรู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็ละกิเลส ดับความเกิดของใจให้เป็นสมาธิด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด ในเมื่อพวกเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ให้รีบตักตวงให้รีบสร้างคุณงามความดี ถ้าพลาดโอกาส พลาดเวลา หมดเวลาแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้สร้างคุณงามความดีเลยนะ เป็นเรื่องของกรรม
เราต้องเข้าใจคำว่า 'กรรม' กรรมภายนอก กรรมภายใน วจีกรรม มโนกรรม กายกรรม กรรมทางด้านความคิด ทางด้านจิตวิญญาณ ทางด้านอาการของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่ากรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมเก่าเราก็ทำความเข้าใจแล้วก็ละ นอกจากแยกแยะ ใจคลายออกจากขันธ์ห้า เราถึงจะเข้าใจคำว่า 'กรรม' ในทางด้านนามธรรม เห็นความเกิดความดับ ตามดู รู้ เข้าใจในเรื่องอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา ที่เกิดขึ้นในกายของเรา ทำความเข้าใจรู้ความจริงแล้วก็จะละ 'ละ' เขาเรียกว่ากรรมเก่าก็ตามไม่ทัน ก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ที่เกิดจากใจของเรา เราก็ดับไม่ให้ใจของเราเกิด ก็อยู่เหนือกรรม กรรมเก่ากรรมใหม่ วาง อยู่เหนือกรรม นอกนั้นก็เป็นแค่เพียงกิริยาของอาการของสติปัญญาของกาย บริหารกายใจของเราด้วยสติด้วยปัญญา
จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน เป็นบุคคลที่หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ทั้งภายนอกภายใน ภายนอกก็ปัจจัยที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างปัจจัยสี่ โลกธรรม รูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็อำนวยความสะดวกสบายให้กับสมมติ คือทางด้านร่างกาย ใจของเราก็อาศัยกาย ก็เกี่ยวเนื่องกันหมด เหมือนกับเราขึ้นบนบ้านก็ต้องอาศัยบันได บันไดก็อาศัยราวบันได ราวบันไดก็มีลูกบันได เกี่ยวเนื่องกันหมด ทาน-ศีล-สมาธิ-ปัญญาก็เกี่ยวเนื่องกันหมด เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ไปผัดวันประกันพรุ่ง
ก่อนที่กำลังสติของเราจะเป็นมหาสติได้ เราก็ต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาแล้วก็เอาไปใช้การใช้งาน เราอบรมใจของเราไม่ได้เราก็ใช้สมถะควบคุมให้ใจของเราสงบนิ่งขึ้น จนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้นั่นแหละ เราก็หมั่นพร่ำสอนใจอยู่ตลอดเวลา ชี้เหตุชี้ผลอยู่ตลอดเวลาจนใจมองเห็นความเป็นจริง ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของขันธ์ห้าเขาก็ไม่เอา ใช้ขันธ์ห้าให้เป็นประโยชน์ ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ บริหารกายใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศล
บุญสมมติบุญวิมุตติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ถ้าเราจะไปทิ้งสมมติ สมมติก็ลำบาก ก็ส่งผลถึงกายก็ลำบากใจก็ลำบาก อย่างปัจจัยสี่ของเราไม่พร้อม จะไปไหนมาไหนเราก็ลำบาก ที่พักของเราไม่มีก็ลำบาก ที่อยู่ที่กินที่ถ่ายที่เยี่ยวไม่บริบูรณ์ก็ลำบาก ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ทั้งโลกรอบรู้ทั้งธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ที่กายวาจาใจของเรา แล้วก็โลกธรรม ปัจจัยสี่นี่แหละ เราพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี
หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดแค่อธิบายให้ฟังเท่านั้น ถ้าพวกท่านไม่ไปทำก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงทำ...ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ ตามทำความเข้าใจไม่ได้ ละไม่ได้อีก มันก็ยังเข้าไม่ถึง ก็ต้องพยายาม อย่าปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีวาสนา ทุกคนมีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในเมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราก็อย่าปล่อยโอกาสทิ้งเลย เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องศึกษาชีวิตของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ตำราครูบาอาจารย์มีเยอะ พระพุทธองค์ก็ได้ค้นพบเอามาเปิดเผย คำสอนของพระองค์ยังมีอยู่ ยังเป็นสัจธรรมอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน เพราะว่าทุกคนเกิดมาเหมือนกันหมด ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 กันยายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติ รู้จักลักษณะของสติให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง รู้จักแก้ไขปรับปรุงกายปรับปรุงใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาลอย่าพากันมองข้าม
ตื่นขึ้นมาปุ๊บรู้กายรู้ใจ สำรวจใจของเรา สำรวจกายของเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ ขยันระดับสมมติ ขยันระดับวิมุตติ ขยันในการเจริญสติ ขยันในการทำการทำงาน รู้จักพิจารณาว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
ศึกษาชีวิตของเราให้เข้าใจขณะที่ยังมีกำลังกาย อาศัยกายก้อนนี้สร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยม หากำไรในกายก้อนนี้ขณะที่เขายังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป
อะไรคือสติ อะไรคือใจ อะไรคืออาการของใจ กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กิเลสตัวใหญ่ๆ ตัวโตนี่ เกิดขึ้นรู้เร็วเห็นเร็ว แต่กิเลสตัวละเอียดๆ นี่ไม่ค่อยจะเข้าถึงกันเท่าไหร่ ยิ่งความเกิดของใจ การเกิดหรือว่าความคิดของเรานั่นแหละ ความคิดเก่าๆ ของเรา ความคิดเก่าของเรามีอยู่ เป็นผู้รู้อยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง เราต้องมาเจริญสติเข้ามาสำรวจตรวจตราดู จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม แยกรูปแยกนามเพียงแค่เริ่มต้นของความรู้แจ้งเห็นจริงหรือว่าสัมมาทิฏฐิ
ในภาษาธรรมท่านเรียกว่าอริยมรรคในองค์แปด เริ่มต้นในข้อแรกคือสัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก เห็นถูกแล้วก็ตามดู อะไรส่วนรูปอะไรส่วนนาม เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ กองรูป กองความคิด กองอารมณ์ต่างๆ ซึ่งท่านมองเห็นเป็นกองเป็นขันธ์ แต่พวกเรามองเห็นเป็นก้อนรวมกันไป คิดก็รู้ทำก็รู้ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็ยังเดินปัญญาเข้าไม่ถึง ยังแยกแยะไม่ได้ ยังอยู่ในอานิสงส์ของการสร้างตบะสร้างบารมี
ท่านถึงวางเอาไว้ตั้งแต่ทาน ทาน-ศีล-สมาธิแล้วก็ปัญญา 'ทาน' ความหมายของทานเพื่ออะไร เพื่อการขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา 'ศีล' เป็นลักษณะอย่างไร ระดับสมมติ ระดับวิมุตติ ความปกติ ความปกติระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ความปกติของใจก็เป็นสมาธิ สมาธิด้วยสมถะภาวนา หรือว่าการรู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็ละกิเลส ดับความเกิดของใจให้เป็นสมาธิด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด ในเมื่อพวกเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ให้รีบตักตวงให้รีบสร้างคุณงามความดี ถ้าพลาดโอกาส พลาดเวลา หมดเวลาแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้สร้างคุณงามความดีเลยนะ เป็นเรื่องของกรรม
เราต้องเข้าใจคำว่า 'กรรม' กรรมภายนอก กรรมภายใน วจีกรรม มโนกรรม กายกรรม กรรมทางด้านความคิด ทางด้านจิตวิญญาณ ทางด้านอาการของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่ากรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมเก่าเราก็ทำความเข้าใจแล้วก็ละ นอกจากแยกแยะ ใจคลายออกจากขันธ์ห้า เราถึงจะเข้าใจคำว่า 'กรรม' ในทางด้านนามธรรม เห็นความเกิดความดับ ตามดู รู้ เข้าใจในเรื่องอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา ที่เกิดขึ้นในกายของเรา ทำความเข้าใจรู้ความจริงแล้วก็จะละ 'ละ' เขาเรียกว่ากรรมเก่าก็ตามไม่ทัน ก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ที่เกิดจากใจของเรา เราก็ดับไม่ให้ใจของเราเกิด ก็อยู่เหนือกรรม กรรมเก่ากรรมใหม่ วาง อยู่เหนือกรรม นอกนั้นก็เป็นแค่เพียงกิริยาของอาการของสติปัญญาของกาย บริหารกายใจของเราด้วยสติด้วยปัญญา
จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน เป็นบุคคลที่หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ทั้งภายนอกภายใน ภายนอกก็ปัจจัยที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างปัจจัยสี่ โลกธรรม รูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็อำนวยความสะดวกสบายให้กับสมมติ คือทางด้านร่างกาย ใจของเราก็อาศัยกาย ก็เกี่ยวเนื่องกันหมด เหมือนกับเราขึ้นบนบ้านก็ต้องอาศัยบันได บันไดก็อาศัยราวบันได ราวบันไดก็มีลูกบันได เกี่ยวเนื่องกันหมด ทาน-ศีล-สมาธิ-ปัญญาก็เกี่ยวเนื่องกันหมด เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ไปผัดวันประกันพรุ่ง
ก่อนที่กำลังสติของเราจะเป็นมหาสติได้ เราก็ต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาแล้วก็เอาไปใช้การใช้งาน เราอบรมใจของเราไม่ได้เราก็ใช้สมถะควบคุมให้ใจของเราสงบนิ่งขึ้น จนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้นั่นแหละ เราก็หมั่นพร่ำสอนใจอยู่ตลอดเวลา ชี้เหตุชี้ผลอยู่ตลอดเวลาจนใจมองเห็นความเป็นจริง ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของขันธ์ห้าเขาก็ไม่เอา ใช้ขันธ์ห้าให้เป็นประโยชน์ ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ บริหารกายใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศล
บุญสมมติบุญวิมุตติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ถ้าเราจะไปทิ้งสมมติ สมมติก็ลำบาก ก็ส่งผลถึงกายก็ลำบากใจก็ลำบาก อย่างปัจจัยสี่ของเราไม่พร้อม จะไปไหนมาไหนเราก็ลำบาก ที่พักของเราไม่มีก็ลำบาก ที่อยู่ที่กินที่ถ่ายที่เยี่ยวไม่บริบูรณ์ก็ลำบาก ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ทั้งโลกรอบรู้ทั้งธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ที่กายวาจาใจของเรา แล้วก็โลกธรรม ปัจจัยสี่นี่แหละ เราพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี
หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดแค่อธิบายให้ฟังเท่านั้น ถ้าพวกท่านไม่ไปทำก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงทำ...ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ ตามทำความเข้าใจไม่ได้ ละไม่ได้อีก มันก็ยังเข้าไม่ถึง ก็ต้องพยายาม อย่าปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีวาสนา ทุกคนมีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในเมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราก็อย่าปล่อยโอกาสทิ้งเลย เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องศึกษาชีวิตของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ตำราครูบาอาจารย์มีเยอะ พระพุทธองค์ก็ได้ค้นพบเอามาเปิดเผย คำสอนของพระองค์ยังมีอยู่ ยังเป็นสัจธรรมอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน เพราะว่าทุกคนเกิดมาเหมือนกันหมด ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ