หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 72
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 72
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 72
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 มิถุนายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ขณะที่เรานั่งฟังอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ดูสิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยวอย่าบังคับลมหายใจอย่าไปเพ่ง การสูดลมหายใจอันนี้ก็เป็นแค่เพียงอุบายให้เรามีสติรู้กาย เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเชื่อมโยง จนรู้เท่าทันการเกิดของใจ รู้เท่าทันการเกิดของความคิด ของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดเดิมๆ ที่เกิดจากใจของเรานั้นมีทุกคน ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้า ที่เป็นส่วนนามธรรม หรือว่าอาการของใจ ก็มีกันทุกคน
เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ คือความรู้สึกรับรู้อยู่ขณะลมหายใจเข้าหายใจออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ทุกขณะลมหายใจเข้า แล้วก็ลมหายใจออก พลั้งเผลอเริ่มใหม่ ตรงนี้แหละ ความเพียรตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่ เพียงแค่อาจจะทำได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว บางครั้งใจก็ปกติอยู่ บางครั้งใจก็เกิดกิเลส บางครั้งก็ส่งเสริม บางครั้งก็รู้จักควบคุม แต่เราไม่เคยสังเกตวิเคราะห์ว่าเขาเกิดอย่างไร เขาคลายอย่างไร เราจะละกิเลสวิธีไหน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ส่วนมากก็มีตั้งแต่นึกเอาคิดเอา จะไปปฏิบัติที่โน่นปฏิบัติที่นี่ ไม่ลงที่ฐานของใจสักที มีแต่กิเลสมันเล่นงาน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ หรือว่าสติตัวใหม่ให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง ให้รู้เท่ารู้ทัน รู้ไม่ทันการเกิดของใจเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ตายเป็นตาย โง่เสียก่อนค่อยฉลาด ฉลาดทางโลกมามากต่อมาก ฉลาดเสียจนเรานี่วิ่งตามหัวหมุนแทบไม่ทัน เรามาแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร อิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออกบ้าง อยู่ที่การเดินบ้างให้ต่อเนื่อง จนกำลังสติของเรามีเพียงพอ พอที่จะรู้เท่ารู้ทันการเกิดของใจ รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็รู้จักควบคุม ควบคุมใจของเรา ควบคุมใจควบคุมอารมณ์ เริ่มใหม่ เอาใหม่ เรื่องใหม่เกิดขึ้นมาก็เริ่มใหม่ ความเกิดทางกายเนื้อด้านร่างกายนี้เกิดมาแล้วเขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ เกิดทางด้านจิตวิญญาณนั่นแหละ เขาเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา
ท่านให้เจริญสติเข้าไปดูรู้ คลายความหลง ละกิเลส ทางด้านตัวใจตัวนามธรรม ใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่น่ะ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกเปิดทางให้ การตามดูรู้เห็นด้วยสติด้วยความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา เราก็จะรู้เรื่องอัตตา อนัตตา รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของตัวเรา
แต่ละวันเรามีความเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละ มีความอดทน เรามีความรับผิดชอบ เรารู้จักขัดเกลา ละกิเลสความตระหนี่เหนียวแน่น ความอิจฉาริษยา ความทะเยอทะยานอยากออกจากใจของเราได้หมดจดแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่ม เริ่มเสีย อยู่ที่ตัวเราไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น อย่าไปคิดว่าคนโน้นต้องพาเดิน คนนี้ต้องพานั่ง คนนั้นต้องพาฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ใช่! เราต้องพยายามบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสร้างความรู้ตัว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กลางคืนใจของเราเกิดความกลัวไหม กายของเราเกิดความหิวหรือไม่ ใจเกิดความอยากหรือเปล่า ทวารทั้งหก ตาทำหน้าที่ดูเราห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟังเราห้ามไม่ได้ เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงตัวใจ
เรามีสติคอยดูรู้ใจของเราหรือไม่ ใจที่ไม่มีกิเลสใจก็ปกติ ใจที่ไม่เกิดก็ปกติ นั่นแหละเขาเรียกว่า 'ศีล' ศีลสมมตินะ ถ้าใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้า หรือว่ายังไม่ได้หงาย ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ มันก็เพียงแค่ปกติ หรืออาจจะเป็นหินทับหญ้าเอาไว้
ถ้ากำลังสติเราสังเกตวิเคราะห์จนใจคลายออก ดูรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วก็ค่อยละไปเรื่อยๆ อันนี้เขาเรียกว่า ‘ละด้วยปัญญา รู้ด้วยปัญญา’ ใจปกติ ใจสะอาดด้วยปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญาควบคู่กันไป ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน หาที่กายที่ใจของเรานี่แหละ หาทั้งกลางวันกลางคืน ความรู้ตัวเป็นอย่างไร ความรู้ตัวพลั้งเผลอเป็นอย่างไร นิวรณ์เข้าครอบงำเป็นอย่างไร บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งทุกลมหายใจเข้าออก จะลุกจะก้าวจะเดินรู้ความปกติของใจ รู้การหายใจ รู้การก้าวการเดิน จนเอาสติปัญญาของเราไปรู้ทันการเกิดอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า เขาเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร ต้องมองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าพากันเอาความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ช่วยกันดูแล ก็พวกเรานั่นแหละได้รับความสะดวกสบาย ไม่มีใครหรอก คนอื่นมาก็ได้รับความสุข อยู่ที่ไหนก็พยายามรักษาความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดจากข้างใน ดูที่ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นหรือไม่ มีความอยากมีความโลภ หรือว่าจิตใจของเรามีความอ่อนโยน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มองโลกในทางที่ดีคิดดีหรือไม่ การกระทำของเราถึงพร้อมหรือเปล่า หรือว่าเอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเกียจคร้านนี่ครอบงำครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ก็มากขึ้นๆๆ มันก็ซึม ซึมไปๆ เอาไปเอามาก็เลยเอาไม่อยู่ ก็กิเลสตัวน้อยๆ นั่นแหละ
เราไม่รู้จักแก้ไขตัวเรา ไม่รู้จักปรับปรุงตัวเรา อยู่คนเดียวเราก็รู้ใจของเรา รู้ความเป็นอยู่ของเรา อยู่หลายคนเราก็รู้ใจของเรา แก้ไขใจของเรา ยิ่งเจอเหตุการณ์ต่างๆ นั่นแหละ ให้เป็นอาจารย์สอบอารมณ์ ตากระทบรูปใจเกิดความยินดียินร้าย ผลักไส ดึงเข้ามาไหม ถ้าใจปกติสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างนี้ นิวรณ์เกิดขึ้นที่กาย กิเลสเกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน แต่ละวันเราตรวจดูๆ ทุกขณะทุกเวลา กำลังสติของเราค้นคว้าดูรู้เห็นตามความเป็นจริง จนไม่มีอะไรเหลือให้ได้ค้นคว้านั่นแหละ เขาถึงจะอยู่อุเบกขาวางเฉยได้ มันพูดง่ายแต่การกระทำต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ แต่ก็อย่าไปทิ้ง สักวันหนึ่งเราก็ต้องถึง วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามีภพหน้ามี เราพยายามทำปัจจุบันนี้ให้ดีก็จะส่งผลถึงอนาคตเอง
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 มิถุนายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ขณะที่เรานั่งฟังอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ดูสิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยวอย่าบังคับลมหายใจอย่าไปเพ่ง การสูดลมหายใจอันนี้ก็เป็นแค่เพียงอุบายให้เรามีสติรู้กาย เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเชื่อมโยง จนรู้เท่าทันการเกิดของใจ รู้เท่าทันการเกิดของความคิด ของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดเดิมๆ ที่เกิดจากใจของเรานั้นมีทุกคน ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้า ที่เป็นส่วนนามธรรม หรือว่าอาการของใจ ก็มีกันทุกคน
เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ คือความรู้สึกรับรู้อยู่ขณะลมหายใจเข้าหายใจออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ทุกขณะลมหายใจเข้า แล้วก็ลมหายใจออก พลั้งเผลอเริ่มใหม่ ตรงนี้แหละ ความเพียรตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่ เพียงแค่อาจจะทำได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว บางครั้งใจก็ปกติอยู่ บางครั้งใจก็เกิดกิเลส บางครั้งก็ส่งเสริม บางครั้งก็รู้จักควบคุม แต่เราไม่เคยสังเกตวิเคราะห์ว่าเขาเกิดอย่างไร เขาคลายอย่างไร เราจะละกิเลสวิธีไหน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ส่วนมากก็มีตั้งแต่นึกเอาคิดเอา จะไปปฏิบัติที่โน่นปฏิบัติที่นี่ ไม่ลงที่ฐานของใจสักที มีแต่กิเลสมันเล่นงาน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ หรือว่าสติตัวใหม่ให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง ให้รู้เท่ารู้ทัน รู้ไม่ทันการเกิดของใจเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ตายเป็นตาย โง่เสียก่อนค่อยฉลาด ฉลาดทางโลกมามากต่อมาก ฉลาดเสียจนเรานี่วิ่งตามหัวหมุนแทบไม่ทัน เรามาแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร อิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออกบ้าง อยู่ที่การเดินบ้างให้ต่อเนื่อง จนกำลังสติของเรามีเพียงพอ พอที่จะรู้เท่ารู้ทันการเกิดของใจ รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็รู้จักควบคุม ควบคุมใจของเรา ควบคุมใจควบคุมอารมณ์ เริ่มใหม่ เอาใหม่ เรื่องใหม่เกิดขึ้นมาก็เริ่มใหม่ ความเกิดทางกายเนื้อด้านร่างกายนี้เกิดมาแล้วเขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ เกิดทางด้านจิตวิญญาณนั่นแหละ เขาเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา
ท่านให้เจริญสติเข้าไปดูรู้ คลายความหลง ละกิเลส ทางด้านตัวใจตัวนามธรรม ใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่น่ะ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกเปิดทางให้ การตามดูรู้เห็นด้วยสติด้วยความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา เราก็จะรู้เรื่องอัตตา อนัตตา รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของตัวเรา
แต่ละวันเรามีความเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละ มีความอดทน เรามีความรับผิดชอบ เรารู้จักขัดเกลา ละกิเลสความตระหนี่เหนียวแน่น ความอิจฉาริษยา ความทะเยอทะยานอยากออกจากใจของเราได้หมดจดแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่ม เริ่มเสีย อยู่ที่ตัวเราไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น อย่าไปคิดว่าคนโน้นต้องพาเดิน คนนี้ต้องพานั่ง คนนั้นต้องพาฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ใช่! เราต้องพยายามบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสร้างความรู้ตัว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กลางคืนใจของเราเกิดความกลัวไหม กายของเราเกิดความหิวหรือไม่ ใจเกิดความอยากหรือเปล่า ทวารทั้งหก ตาทำหน้าที่ดูเราห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟังเราห้ามไม่ได้ เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงตัวใจ
เรามีสติคอยดูรู้ใจของเราหรือไม่ ใจที่ไม่มีกิเลสใจก็ปกติ ใจที่ไม่เกิดก็ปกติ นั่นแหละเขาเรียกว่า 'ศีล' ศีลสมมตินะ ถ้าใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้า หรือว่ายังไม่ได้หงาย ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ มันก็เพียงแค่ปกติ หรืออาจจะเป็นหินทับหญ้าเอาไว้
ถ้ากำลังสติเราสังเกตวิเคราะห์จนใจคลายออก ดูรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วก็ค่อยละไปเรื่อยๆ อันนี้เขาเรียกว่า ‘ละด้วยปัญญา รู้ด้วยปัญญา’ ใจปกติ ใจสะอาดด้วยปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญาควบคู่กันไป ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน หาที่กายที่ใจของเรานี่แหละ หาทั้งกลางวันกลางคืน ความรู้ตัวเป็นอย่างไร ความรู้ตัวพลั้งเผลอเป็นอย่างไร นิวรณ์เข้าครอบงำเป็นอย่างไร บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งทุกลมหายใจเข้าออก จะลุกจะก้าวจะเดินรู้ความปกติของใจ รู้การหายใจ รู้การก้าวการเดิน จนเอาสติปัญญาของเราไปรู้ทันการเกิดอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า เขาเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร ต้องมองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าพากันเอาความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ช่วยกันดูแล ก็พวกเรานั่นแหละได้รับความสะดวกสบาย ไม่มีใครหรอก คนอื่นมาก็ได้รับความสุข อยู่ที่ไหนก็พยายามรักษาความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดจากข้างใน ดูที่ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นหรือไม่ มีความอยากมีความโลภ หรือว่าจิตใจของเรามีความอ่อนโยน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มองโลกในทางที่ดีคิดดีหรือไม่ การกระทำของเราถึงพร้อมหรือเปล่า หรือว่าเอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเกียจคร้านนี่ครอบงำครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ก็มากขึ้นๆๆ มันก็ซึม ซึมไปๆ เอาไปเอามาก็เลยเอาไม่อยู่ ก็กิเลสตัวน้อยๆ นั่นแหละ
เราไม่รู้จักแก้ไขตัวเรา ไม่รู้จักปรับปรุงตัวเรา อยู่คนเดียวเราก็รู้ใจของเรา รู้ความเป็นอยู่ของเรา อยู่หลายคนเราก็รู้ใจของเรา แก้ไขใจของเรา ยิ่งเจอเหตุการณ์ต่างๆ นั่นแหละ ให้เป็นอาจารย์สอบอารมณ์ ตากระทบรูปใจเกิดความยินดียินร้าย ผลักไส ดึงเข้ามาไหม ถ้าใจปกติสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างนี้ นิวรณ์เกิดขึ้นที่กาย กิเลสเกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน แต่ละวันเราตรวจดูๆ ทุกขณะทุกเวลา กำลังสติของเราค้นคว้าดูรู้เห็นตามความเป็นจริง จนไม่มีอะไรเหลือให้ได้ค้นคว้านั่นแหละ เขาถึงจะอยู่อุเบกขาวางเฉยได้ มันพูดง่ายแต่การกระทำต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ แต่ก็อย่าไปทิ้ง สักวันหนึ่งเราก็ต้องถึง วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามีภพหน้ามี เราพยายามทำปัจจุบันนี้ให้ดีก็จะส่งผลถึงอนาคตเอง
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา