หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 16
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 16
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 16
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย อยู่คนเดียวเราก็รู้เรา อยู่หลายคนเราก็พยายามรู้เรา อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้น เรารีบเจริญสติให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปใช้การใช้งานเอาไปอบรมใจของเรา แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดด้วย หลงด้วย ยึดด้วย ทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด
เราถึงได้..พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจ เข้าไปควบคุมใจ จนใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญา จนสติปัญญาเราเห็น เรารู้ลักษณะอาการ เห็น..เห็นการเกิดการดับของใจเห็นการเกิดการดับอาการของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับ เห็นการเคลื่อนเข้าไปรวมใจกับขันธ์ห้า เขารวมกันเป็นสิ่งเดียว จนรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้จักจำแนกแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีบารมี สร้างบารมีกันอยู่ตลอดเวลา การทำบุญการให้ทาน ตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นศรัทธาที่ขาดกำลังสติปัญญาที่จะเข้าไปอบรมใจให้รู้ทุกเรื่อง อาจจะอบรมใจของเราอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักของหลักธรรมแล้ว เราต้องพยายามเจริญสติให้มากให้เป็นมหาสติ จนเอาไปใช้การใช้งาน จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าจนทำความเข้าใจได้ ชี้เหตุชี้ผลได้ เห็นเหตุเห็นผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ
คำว่า ‘อัตตาในหลักธรรม’ เป็นอย่างไร ความเกิดของใจนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘อัตตา’ ใจเกิดอัตตาก็เกิด ถึงใจปล่อยวางแล้วก็ช่าง ถึงใจไม่มีกิเลสก็ช่าง นั่นแหละใจเกิดอัตตาเกิดทันทีอัตตาเกิดยังไม่พอ ทิฏฐิความเห็นที่เกิดจากใจอีก ผสมโรงเข้าไปอีก
ท่านถึงว่าให้พยายามละทิฏฐิ ละมานะ ละกิเลสต่างๆ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง โดยที่ใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามหงายขึ้นมา ใจก็อยู่ในความว่าง เหลือตั้งแต่สติปัญญาตามค้นคว้าเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องอัตตา อนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจังทุกขังอนัตตาในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจของเราถึงเกิด
ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์ คือความไม่เที่ยง ความเกิดของใจยังไม่พอ ใจก็ไปหลงไปยึดเอากิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มาห่อหุ้มจิตใจให้หนาเตอะขึ้นไปอีก
ใจนี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า คืออัตภาพร่างกายของเรานี้แหละ แล้วก็มายึดในร่างกายของเรา แล้วก็ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เป็นทาสของกิเลสอีก ความทะเยอทะยานอยากตามมาอีกสารพัดอย่าง
บุคคลที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ ต้องเป็นบุคคลที่ มีความเพียร ขยันหมั่นเพียร รู้จักสร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเราหรือไม่ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนโยน มีความอ่อนน้อม หรือว่ามีความแข็งกร้าว หรือว่ามีความแข็งกระด้าง เราก็ต้องรู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรา เรารู้จักการให้ รู้จักการอนุเคราะห์ สร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตาเป็นผู้ให้ ผู้อนุเคราะห์ ผู้ช่วยเหลือ รู้จักกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ต้องพยายามบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อันนี้เป็นสติปัญญา ลักษณะของสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา
ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ เราละกิเลสได้ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสก็มีหลายอย่าง ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด สาเหตุของการเกิด บางทีก็จากข้างนอกทำให้ภายในเกิด บางทีก็เกิดจากภายใน การฝึกหัดปฏิบัติใจเป็นสิ่งละเอียด ถ้าบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ยากที่จะเข้าถึงทรัพย์ภายในคือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น
ความเป็นจริงนั้นมีอยู่ สัจธรรมนั้นมีอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง การฝึกหัดปฏิบัติของพวกเราก็มีอยู่อาจจะฝึกหัดปฏิบัติอยู่ในระบบระเบียบขั้นพื้นฐานของสมมติ อยู่ที่เปลือก อยู่ที่กระพี้ ยังเข้าไม่ถึงแก่น เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจศึกษาให้ละเอียดว่าในกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล
พระพุทธองค์ท่านให้เน้นลงที่กาย เจริญสติสร้างผู้รู้ ส่วนใจนั้นเป็นธาตุรู้ แต่เขาทั้งรู้ ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราต้องเจริญสติให้เข้มแข็งเข้าไปอบรมใจของตัวเรา เรารู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุดรู้จักควบคุม รู้จักแก้ไขหนุนกำลังสติปัญญาไปใช้ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย อยู่ที่นู่นจะเข้าใจ อยู่ที่นี่จะเข้าใจ ถ้าเราทำความเข้าใจไม่ถูกต้องมันก็ยากที่จะเข้าถึง
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพยายามกัน อย่าพยายามเป็นทาสของกิเลส จงเป็นนายเหนือกิเลสบริหารสมมติ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ อย่าพากันเกียจคร้าน อยู่หลายคนก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี มีการช่วยเหลืออนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตาอยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข ไม่ใช่จะเอาตั้งแต่คติ อคติเพ่งโทษซึ่งกันและกัน มีตั้งแต่มลทินเข้าห้ำหั่นกัน อย่างนั้นเขาเรียกว่า ‘คนโง่’ ไม่รู้จักแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ไปนิพพานจิตใจไปดวงเดียว จะเดินทางเช่นเดียวกัน ถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน แต่จะถึงช้าหรือถึงเร็วแล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคลที่จะดำเนินให้ถูกที่ ถูกทาง
ยิ่งมาอยู่ด้วยกันคนละทิศละที่ละทาง ก็เพราะวิบากกรรมนำมานั่นแหละ ถึงได้มาอยู่รวมกัน มาอยู่ร่วมกันแล้ว ก็ให้รู้จักความรักความสมัครสมานสามัคคี มีความเป็นระเบียบ ระเบียบวินัยกับตัวเรากับคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา ไม่ใช่ว่าจะเห็นแก่ตัว แก่กิน แก่ความเกียจคร้าน ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีพร้อมมูล ไม่ได้ลำบาก
ไม่เหมือนกับสมัยก่อน สมัยก่อนยิ่งลำบาก ลำบากทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกวันเวลานี้อะไรก็อุดมสมบูรณ์ สมมติก็ไม่ได้ลำบาก เรามาอยู่ด้วยกันก็รู้จักดูแลแก้ไข อะไรผิดพลาดก็แก้ไข อะไรที่ไม่ดีก็รีบแก้ไข ก็จะเกิดประโยชน์ในวันข้างหน้า ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุดประโยชน์อยู่ในโลกปัจจุบัน เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ใช่จะให้ตั้งแต่คนอื่นเขาบังคับทำโน่นทำนี่ คนฉลาด พูดนิดเดียวฟังนิดเดียวไปถึงจุดหมายปลายทาง คนโง่เท่านั้นแหละที่จะให้คนอื่นเค้าบังคับ บอกฝึก บอกหัด บอกละกิเลส เราก็ต้องพยายาม ในเมื่อเราน้อมกายน้อมใจของเราเข้ามา
หน้าที่ของเราก็คือทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ หน้าที่ของเราก็คือทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ สมมติก็มีทั้งภายนอกทั้งภายใน กายของเรานี่แหละเป็นก้อนสมมติ เราจะทิ้งสมมติไม่ได้ เราต้องอยู่กับสมมติด้วยปัญญา บริหารสมมติด้วยปัญญา อยู่ที่ไหนก็มีความสุข หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งก้อนสมมติก้อนนี้ เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด
ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ ถึงวาระเวลาก็ต้องแตกดับ ก่อนที่จะยังไม่ถึง เวลานี้แหละเรา พยายามรีบตักตวงสร้างบุญ สร้างกุศล ให้มีให้เกิดขึ้นในกายก้อนนี้
ทำใจของเราให้เป็นบุญ ทำกายของเราให้เป็นวัด เจริญสติของเราเข้าไปเยี่ยม เข้าวัดเยี่ยมพระเยี่ยมใจของเรา อบรมใจของเรา กายเนื้อแตกดับ เราก็มองเห็นว่าใจของเราจะดำเนินไปทางไหน จะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ใจของเรามีกิเลสตัวไหนบ้าง อยู่ในบุญตัวไหนบ้าง เราก็จะได้มองเห็น ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระ ว่าโยม ก็ให้อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนนี้ ก็โอกาสหน้าก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน เพราะว่าเราเกิดมาอยู่ในใต้กฎของอนิจจัง ทุกขังอนัตตา เราต้องมองเห็นความเป็นจริง อยู่กับความเป็นจริงให้มีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยืนเดินนั่งนอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย อยู่คนเดียวเราก็รู้เรา อยู่หลายคนเราก็พยายามรู้เรา อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้น เรารีบเจริญสติให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปใช้การใช้งานเอาไปอบรมใจของเรา แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดด้วย หลงด้วย ยึดด้วย ทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด
เราถึงได้..พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจ เข้าไปควบคุมใจ จนใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญา จนสติปัญญาเราเห็น เรารู้ลักษณะอาการ เห็น..เห็นการเกิดการดับของใจเห็นการเกิดการดับอาการของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับ เห็นการเคลื่อนเข้าไปรวมใจกับขันธ์ห้า เขารวมกันเป็นสิ่งเดียว จนรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้จักจำแนกแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีบารมี สร้างบารมีกันอยู่ตลอดเวลา การทำบุญการให้ทาน ตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นศรัทธาที่ขาดกำลังสติปัญญาที่จะเข้าไปอบรมใจให้รู้ทุกเรื่อง อาจจะอบรมใจของเราอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักของหลักธรรมแล้ว เราต้องพยายามเจริญสติให้มากให้เป็นมหาสติ จนเอาไปใช้การใช้งาน จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าจนทำความเข้าใจได้ ชี้เหตุชี้ผลได้ เห็นเหตุเห็นผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ
คำว่า ‘อัตตาในหลักธรรม’ เป็นอย่างไร ความเกิดของใจนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘อัตตา’ ใจเกิดอัตตาก็เกิด ถึงใจปล่อยวางแล้วก็ช่าง ถึงใจไม่มีกิเลสก็ช่าง นั่นแหละใจเกิดอัตตาเกิดทันทีอัตตาเกิดยังไม่พอ ทิฏฐิความเห็นที่เกิดจากใจอีก ผสมโรงเข้าไปอีก
ท่านถึงว่าให้พยายามละทิฏฐิ ละมานะ ละกิเลสต่างๆ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง โดยที่ใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามหงายขึ้นมา ใจก็อยู่ในความว่าง เหลือตั้งแต่สติปัญญาตามค้นคว้าเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องอัตตา อนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจังทุกขังอนัตตาในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจของเราถึงเกิด
ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์ คือความไม่เที่ยง ความเกิดของใจยังไม่พอ ใจก็ไปหลงไปยึดเอากิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มาห่อหุ้มจิตใจให้หนาเตอะขึ้นไปอีก
ใจนี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า คืออัตภาพร่างกายของเรานี้แหละ แล้วก็มายึดในร่างกายของเรา แล้วก็ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เป็นทาสของกิเลสอีก ความทะเยอทะยานอยากตามมาอีกสารพัดอย่าง
บุคคลที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ ต้องเป็นบุคคลที่ มีความเพียร ขยันหมั่นเพียร รู้จักสร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเราหรือไม่ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนโยน มีความอ่อนน้อม หรือว่ามีความแข็งกร้าว หรือว่ามีความแข็งกระด้าง เราก็ต้องรู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรา เรารู้จักการให้ รู้จักการอนุเคราะห์ สร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตาเป็นผู้ให้ ผู้อนุเคราะห์ ผู้ช่วยเหลือ รู้จักกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ต้องพยายามบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อันนี้เป็นสติปัญญา ลักษณะของสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา
ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ เราละกิเลสได้ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสก็มีหลายอย่าง ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด สาเหตุของการเกิด บางทีก็จากข้างนอกทำให้ภายในเกิด บางทีก็เกิดจากภายใน การฝึกหัดปฏิบัติใจเป็นสิ่งละเอียด ถ้าบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ยากที่จะเข้าถึงทรัพย์ภายในคือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น
ความเป็นจริงนั้นมีอยู่ สัจธรรมนั้นมีอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง การฝึกหัดปฏิบัติของพวกเราก็มีอยู่อาจจะฝึกหัดปฏิบัติอยู่ในระบบระเบียบขั้นพื้นฐานของสมมติ อยู่ที่เปลือก อยู่ที่กระพี้ ยังเข้าไม่ถึงแก่น เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจศึกษาให้ละเอียดว่าในกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล
พระพุทธองค์ท่านให้เน้นลงที่กาย เจริญสติสร้างผู้รู้ ส่วนใจนั้นเป็นธาตุรู้ แต่เขาทั้งรู้ ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราต้องเจริญสติให้เข้มแข็งเข้าไปอบรมใจของตัวเรา เรารู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุดรู้จักควบคุม รู้จักแก้ไขหนุนกำลังสติปัญญาไปใช้ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย อยู่ที่นู่นจะเข้าใจ อยู่ที่นี่จะเข้าใจ ถ้าเราทำความเข้าใจไม่ถูกต้องมันก็ยากที่จะเข้าถึง
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพยายามกัน อย่าพยายามเป็นทาสของกิเลส จงเป็นนายเหนือกิเลสบริหารสมมติ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ อย่าพากันเกียจคร้าน อยู่หลายคนก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี มีการช่วยเหลืออนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตาอยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข ไม่ใช่จะเอาตั้งแต่คติ อคติเพ่งโทษซึ่งกันและกัน มีตั้งแต่มลทินเข้าห้ำหั่นกัน อย่างนั้นเขาเรียกว่า ‘คนโง่’ ไม่รู้จักแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ไปนิพพานจิตใจไปดวงเดียว จะเดินทางเช่นเดียวกัน ถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน แต่จะถึงช้าหรือถึงเร็วแล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคลที่จะดำเนินให้ถูกที่ ถูกทาง
ยิ่งมาอยู่ด้วยกันคนละทิศละที่ละทาง ก็เพราะวิบากกรรมนำมานั่นแหละ ถึงได้มาอยู่รวมกัน มาอยู่ร่วมกันแล้ว ก็ให้รู้จักความรักความสมัครสมานสามัคคี มีความเป็นระเบียบ ระเบียบวินัยกับตัวเรากับคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา ไม่ใช่ว่าจะเห็นแก่ตัว แก่กิน แก่ความเกียจคร้าน ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีพร้อมมูล ไม่ได้ลำบาก
ไม่เหมือนกับสมัยก่อน สมัยก่อนยิ่งลำบาก ลำบากทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกวันเวลานี้อะไรก็อุดมสมบูรณ์ สมมติก็ไม่ได้ลำบาก เรามาอยู่ด้วยกันก็รู้จักดูแลแก้ไข อะไรผิดพลาดก็แก้ไข อะไรที่ไม่ดีก็รีบแก้ไข ก็จะเกิดประโยชน์ในวันข้างหน้า ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุดประโยชน์อยู่ในโลกปัจจุบัน เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ใช่จะให้ตั้งแต่คนอื่นเขาบังคับทำโน่นทำนี่ คนฉลาด พูดนิดเดียวฟังนิดเดียวไปถึงจุดหมายปลายทาง คนโง่เท่านั้นแหละที่จะให้คนอื่นเค้าบังคับ บอกฝึก บอกหัด บอกละกิเลส เราก็ต้องพยายาม ในเมื่อเราน้อมกายน้อมใจของเราเข้ามา
หน้าที่ของเราก็คือทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ หน้าที่ของเราก็คือทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ สมมติก็มีทั้งภายนอกทั้งภายใน กายของเรานี่แหละเป็นก้อนสมมติ เราจะทิ้งสมมติไม่ได้ เราต้องอยู่กับสมมติด้วยปัญญา บริหารสมมติด้วยปัญญา อยู่ที่ไหนก็มีความสุข หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งก้อนสมมติก้อนนี้ เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด
ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ ถึงวาระเวลาก็ต้องแตกดับ ก่อนที่จะยังไม่ถึง เวลานี้แหละเรา พยายามรีบตักตวงสร้างบุญ สร้างกุศล ให้มีให้เกิดขึ้นในกายก้อนนี้
ทำใจของเราให้เป็นบุญ ทำกายของเราให้เป็นวัด เจริญสติของเราเข้าไปเยี่ยม เข้าวัดเยี่ยมพระเยี่ยมใจของเรา อบรมใจของเรา กายเนื้อแตกดับ เราก็มองเห็นว่าใจของเราจะดำเนินไปทางไหน จะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ใจของเรามีกิเลสตัวไหนบ้าง อยู่ในบุญตัวไหนบ้าง เราก็จะได้มองเห็น ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระ ว่าโยม ก็ให้อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนนี้ ก็โอกาสหน้าก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน เพราะว่าเราเกิดมาอยู่ในใต้กฎของอนิจจัง ทุกขังอนัตตา เราต้องมองเห็นความเป็นจริง อยู่กับความเป็นจริงให้มีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยืนเดินนั่งนอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันให้รู้ทุกอิริยาบถ