หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 97

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 97
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 97
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 97
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 กันยายน 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเรา ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้สังเกต เราได้วิเคราะห์ เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา

ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจหยาบเป็นอย่างไร หายใจละเอียดเป็นอย่างไร อันนี้เป็นแค่เพียงมีสติรู้กายแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนลึกลงไปอีก เราก็จะรู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ ใจปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้า หรือว่าคลายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะหน้าตาอาการเป็นอย่างนี้ ส่วนที่จะแยกรูปแยกนามตรงนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องตรงนี้ก็ยากแสนยาก เราพยายามมาสร้างความรู้ตัว หัดควบคุมใจ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายาม จนทำความเข้าใจด้วยปัญญา อบรมใจของเราด้วยปัญญา ใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญาได้ ใช้ตัวเองเป็น

ทำไมใจถึงเกิด ทำไมขันธ์ห้าถึงมาปรุงแต่งใจ ความคิดเก่าปัญญาเก่าซึ่งเกิดจากความหลง หลงเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เรามาสร้างความรู้ตัว หรือบางคนบางท่านก็อาจจะมารู้จักสังเกต พร้อมหันกลับไปมองด้านในคือในกายของเรา เข้าไปรู้เข้าไปเห็น เข้าไปทำความเข้าใจ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อะไรควรทรงเอาไว้ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นประโยชน์ ประโยชน์มาก ประโยชน์น้อย

แต่ละวันตื่นขึ้นมา ความรับผิดชอบของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละความอดทน ใจของเรามีความอ่อนน้อมหรือว่ามีความแข็งกระด้าง หรือว่ามีทิฏฐิมานะ มีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามหมั่นขัดหมั่นเกลา หมั่นแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา

การได้ยินการได้ฟัง การได้อ่านการได้ศึกษา ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ จนไม่มีอะไรที่จะไปแก้ไข จนมองเห็นตามความเป็นจริง จนใจของเรายอมรับความเป็นจริง

การเกิดเป็นทุกข์ เราก็พยายามดับความเกิด แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งขันธ์ห้าเกิด ทั้งสติปัญญาเกิด รวมกันไปทั้งก้อน อีรุงตุงนัง เราอาจจะว่าเราถูก ถูกอยู่ในระดับของสมมติ ในระดับของปัญญาโลกีย์ เราอาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับนี้แต่ยังผิดในหลักธรรม แต่เป็นความถูกต้องอยู่ในระดับของโลกีย์ ในหลักธรรมแล้วเราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘คลายความหลง’ หรือว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ นี่แหละ ที่พระพุทธองค์บอกว่าเห็นถูก เริ่มแรกความเห็นถูก เห็นใจที่คลายจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นความไม่เที่ยง ตามดูรู้เห็น ชี้เหตุชี้ผล ใจรับรู้ เห็นตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าแยกได้ครั้งหนึ่งครั้งเดียวจะบรรลุถึงเป้าหมาย เราต้องทำความเข้าใจถึงแยกแยะได้ ถ้าขาดการทำความเข้าใจที่ต่อเนื่องทุกเรื่องได้ เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม

เรื่องจิตใจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราจงเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ใจที่มีความสุข ที่เกิดปีติสุขเป็นอย่างไร เราละกิเลส เราละได้ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ รู้จักการเจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย

บุคคลมีบุญ บุคคลมีสติปัญญา รู้จักวิธีการนิดเดียว ไปทำ ไปแก้ไขตัวเอง ตื่นขึ้นมาสติของเราตั้งมั่นหรือไม่ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากขันธ์ห้า วิเวกจากกิเลสเป็นอย่างนี้ การเกิดของใจเป็นอย่างนี้ เขาเริ่มก่อตัว ใจของเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศล หลายสิ่งหลายอย่าง ทุกเรื่อง มีแต่เรื่องของเรา เราก็ต้องพยายามแก้ไขเรานะ พยายามแก้ไขเรา

สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์มาก ประโยชน์น้อย แต่ละวันๆ เราพยายามดูแลช่วยกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้น ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน ความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย รู้จักดูแลแก้ไข ไม่ปล่อยปละละเลย คนเราขาดความรับผิดชอบสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มันก็จะดำเนินไปได้ทรัพย์อันใหญ่ได้ยังไง เพียงแค่ความรับผิดชอบต่อตัวเองก็ไม่มี ต่อส่วนรวมก็ไม่มี จะไปได้อานิสงส์อันใหญ่ได้ยังไง เราก็ต้องพยายาม หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตราอยู่ตลอดเวลา

สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบให้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าอยู่ใกล้หรืออยู่ไกล รับผิดชอบภายในก่อน แก้ไขภายใน ก็ล้นออกไปสู่ภายนอก ก็ล้นออกไปสู่หมู่คณะ สู่สังคมสู่พี่สู่น้อง อยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่านก็พยายามประคับประคองใจเรา ประคับประคองใจหมู่คณะเพื่อนฝูง ให้เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ถ้าเราเดินทางผิดมันก็ผิดตลอด ถ้าเราเดินทางถูกมันก็ถูกตลอด จนเข้าถึงฝั่งคือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น

จะปฏิบัติเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม เจริญสติแต่ไม่รู้จักเอาสติไปใช้มันก็ได้แค่ฝึกหัดปฏิบัติแบบลูบๆ คลำๆ อยู่ที่เปลือกอยู่ที่กระพี้ ไปมัวเมาทะเลาะเบาะแว้งถกเถียงกันอยู่อย่างนั้น เราต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา

เรื่องภายในเรื่องภายนอก เหตุการณ์สมมติต่างๆ ที่เราเข้ามายุ่งเกี่ยว แล้วก็ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ปัจจัยสี่ต่างๆ ความเป็นอยู่ อำนวยให้สมมติของเราไม่ได้ลำบาก ถ้าสมมติลำบากการฝึกหัดใจก็ลำบาก มันต้องสร้างสะสมตบะบารมี สร้างสะสมความหนักแน่นให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ความอดทนอดกลั้น อดทนจากเหตุภายใน ทนจากเหตุภายนอก แล้วก็แก้ไขทั้งข้างนอกแก้ไขทางข้างใน

อันนี้ก็คงจะใกล้ จะใกล้จะออกพรรษาเดือน 10 ขึ้น 7, 8, 9 ค่ำ อีกสักหน่อยก็เดือน 11 ออกพรรษา ออกพรรษาก็เป็นงานกฐิน งานกฐินที่วัดของเราก็วันที่ 3 พฤศจิกายน ญาติโยมหลายคนหลายท่านก็ปวารณามาร่วมทำกฐินสามัคคี อันนี้ก็อานิสงส์แห่งบุญไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล ทางกรุงเทพฯบ้าง ทางขอนแก่นบ้าง หรือว่าญาติโยมท่านใดปรารถนาอยากจะมาร่วมทำกฐินสามัคคีก็ให้เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งบุญ มาด้วยแรงบุญ มาร่วมกัน ช่วยกันสร้างพระมหาเจดีย์ แล้วก็มาช่วยกันสร้างวิหารครอบองค์หลวงปู่ใหญ่ปางลีลา จะได้ไม่ร้อนเข้ามาก็จะได้ร่มรื่นร่มเย็น กายเย็นใจเย็น ใครไปใครมาก็มีความสุข

พระเราก็อย่าไปงอมืองอเท้า สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ทำหน้าที่ของเราทั้งภายนอกทั้งภายในให้เต็มเปี่ยม อย่าให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ก็มากขึ้นๆ ก็กลายเป็นดินพอกหางหมู ตื่นขึ้นมาก็มีตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ

แต่ละวันๆ เราจงพยายามกำจัดออกไปเสีย แล้วก็สร้างความขยัน สติของเราพลั้งเผลอได้ยังไง นิวรณ์เข้าครอบงำได้ยังไง มลทินเข้าครอบงำได้ยังไง เราก็ต้องศึกษารู้ให้ละเอียดแล้วก็ค่อยแก้ไข ทั้งงานภายนอกงานภายในช่วยกันทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อาหารตาเป็นอย่างไร อาหารกายเป็นอย่างไร อาหารใจเป็นอย่างไร ธรรมะที่ปรากฏขึ้นที่ใจของเราเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร สติปัญญาไปเกิดแทน สติปัญญาแม้แต่เป็นอกุศลเราก็พยายามละพยายามแก้ไขตัวเรานะ

พระเราชีเรา อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เพราะว่าทุกคนเกิดมาเอาความตายแขวนคอมาด้วย ไม่รู้ว่าจะตายช้าหรือว่าตายเร็ว พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายาย บางคนก็ไปหมดแล้ว เหลือตั้งแต่รุ่นลูกรุ่นหลานพวกเราก็จะได้ไปเหมือนกัน

จงเป็นบุคคลที่ตื่น เตรียมพร้อมที่จะอยู่เตรียมพร้อมที่จะไป รีบหากำไร สร้างกำไรให้มีให้เกิดขึ้นในกายก้อนนี้ให้ได้ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลยเล่นสนุกสนาน เราเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องพยายามทำความเข้าใจกับกรรม

‘กรรม' ก็คือการกระทำอยู่ในกายของเรานี่แหละ ส่วนหนึ่งก็เป็นขันธ์ห้า กรรมจากขันธ์ห้า กรรมจากใจที่เกิดส่งออกไปแล้วก็ยึดในสิ่งต่างๆ เรามาทำความเข้าใจแล้วก็ปล่อยก็วาง รู้จักรับผิดชอบด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญา จนกว่าจะหมดลมหายใจ กายเนื้อแตกดับ ใจไม่เกิด ถ้าเขายังเกิดเขาก็ต้องเกิดด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม แต่ก็ขอให้เป็นกรรมดี ก็จะได้ไม่ได้ลำบาก

หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้ในขณะที่ยังมีกำลังยังมีลมหายใจ หมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปปฏิบัติไม่ไปศึกษาไปวิเคราะห์ก็ย่อมจะไม่เข้าใจ เราต้องศึกษาวิเคราะห์ สำรวจ แล้วก็สร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ การเกิดเป็นทุกข์ เขาไม่เกิดหรอกถ้าเขารู้ความจริง เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอาหรอก เป็นทาสของขันธ์ห้าเขาก็ไม่เอา เขาก็จะอยู่ในความบริสุทธิ์ อยู่ในความว่าง ความว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างด้วยปัญญา ความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรมเครื่องอยู่ของใจ ก่อนจะว่างได้ เราก็ต้องชี้เหตุชี้ผลให้ใจมองเห็นความเป็นจริง เพราะว่าใจนี้มีความบริสุทธิ์อยู่เดิม ความไม่เข้าใจเขาถึงเอากิเลสมาห่อหุ้มเอาไว้ เขาถึงเข้าไปยึดในสิ่งต่างๆ จนคลายได้ยากเหมือนกัน ถ้าไม่สร้างตบะสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม แต่ก็อย่าไปท้อถอยล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางกัน

เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง