หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 10

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 10
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 10
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 10
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 มกราคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตามความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราจะหยุดไม่ได้เด็ดขาด ก็ให้หยุดขณะที่เรากำลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงผู้เล่า ผู้ชี้แนะวิธีการแนวทาง

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง ถ้าเราไปเพ่งลมหายใจ หน้าอกก็แน่น ถ้าเราเอาสติไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ สมองของเราก็ตึง เพียงแค่เราสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดหายไป กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจชัดเจนขึ้น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’

เราพยายามฝึกตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ การหายใจเข้าเป็นอย่างนี้ หายใจออกเป็นอย่างนี้ หายใจที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ส่วนความคิดที่เกิดจากใจนั้นมีอยู่เดิม ความคิดที่เกิดจากอาการของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจ นั้นมีอยู่เดิม เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง เอาไปใช้ เอาไปอบรมใจของเรา

แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด สารพัดอย่าง เราอาจจะว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่เพราะว่าใจ ตราบใดที่ใจยังเกิดความเกิดนั้นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ พระพุทธองค์ท่านได้เป็นองค์ค้นพบ วิธีการแนวการ แนวทาง แล้วก็เอามาเปิดเผย มาจำแนกแจกแจง เจริญสติลงที่กายให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ลึกลงไป รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม

การสร้างตบะ สร้างบารมี ทุกคนพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความมีเมตตา ความเสียสละความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน นั่นแหละ พวกนี้แหละเป็นตบะบารมีของพวกเราอย่างดีพยายามหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ หมั่นอบรมใจของเรา

เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบ เราก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ เรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภ เรามีความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธ ด้วยการให้อภัย อโหสิกรรม ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส

ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา แล้วก็มีโอกาสได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากเด็กตัวเล็กๆ ก็เติบโตขึ้น ได้ศึกษาเล่าเรียน ทั้งพ่อแม่ก็ชี้แนะแนวทางให้ ไปโรงเรียนครูบาก็ชี้แนะแนวทางให้ ครูบาอาจารย์ก็หมั่นพร่ำสอนทั้งทางโลก ทั้งทางธรรม ก็หาโอกาสพาลูกศิษย์ลูกหาพามาศึกษา มาวัดมาหาครูบาอาจารย์ ท่านผู้รู้ชี้แนะวิธีการ แนวการดำเนินชีวิตแล้วเอาไปใช้กับชีวิต เราจงพยายามหมั่นวิเคราะห์พิจารณาตัวเราอยู่ตลอดเวลา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา

ท่านถึงบอกว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ ตนตัวแรก ตัวที่.. ‘สติ’ ที่เราสร้างนี่แหละ ความรู้ตัวนี่แหละเขาเรียกว่าตนตัวแรก ตนตัวที่สอง ก็คือ ‘ใจ’ ท่านถึงได้บอกว่า 'ตนเป็นที่พึ่งของตน'

แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิด ตนตัวแรกสติของเราไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่ ศรัทธานั้นอาจจะมีอยู่ เราก็ต้องพยายาม แต่ละวันๆ ค่อยสร้างสะสมคุณงามความดี ค่อยสร้างสะสมสติปัญญาบารมี เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผล ให้สุกวันเดียวให้รับประทานได้วันเดียวก็ไม่ได้


การประพฤติปฏิบัติใจก็เหมือนกัน เราก็ค่อยอบรมสะสมคุณงามความดีไปเรื่อยๆ อะไรที่เป็นอกุศลเราก็พยายามละ อะไรที่เป็นกุศลเราก็พยายามเจริญ รู้จักแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่เพื่อนสู่ฝูง เมื่อเติบโตขึ้นไปสติปัญญาของเราก็แก่กล้ามากขึ้น เอาไปใช้กับชีวิตประจำวัน

เราพยายามสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ให้กับตัวเรา แล้วก็ให้กับหมู่คณะเพื่อนฝูง รู้จักให้อภัย รู้จักอโหสิกรรม รู้จักความรักสมัครสมานสามัคคี ยิ่งคนหมู่มาก ถ้าไม่มีความสามัคคีเเล้วก็ลำบาก ไม่มีความรับผิดชอบแล้วก็ลำบาก ต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างทิ้ง ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเรา ไม่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก ลำบากตัวเรา สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง สร้างความเดือดร้อนให้สถานที่ สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น

ท่านถึงบอกว่าให้แก้ไขตัวเรา ทั้งภายนอกภายใน ทั้งด้านจิตใจ ล้นออกไปสู่การกระทำทางสมมติ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา ให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ ให้รอบรู้ในโลกธรรม

แต่เวลานี้เรามีหน้าที่อย่างไร เราต้องทำความเข้าใจกับหน้าที่ของเรา อย่างเราเป็นนักเรียน เราก็พยายามตั้งใจเรียน ขยันหมั่นเพียร ตื่นขึ้นมาแต่ละวันๆ เรารู้จักขวนขวาย เรารู้จักช่วยพ่อช่วยแม่ เรารู้จักช่วยเหลือตัวเอง เรารู้จักช่วยเหลือครูบาอาจารย์แล้วหรือยัง ถ้าเราประพฤติตัวดี เราก็ได้ทำบุญให้กับตัวเรา เราประพฤติตัวดี เราก็ได้ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ พ่อแม่ก็ภูมิใจ นั้นแหละ

ขณะนี้เวลานี้ เรามีหน้าที่ที่จะต้องศึกษาเล่าเรียน เราก็พยายามขวนขวาย ขยันหมั่นเพียรอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรียนจบ ทำการทำงาน อยากจะเที่ยวก็ค่อยเที่ยว เมื่อเรามีความรับผิดชอบแล้ว

แต่เวลานี้เรายังอาศัยบุญของพ่อ ของแม่ ของพี่ ของน้อง ของครูบาอาจารย์อยู่ แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา อะไรเราพอประหยัดได้ เราก็ประหยัด อะไรเราพอช่วยเหลือตัวเองได้เราก็ช่วยเหลือให้หัดเป็นบุคคลที่มีความเข้มแข็ง ช่วยเหลือตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น ในวันข้างหน้าก็จะได้ประสบความสำเร็จ ก็ต้องพยายามกัน

โอกาสดี สถานที่ดี ครูบาอาจารย์ก็ปลูกฝังลูกศิษย์ลูกหา อยากจะให้ลูกศิษย์ทุกคนอยู่ในคุณงามความดี ถึงได้เปิดโอกาสพามาวัด มาศึกษาตามสถานที่ต่างๆ เปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสถานที่ หาครูบาอาจารย์ หาผู้รู้ มีโอกาสก็พากันมา พากันมา ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเดี๋ยวก็เต็ม ไม่เต็มวันนี้ ก็ต้องเต็มวันพรุ่งนี้ ไม่เต็มพรุ่งนี้ก็มะรืนนี้เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่เต็มจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า

ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เพราะว่าความเกิด ถ้ามีความเกิด มันก็ต้องมีความตาย มันก็วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ นอกจากบุคคลที่ดับความเกิดได้ ละกิเลสได้หมดจด มองเห็นหนทางเดิน ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ให้เราพยายามทำความถูกต้องให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ความถูกต้องระดับของสมมติ เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ก็ต้องพยายามกันนะ

หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน ทั้งพระ ทั้งชี ก็ต้องพยายามพิจารณาตัวเรา แก้ไขตัวเรา มีโอกาสอย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกลมหายใจท่านถึงบอกว่ามีคุณค่า มีคุณค่ามากมายมหาศาลพยายามรีบตักตวง สร้างคุณงามความดีให้ได้ขณะที่กายของเรายังมีความแข็งแรงอยู่ ถ้าหมดความแข็งแรงแล้วก็หมดลมหายใจแล้ว ก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ท่านถึงบอกว่าให้ละทิฏฐิละมานะละกิเลส หมั่นแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน

เอาล่ะ วันนี้เราก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาต่อทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง