หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 65 วันที่ 18 กรกฎาคม 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 65 วันที่ 18 กรกฎาคม 2563
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 65 วันที่ 18 กรกฎาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 65
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2563

มีความสุขกันทุกคน วันนี้หลังจากพระคุณเจ้าแม่ชีได้รับภัตตาหารเสร็จ ก็จะได้ทำพิธีไถ่ชีวิตโคกัน โคชีวิต 1 ตัว แม่นางหรือแม่สาว จะได้ให้ญาติโยมได้ไปเลี้ยงไว้ขยายพันธุ์ ก็ค่อยทำ ทำบุญ ให้ทาน ไถ่ชีวิต แล้วก็ได้ตั้งชื่อเอาไว้ว่า‘สุขกายสบายใจ’ นี่คงจะใกล้จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วแหละ เพราะว่ามีโอกาสได้เข้ามาทำพิธีในทางพระพุทธศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคล ถ้าไม่มีบุญวาสนาก็ยากที่จะได้เข้ามาทำพิธี หลังจากนี้ไปถ้าหมดชีวิตอายุขัยในภพของสัตว์เดรัจฉาน ก็คงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรืออาจจะเกิดเป็นเทวดาก็ได้ เพราะว่าชีวิตวิญญาณแต่ละดวงนี้ มีการวนเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งอยู่ในกายของเรา วิญญาณในกายของเรา หรือว่าตัวใจของเรายังเกิดอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังเกิดอยู่ในภพมนุษย์ คือมาสร้างร่างกายขันธ์ห้าขึ้นมา ยังอยู่ในภพมนุษย์นี้อยู่

แม้แต่การเกิดของใจ ความเกิดของใจมีอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเกิดไม่รู้สักกี่เรื่อง สักกี่เที่ยว ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปรู้ เข้าไปทำความเข้าใจ เราก็จะเห็น เห็นลักษณะอาการของใจ เห็นการเกิดของใจ เห็นการเกิดของความคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรม นั่นแหละ ตรงนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านว่ายังหลงอยู่ หลงเกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ส่วนสัตว์นั้นเกิดอยู่ในภพสัตว์เดรัจฉาน ก็คือตัววิญญาณ แล้วก็มาสร้างภพมนุษย์ มายึด มาติด ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กาย เข้าไปวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากความยึดมั่น ถือมั่น หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ เห็นความไม่เที่ยง เห็นอนิจจัง เห็นความเกิดความดับ ใจยังเกิดกิเลสกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก กิเลสละเอียด ความนิวรณ์ธรรมต่างๆ

ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เราก็ค่อยละ เราก็ค่อยดับ ให้ใจของเรากลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ เราก็ดับความเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิด เกิดในภพมนุษย์ อันนี้เขาเกิดมาแล้ เราก็ต้องทำความเข้าใจ ทีนี้ดับความเกิดของจิต วิญญาณอีกไม่ให้เกิด กายเนื้อแตกดับ ความเกิดไม่มี เข้าสู่บรมสุขก็คือนิพพานความว่าง ว่างจากการเกิดว่างจากขันธ์ห้า ว่างจากความยึดมั่น ถือมั่น

เราได้ยินตั้งแต่ชื่อว่าใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไรเราอาจจะได้ยินแต่เรายังเข้าไม่ถึง บุคคลที่จะเข้าถึงได้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร มีความเพียรเป็นเลิศ มีการทำความเข้าใจบ่อยๆ แล้วก็สร้างตบะบารมีให้เต็มเปี่ยม เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที เรามีความซื่อสัตย์ต่อตัวเองหรือเปล่า เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ คือการเจริญสติเป็นอย่างไร ใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร เราต้องวิเคราะห์อยู่ตลอด ชี้เหตุชี้ผล จนใจเห็นมองความเป็นจริงว่าอะไรควรละ ว่าอะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน

เราอาจจะดำเนินชีวิตของเราอยู่ในระดับสมมติ มีการทำบุญ มีการให้ทาน มีการรักษาศีล เราต้องทำความเข้าใจ ให้ถึงจุดหมายนั้นๆ ไม่ใช่ว่าเราจะปล่อยปละละเลย กายที่ปกติเป็นอย่างไร วาจาที่ปกติเป็นอย่างไร กายก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนโน้นคนนี้ ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต วาจาของเราไม่ได้พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดสิ่งไร้สาระ ความปกติ เราไม่ได้ไปรักเล็กขโมยน้อยคนโน้นคนนี้ ไปสร้างความเดือดร้อน ศีลสมมติ เราไม่ได้ไปพลัดพรากจากสิ่งของอันเป็นที่รักของคนอื่น อันนี้ก็เป็นศีล ข้อ 5 ที่อยู่ในระดับของสมมติให้สังคมได้อยู่ดีมีความสุข แล้วไม่ได้ไปพูดปดมดเท็จ พูดวาจาส่อเสียด ถ้าเราต้องมาศึกษาแต่ละวันๆ เราไม่ได้ไปดื่มของมึนเมาทำให้ขาดสติ

เราต้องเข้าให้ถึงคำว่าศีล ศีลสมมติ ศีลวิมุต อธิจิต อธิศีล อธิวินัย ถ้าเราคร่ำเคร่งทำความเข้าใจ สังคมสมมติก็อยู่ดีมีความสุขไม่ได้เดือดร้อนอะไร ก็มีตั้งแต่ขโมยขโจร มีตั้งแต่แย่งชิง ฆ่าฟัน ก็เรียกว่าผิดศีล เราก็ต้องพยายามมาศึกษา

แล้วก็ขอประกาศอีกสิ่งหนึ่ง ในวัดของเรา นี่ก็เริ่มมีขโมยขโจรเข้ามาแล้วนะ มีของหายอยู่บ้าง มีของหายทั้งโทรศัพท์ทั้งอะไรต่างๆ ก็ขอให้ระวังรักษา ขโมยเขาก็ทำหน้าที่ของเขาเนาะ ก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรม ถ้าจิตใจดี มีความขยันหมั่นเพียร ก็คงจะไม่เป็นขโมย ก็มา เข้ามาดูแลขโมย บางทีขโมยก็เข้ามานั่งจ้องดูอยู่ เราเผลอเมื่อไหร่เขาก็ไปแอบขโมยก็มี ขโมยขโจรก็เริ่มเข้ามาหลังจากเริ่มเปิด หลังจากโควิดนี่แหละ มาหลายเที่ยวแล้ว ของก็หายหลายครั้งแล้วก็ให้ระวัง เราจะไปห้ามนั่นก็ไม่ได้ มาขโมย ขโมยทีเราเผลอ ของอะไรสำคัญต่างๆ เราก็ช่วยกันดูแลรักษาเอาไว้ นี่ถ้ามันมาขโมยก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรม วิบากกรรม จับทางกฎหมายไม่ได้ก็เป็นเรื่องของกรรม เราต้องมารู้เรื่องกรรมของเรา

กรรมภายใน กรรมภายนอก กรรมภายในก็คือความเกิด ความยึด ความติดในอัตตาตัวตน ขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดฉุดขึ้นมาปรุงแต่งใจไปด้วยกัน ถ้าเราเจริญสติเข้าไปแยกได้ คลายได้ ตามทำความเข้าใจได้ กรรมเก่าก็ตามไม่ทันเขาเรียกว่าอโหสิกรรม กรรมใหม่นี่เราก็ไม่ยึดเขาเรียกว่าอยู่เหนือกรรม อยู่เหนือกรรม เหนือบุญ เหนือบาปสร้างกุศลกรรม ไม่ยึดติด เราก็รู้เรื่องกรรม แล้วก็พยายามหลบหลีกกรรม เราก็พยายามให้อยู่เหนือกรรม อยู่กับกรรม

กายของเรานี่แหละ คือก้อนกรรม จนกว่าจะหมดลมหายใจ ทีนี้เรามาดับความเกิดของใจ ก่อนจะดับความเกิดละกิเลสให้มันหมด เราก็ต้องคลายความหลง เราอาจจะหลง หลงอยู่ในการสร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศล อันนี้ก็เป็นกรรมดีที่ควรทำ สูงขึ้นไปก็ไม่ยึดแต่ว่าจะอยู่กับประโยชน์ อยู่กับประโยชน์

ทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ ก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ให้เรารีบความเข้าใจขณะที่ยังมีกำลัง ยังมีลมหายใจอยู่ เราก็จะไม่ได้ไปตกอยู่ในสถานที่ลำบาก ก็ต้องพยายามกัน

ขอให้ทุกคนจงไหว้พระพร้อมพร้อมๆ กัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง