หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 58 วันที่ 4 กรกฎาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 58 วันที่ 4 กรกฎาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 58
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2563
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้เจริญสติแล้วหรือยัง เพียงแค่เจริญ เพียงแค่ทำให้มีให้เกิดขึ้น พากันทำแล้วหรือยัง ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ มีศรัทธา อยากทำบุญให้ทาน มีความเสียสละ ตรงนี้มีกันทุกคน แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปอบรมใจไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่
จะพูดเรื่องของ 'ความหลง' ความหลง จิตวิญญาณของแต่ละคนหลงมาเกิด หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ความหลงนี่ปิดกั้นเอาไว้ แล้วก็มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์คือร่างกายของเรานี่แหละ มาสร้างขันธ์ห้า เขาหลงตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้เขามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าคือร่างกายของเรานี้แหละ แล้วก็มายึดติดในร่างกายก้อนนี้ นี่ก็หลงเข้าไปอีก หลงในร่างกายนี้ก็ยังไม่พอ ขณะที่ยังอยู่ในกายเขาก็ยังเกิดต่ออีก ความเกิดนี่ก็คือความหลงปิดกั้นเอาไว้อีก หลงหลายชั้นแล้วนะ 3ชั้น หลงมายึดติดในกายยังไม่พอ หลงเกิดคือความคิดของเรานั่นแหละ เกิดส่งต่อออกไปอีก ยังไม่พออีก เป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความไม่อยากคุณงามความดี สารพัดอย่าง หลงหลายชั้น
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของตัวเรา จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ถึงจะคลายความหลงอันละเอียดตรงนี้ได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามได้ยังไม่พอ ต้องคอยละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากใจของเราอีกละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดยังไม่พอ แล้วดับความเกิดของใจ ของความคิดอีก มันหลายชั้นจริงๆ
ถ้าเราไม่วิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล สร้างตบะบารมีให้กับจิตใจของเรา ให้กับกายของเรา ก็ยาก อยากจะเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ที่แท้จริงได้ เราก็ต้องพยายาม อย่างพวกเรามาวัดอย่างนี้ก็เป็นการสร้างบารมี มีความเสียสละ ค่อยขัดค่อยเกลาค่อยเอาออก ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลสไปเรื่อยๆ ทีนั้นทีนี้ ถ้าสติปัญญาของเรามี แหลมคม เร็วไว เด็ดขาด ก็จะเข้าถึง รู้ความจริงของชีวิตของเรา พูดไปก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศจริงๆขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศยังไม่พอ ต้องมีการฝักใฝ่สนใจ ใจเกิดกิเลส เราละกิเลสดับกิเลส ใจเกิดความโกรธ ละความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร
ทุกสิ่งทุกอย่างเขาปิดกั้นเอาไว้ เขาเรียกว่า 'อวิชชา' ความไม่รู้ ท่านถึงให้มาสร้างความรู้ มาเจริญสติ ใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด ทั้งยึด ทั้งเป็นทาสของกิเลส ถ้าพูดเรื่องกิเลสแล้วไม่ค่อยจะชอบกันเท่าไหร่ก็มีกันทุกคน บางคนก็มีมาก บางคนก็มีน้อยบางคนก็เบาบาง
เพียงแค่กิเลสภายในยังไม่เพียงพอ ไปยึดติดโลกธรรมอีก ยึดติดในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง จำแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของตัวเองไม่ได้ หูตาจมูกลิ้นกาย เขาก็ทำหน้าที่ของเขา ใจของเรามีหน้าที่รับรู้ รับรู้ยังไม่พอ ทั้งอยาก ทั้งทะเยอทะยานอยาก ทั้งยินดียินร้าย
ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องชี้เหตุผล เห็นเหตุเห็นผล มองเห็นความเป็นจริงแล้วก็ค่อยละ ดับความเกิด มองเห็นว่าหนทางที่เราจะเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีความบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่เข้าใจถึงหากิเลสมาปิดกั้นมาถมดวงใจของตัวเอง จนกลายเป็นดินพอกหางหมู ค่อยทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ท่านถึงให้สะสางออกจากใจของเรา ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ตัวเดิมหรือความสะอาด ก็ต้องพยายามกัน
ให้ใจของเราอยู่ในคุณงามความดี ให้ใจของเรามีความซื่อสัตย์กับตัวเรา มีความกตัญญูกตเวที มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ นั่นแหละคือศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณา สนามรบที่ยิ่งใหญ่ก็คือร่างกายของเรา
การทำบุญให้ทานทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การที่จะเข้าไปดับความเกิดของใจนี่มันยากแสนยาก ตั้งแต่เช้ามาไม่รู้ไปสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยว บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นมลทินสารพัดอย่าง มีแต่เรื่องของภายนอกเรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นอย่างงี้ คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ไม่เคยพิจารณาดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา
เราจงพิจารณาตัวเราแก้ไขตัวเรา อันนี้ใจนะ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างงี้นะ สติของเราพลั้งเผลอไหม ใจเกิดส่งออกไปภายนอกเป็นเรื่องกุศลหรือว่ากุศล เรื่องอดีตหรือว่าเรื่องอนาคต ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ทำไมถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ที่ว่าเป็นกอง กองรูป กองนามเป็นอย่างนี้ ร่างกายของเรานี่เป็นกองรูป ส่วนความคิดเป็นกองนามซึ่งเป็นส่วนจิตวิญญาณ ส่วนมากมันรวมกันไปทั้งก้อน
เราก็ว่าเราไม่หลงหรอก ทุกคนว่าตัวเองไม่หลงทั้งนั้นแหละ นอกจากจะเดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าสติของเราต่อเนื่องเราก็จะรู้ว่าแต่ก่อน สติของเราเป็นแค่สติแบบโลกๆ คือเป็นสติที่เกิดจากใจ จากปัญญาทางโลกีย์ที่ใจยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า
ถ้าเรารู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย จะมีความสุขมาก ทำไมถึงว่ามีความสุข เพราะใจมองเห็นความเป็นจริง ใจก็เกิดปีติเกิดสุข มองเห็นความเป็นจริง กิเลสตัวไหนเข้ามาก็รู้จักขัดเกลาเอาออก ไม่ให้มาบริหารใจของเรา มีตั้งแต่สติปัญญาเท่านั้นที่จะบริหารใจของเรา
ทำความเข้าใจกับโลก โลกภายนอก โลกภายใน กายของเรานี่แหละก็โลก โลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะว่าใจของเราก็ยังอยู่เนื่องด้วยหมู่ด้วยคณะ ด้วยเพื่อนด้วยฝูง ด้วยพ่อแม่พี่น้อง อันนั้นคือสมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว สมมติว่าเป็นนู่นเป็นนี่ แต่พระพุทธองค์มองเห็นมีแต่ความว่างเปล่า เพราะว่าใจไม่มีแล้วก็มีแต่ความว่างเปล่า แต่มีอยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับวิมุตติแล้วไม่มีอะไรเลย มีแต่ความว่างเปล่า กายของเราก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมถ้าถึงเวลากลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟเหมือนเดิม แต่วิญญาณเขาสร้างร่างกายขึ้นมา สร้างร่างกาย สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แล้วก็ไปยึดไปหลง
เราต้องค้นคว้าหาตัววิญญาณหรือตัวใจของเราให้เจอ ว่าเขาเกิดยังไง เขาหลงยังไง ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่า อริยสัจสี่ความจริงอันประเสริฐเป็นลักษณะอย่างนี้ อัตตาอนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้สมมติวิมุตติเป็นลักษณะอย่างนี้ ศีลสมาธิปัญญา เป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราแยกแยะ ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจหงายขึ้นมา ตามเห็นความเกิดความดับ เราก็จะเข้าใจคำว่าอนิจจังทุกขังอนัตตาในกายของเรา
เราละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกให้มันหมดจด เราก็จะเข้าใจคำว่า 'วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ' ละกิเลสหยาบเป็นอย่างงี้ ละกิเลสละเอียดเป็นอย่างงี้ ตัวใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างงี้ แต่เวลานี้กำลังสติ เพียงแค่การเจริญการทำให้มีให้เกิดตรงนี้ก็ยาก มันก็เลยยากที่จะเข้าถึงทรัพย์อันใหญ่ คือความบริสุทธิ์ แต่เราก็อย่าไปท้อถอย
เราพยายามหัดอบรมใจของเราบ่อยๆ ทำความเข้าใจกับใจของเราบ่อยๆ กาย เรารักษากายของเราอย่างงี้ รักษากายของเราอย่างงี้ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ แม้แต่การเกิดเราก็พยายามดับความเกิดของเรา ค่อยไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ อันนี้เป็นสิทธิ์ที่ทุกคนจะต้องเข้าถึง ที่จะต้องเรียนรู้ชีวิตของเรา ไม่ใช่ให้คนโน้นคนนี้เขาบงการ เราต้องพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง จะดีหรือไม่ดีเราก็ต้องรีบแก้ไข ตำหนิตัวเองอยู่ตลอดเวลาแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา
เราก็ยังอยู่อาศัยอยู่ร่วมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกลอยู่คนละทิศละที่ มาอยู่ร่วมกันก็ให้มีความรัก ความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน อีกสักหน่อยก็ต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง
ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ พยายามยังความสุขทั้งสมมติทั้งวิมุตติให้เต็มเปี่ยม มีโอกาสเราก็อย่าพลาดโอกาสให้รีบเร่งหาประโยชน์ ให้รีบเร่งสร้างบุญสร้างกุศล ให้มีให้เกิดขึ้นขณะที่กำลังกายยังแข็งแรงอยู่
เวลานี้ก็ใกล้จะเข้าพรรษา ก็เหลืออีกวันนี้วันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ก็วันอาสาฬหบูชา วันปวารณาเข้าพรรษาก็คงจะปวารณาเข้าพรรษาตอนเย็น ก็ทั้งพระทั้งชีเรา ก็ให้พากันเตรียมพร้อมที่จะปวารณาเข้าพรรษา อะไรผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขตัวเรา ให้อภัยซึ่งกันและกันทุกคน
ไม่ว่าญาติโยม ว่าพระ ว่าชี อยู่ด้วยกันก็ให้รู้จักสำรวมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ อยู่ด้วยกันก็ให้มีความสุข อยู่ก็ให้มีความสุข ไปก็ให้มีความสุข ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส อยู่ด้วยอำนาจของความหลง เราหลงอะไรเราก็รีบแก้ไข
หลงในส่วนลึกๆ 'หลงเกิด' นั่นแหละ ทุกคนก็ว่าตัวเองไม่หลงหรอก ถ้าบความเกิดได้ถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราละกิเลสได้เราถึงจะรู้ว่าเรามีกิเลส ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ อันนี้สมมติ อันนี้วิมุตติอันนี้ความเป็นอยู่ของโลก เราอยู่กับโลก กายของเราเข้าไปร่วมกับสมมติให้ใจรับรู้ บริหารสมมติ บริหารกาย บริหารใจของเราด้วยสติด้วยปัญญา
บุคคลที่มีบุญมีวาสนาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างงี้ การละกิเลสเป็นอย่างงี้ การสร้างบารมีเป็นอย่างงี้ ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย บุคคลที่กิเลสหนา ชอบไปเที่ยวให้คนนู้นเขาว่า คนนี้เขาว่า คนนี้เขาดุด่า สำหรับบุคคลที่กิเลสหนาถ้ากิเลสเบาบาง ฟังนิดเดียวไปถึงฝั่งแล้วคือนิพพาน ความว่าง ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขากำชับกำชา ก็ต้องพยายามกัน
พระเราก็ช่วยกัน ชีเราก็ช่วยกัน อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน เราจงเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ เป็นผู้นำตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น จนล้นไปสู่หมู่สู่คณะสู่พี่สู่น้อง เราก็จะมีตั้งแต่ความสุขไปที่ไหนก็มีแต่ความสุข ไม่อดไม่อยากไม่ลำบาก ในเมื่อเราทำไว้ดีแล้ว หลวงพ่อก็ขอขอบคุณมากๆ เลยทีเดียว
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2563
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้เจริญสติแล้วหรือยัง เพียงแค่เจริญ เพียงแค่ทำให้มีให้เกิดขึ้น พากันทำแล้วหรือยัง ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ มีศรัทธา อยากทำบุญให้ทาน มีความเสียสละ ตรงนี้มีกันทุกคน แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปอบรมใจไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่
จะพูดเรื่องของ 'ความหลง' ความหลง จิตวิญญาณของแต่ละคนหลงมาเกิด หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ความหลงนี่ปิดกั้นเอาไว้ แล้วก็มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์คือร่างกายของเรานี่แหละ มาสร้างขันธ์ห้า เขาหลงตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้เขามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าคือร่างกายของเรานี้แหละ แล้วก็มายึดติดในร่างกายก้อนนี้ นี่ก็หลงเข้าไปอีก หลงในร่างกายนี้ก็ยังไม่พอ ขณะที่ยังอยู่ในกายเขาก็ยังเกิดต่ออีก ความเกิดนี่ก็คือความหลงปิดกั้นเอาไว้อีก หลงหลายชั้นแล้วนะ 3ชั้น หลงมายึดติดในกายยังไม่พอ หลงเกิดคือความคิดของเรานั่นแหละ เกิดส่งต่อออกไปอีก ยังไม่พออีก เป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความไม่อยากคุณงามความดี สารพัดอย่าง หลงหลายชั้น
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของตัวเรา จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ถึงจะคลายความหลงอันละเอียดตรงนี้ได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามได้ยังไม่พอ ต้องคอยละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากใจของเราอีกละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดยังไม่พอ แล้วดับความเกิดของใจ ของความคิดอีก มันหลายชั้นจริงๆ
ถ้าเราไม่วิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล สร้างตบะบารมีให้กับจิตใจของเรา ให้กับกายของเรา ก็ยาก อยากจะเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ที่แท้จริงได้ เราก็ต้องพยายาม อย่างพวกเรามาวัดอย่างนี้ก็เป็นการสร้างบารมี มีความเสียสละ ค่อยขัดค่อยเกลาค่อยเอาออก ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลสไปเรื่อยๆ ทีนั้นทีนี้ ถ้าสติปัญญาของเรามี แหลมคม เร็วไว เด็ดขาด ก็จะเข้าถึง รู้ความจริงของชีวิตของเรา พูดไปก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศจริงๆขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศยังไม่พอ ต้องมีการฝักใฝ่สนใจ ใจเกิดกิเลส เราละกิเลสดับกิเลส ใจเกิดความโกรธ ละความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร
ทุกสิ่งทุกอย่างเขาปิดกั้นเอาไว้ เขาเรียกว่า 'อวิชชา' ความไม่รู้ ท่านถึงให้มาสร้างความรู้ มาเจริญสติ ใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด ทั้งยึด ทั้งเป็นทาสของกิเลส ถ้าพูดเรื่องกิเลสแล้วไม่ค่อยจะชอบกันเท่าไหร่ก็มีกันทุกคน บางคนก็มีมาก บางคนก็มีน้อยบางคนก็เบาบาง
เพียงแค่กิเลสภายในยังไม่เพียงพอ ไปยึดติดโลกธรรมอีก ยึดติดในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง จำแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของตัวเองไม่ได้ หูตาจมูกลิ้นกาย เขาก็ทำหน้าที่ของเขา ใจของเรามีหน้าที่รับรู้ รับรู้ยังไม่พอ ทั้งอยาก ทั้งทะเยอทะยานอยาก ทั้งยินดียินร้าย
ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องชี้เหตุผล เห็นเหตุเห็นผล มองเห็นความเป็นจริงแล้วก็ค่อยละ ดับความเกิด มองเห็นว่าหนทางที่เราจะเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีความบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่เข้าใจถึงหากิเลสมาปิดกั้นมาถมดวงใจของตัวเอง จนกลายเป็นดินพอกหางหมู ค่อยทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ท่านถึงให้สะสางออกจากใจของเรา ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ตัวเดิมหรือความสะอาด ก็ต้องพยายามกัน
ให้ใจของเราอยู่ในคุณงามความดี ให้ใจของเรามีความซื่อสัตย์กับตัวเรา มีความกตัญญูกตเวที มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ นั่นแหละคือศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณา สนามรบที่ยิ่งใหญ่ก็คือร่างกายของเรา
การทำบุญให้ทานทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การที่จะเข้าไปดับความเกิดของใจนี่มันยากแสนยาก ตั้งแต่เช้ามาไม่รู้ไปสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยว บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นมลทินสารพัดอย่าง มีแต่เรื่องของภายนอกเรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นอย่างงี้ คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ไม่เคยพิจารณาดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา
เราจงพิจารณาตัวเราแก้ไขตัวเรา อันนี้ใจนะ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างงี้นะ สติของเราพลั้งเผลอไหม ใจเกิดส่งออกไปภายนอกเป็นเรื่องกุศลหรือว่ากุศล เรื่องอดีตหรือว่าเรื่องอนาคต ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ทำไมถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ที่ว่าเป็นกอง กองรูป กองนามเป็นอย่างนี้ ร่างกายของเรานี่เป็นกองรูป ส่วนความคิดเป็นกองนามซึ่งเป็นส่วนจิตวิญญาณ ส่วนมากมันรวมกันไปทั้งก้อน
เราก็ว่าเราไม่หลงหรอก ทุกคนว่าตัวเองไม่หลงทั้งนั้นแหละ นอกจากจะเดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าสติของเราต่อเนื่องเราก็จะรู้ว่าแต่ก่อน สติของเราเป็นแค่สติแบบโลกๆ คือเป็นสติที่เกิดจากใจ จากปัญญาทางโลกีย์ที่ใจยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า
ถ้าเรารู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย จะมีความสุขมาก ทำไมถึงว่ามีความสุข เพราะใจมองเห็นความเป็นจริง ใจก็เกิดปีติเกิดสุข มองเห็นความเป็นจริง กิเลสตัวไหนเข้ามาก็รู้จักขัดเกลาเอาออก ไม่ให้มาบริหารใจของเรา มีตั้งแต่สติปัญญาเท่านั้นที่จะบริหารใจของเรา
ทำความเข้าใจกับโลก โลกภายนอก โลกภายใน กายของเรานี่แหละก็โลก โลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะว่าใจของเราก็ยังอยู่เนื่องด้วยหมู่ด้วยคณะ ด้วยเพื่อนด้วยฝูง ด้วยพ่อแม่พี่น้อง อันนั้นคือสมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว สมมติว่าเป็นนู่นเป็นนี่ แต่พระพุทธองค์มองเห็นมีแต่ความว่างเปล่า เพราะว่าใจไม่มีแล้วก็มีแต่ความว่างเปล่า แต่มีอยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับวิมุตติแล้วไม่มีอะไรเลย มีแต่ความว่างเปล่า กายของเราก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมถ้าถึงเวลากลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟเหมือนเดิม แต่วิญญาณเขาสร้างร่างกายขึ้นมา สร้างร่างกาย สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แล้วก็ไปยึดไปหลง
เราต้องค้นคว้าหาตัววิญญาณหรือตัวใจของเราให้เจอ ว่าเขาเกิดยังไง เขาหลงยังไง ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่า อริยสัจสี่ความจริงอันประเสริฐเป็นลักษณะอย่างนี้ อัตตาอนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้สมมติวิมุตติเป็นลักษณะอย่างนี้ ศีลสมาธิปัญญา เป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราแยกแยะ ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจหงายขึ้นมา ตามเห็นความเกิดความดับ เราก็จะเข้าใจคำว่าอนิจจังทุกขังอนัตตาในกายของเรา
เราละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกให้มันหมดจด เราก็จะเข้าใจคำว่า 'วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ' ละกิเลสหยาบเป็นอย่างงี้ ละกิเลสละเอียดเป็นอย่างงี้ ตัวใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างงี้ แต่เวลานี้กำลังสติ เพียงแค่การเจริญการทำให้มีให้เกิดตรงนี้ก็ยาก มันก็เลยยากที่จะเข้าถึงทรัพย์อันใหญ่ คือความบริสุทธิ์ แต่เราก็อย่าไปท้อถอย
เราพยายามหัดอบรมใจของเราบ่อยๆ ทำความเข้าใจกับใจของเราบ่อยๆ กาย เรารักษากายของเราอย่างงี้ รักษากายของเราอย่างงี้ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ แม้แต่การเกิดเราก็พยายามดับความเกิดของเรา ค่อยไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ อันนี้เป็นสิทธิ์ที่ทุกคนจะต้องเข้าถึง ที่จะต้องเรียนรู้ชีวิตของเรา ไม่ใช่ให้คนโน้นคนนี้เขาบงการ เราต้องพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง จะดีหรือไม่ดีเราก็ต้องรีบแก้ไข ตำหนิตัวเองอยู่ตลอดเวลาแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา
เราก็ยังอยู่อาศัยอยู่ร่วมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกลอยู่คนละทิศละที่ มาอยู่ร่วมกันก็ให้มีความรัก ความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน อีกสักหน่อยก็ต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง
ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ พยายามยังความสุขทั้งสมมติทั้งวิมุตติให้เต็มเปี่ยม มีโอกาสเราก็อย่าพลาดโอกาสให้รีบเร่งหาประโยชน์ ให้รีบเร่งสร้างบุญสร้างกุศล ให้มีให้เกิดขึ้นขณะที่กำลังกายยังแข็งแรงอยู่
เวลานี้ก็ใกล้จะเข้าพรรษา ก็เหลืออีกวันนี้วันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ก็วันอาสาฬหบูชา วันปวารณาเข้าพรรษาก็คงจะปวารณาเข้าพรรษาตอนเย็น ก็ทั้งพระทั้งชีเรา ก็ให้พากันเตรียมพร้อมที่จะปวารณาเข้าพรรษา อะไรผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขตัวเรา ให้อภัยซึ่งกันและกันทุกคน
ไม่ว่าญาติโยม ว่าพระ ว่าชี อยู่ด้วยกันก็ให้รู้จักสำรวมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ อยู่ด้วยกันก็ให้มีความสุข อยู่ก็ให้มีความสุข ไปก็ให้มีความสุข ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส อยู่ด้วยอำนาจของความหลง เราหลงอะไรเราก็รีบแก้ไข
หลงในส่วนลึกๆ 'หลงเกิด' นั่นแหละ ทุกคนก็ว่าตัวเองไม่หลงหรอก ถ้าบความเกิดได้ถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราละกิเลสได้เราถึงจะรู้ว่าเรามีกิเลส ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ อันนี้สมมติ อันนี้วิมุตติอันนี้ความเป็นอยู่ของโลก เราอยู่กับโลก กายของเราเข้าไปร่วมกับสมมติให้ใจรับรู้ บริหารสมมติ บริหารกาย บริหารใจของเราด้วยสติด้วยปัญญา
บุคคลที่มีบุญมีวาสนาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างงี้ การละกิเลสเป็นอย่างงี้ การสร้างบารมีเป็นอย่างงี้ ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย บุคคลที่กิเลสหนา ชอบไปเที่ยวให้คนนู้นเขาว่า คนนี้เขาว่า คนนี้เขาดุด่า สำหรับบุคคลที่กิเลสหนาถ้ากิเลสเบาบาง ฟังนิดเดียวไปถึงฝั่งแล้วคือนิพพาน ความว่าง ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขากำชับกำชา ก็ต้องพยายามกัน
พระเราก็ช่วยกัน ชีเราก็ช่วยกัน อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน เราจงเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ เป็นผู้นำตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น จนล้นไปสู่หมู่สู่คณะสู่พี่สู่น้อง เราก็จะมีตั้งแต่ความสุขไปที่ไหนก็มีแต่ความสุข ไม่อดไม่อยากไม่ลำบาก ในเมื่อเราทำไว้ดีแล้ว หลวงพ่อก็ขอขอบคุณมากๆ เลยทีเดียว
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ