หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 97 วันที่ 6 ธันวาคม 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 97 วันที่ 6 ธันวาคม 2563
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 97 วันที่ 6 ธันวาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 97
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 ธันวาคม 2563

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตามความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกเราได้เจริญสติแล้วหรือยัง ได้ทำได้สร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็ทำให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึงแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่งอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา

การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยากแสนยาก ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาด้วย แล้วก็เราพยายามทำความเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องหลักของความทุกข์ หลักของอริยสัจ ท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตา ท่านสอนเรื่องอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงคำสอนนั้น เราก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านได้ค้นพบ แล้วน้อมนำมาเปิดเผยให้สัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละ

ทุกคนก็มีสติมีปัญญากัน แต่เป็นสติปัญญาของสมมติ ของโลกีย์ ไม่ใช่สติปัญญาในทางธรรมสติปัญญาในทางธรรมเราต้องเจริญ เราต้องสร้างขึ้นมา หรือว่าเจริญสตินั่นแหละ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร สติที่ต่อเนื่องเพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของตัวเราได้หรือไม่ ไปควบคุมใจของเราจนกว่าใจจะอยู่ในโอวาทของสติปัญญา จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า จึงเรียกว่าแยกรูปแยกนาม นั่นแหละท่านถึงเรียกว่า ‘ความเห็นถูก’ ข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด

‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกเพียงแค่เริ่มต้น การตามทำความเข้าใจให้รู้อีก เราก็จะเข้าใจคำว่า‘อัตตาอนัตตา’ เข้าใจ รู้เรื่อง รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ใจคลายออกมารับรู้ ได้เห็นสิ่งต่างๆ มองเห็นตามความเป็นจริง ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบหลงงมงายไม่ให้เชื่อโดยที่นึกเอาคิดเอา ต้องเจริญสติ เพียงแค่การเจริญการสร้างให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ก็ยังยากลำบากอยู่

คนเราก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น ดิ้นรนแสวงหา ก็แสวงหาใจของเรานั่นแหละถ้าใจของเราแสวงหาใจ ไม่มีวันเจอหรอก นอกจากจะเจริญสติเข้าไปหยุดเข้าไปดับ เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้าได้นั่นแหละ จึงจะมองเห็นความเป็นจริง ถ้าใจยังคลายหรือแยกรูปแยกนามไม่ได้ มันก็ได้เพียงแค่การสร้างบารมี มีศรัทธาบารมีในระดับของสมมติ แต่ก็ดีไม่ใช่ว่าไม่ดี ก็สักวันหนึ่งเราก็จะรู้ก็จะเห็นก็จะเข้าถึง ก็จะเห็นการแยกการคลาย รู้เรื่องหลักของอริยสัจ

ใจส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ใจเกิดได้อย่างไร เราจะดับวิธีไหน ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ การสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี แต่ละวันจิตใจของเรามีความโลภ ความโกรธความทะเยอทะยานอยากหรือไม่ เราก็รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ท่านถึงว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ ตนตัวแรกก็คือสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เพียงแค่สติที่เราสร้างขึ้นมาก็ยังไม่เข้มแข็ง จะเอาไปใช้อบรมใจได้อย่างไร เอาไปแก้ไขใจได้อย่างไร จะรู้ธรรมได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา ก็รักษา เราก็รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์

จิตใจของเรามีความอ่อนโยนมีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่มี มีความกตัญญูกตเวทีหรือเปล่าเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ หรือว่าให้แต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เกียจคร้านทั้งสมมติทั้งวิมุตติ สมมติก็คือภาระหน้าที่การงานที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่รู้จักความขยัน ไม่รู้จักรับผิดชอบ ไม่รู้จักความเสียสละ ไม่รู้จักความอดทน มันก็ยากที่จะเข้าถึง

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเกิดจากการสร้างอานิสงส์ สร้างตบะ สร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ก่อนที่ใจของเราจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาดความบริสุทธิ์

แสวงหาธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักลักษณะของสติ นั่นก็เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ก็ได้แค่ฝึก ก็ได้แค่ฝึกที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ถ้าเราเข้าใจแล้ว ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ก็จะดูรู้กายรู้ใจของเราได้ตลอดเวลา ความคิดเนี่ยมันเกิดขึ้น เขาเกิดอย่างไร อาการเขาก่อตัวอย่างไร ทุกคนก็ไปมองข้ามกัน จะเอาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่ค่อยจะสนใจในการปฏิบัติ

ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น สติปัญญาเป็นตัวสั่งพากายไปใจรับรู้ หรือใจเป็นตัวสั่ง หรือรวมกันไปทั้งหมด ตากระทบรูปใจเรานิ่งหรือไม่ หูกระทบเสียงใจเรานิ่งหรือไม่ ภาษาธรรมภาษาโลกที่ท่านว่าสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นยังไง เราต้องแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา จนกระทั่งถึงเวลาจะขบจะฉัน เราต้องวิเคราะห์พิจารณาปฏิสังขาโย ซึ่งท่านเรียกว่า ‘แยกความอยากความหิว’ กายเราหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก กายหิวใจเกิดความอยาก เราก็ไปดับความอยากที่ใจ ควบคุมที่ใจให้หายอยากเสียก่อน แล้วเราค่อยพิจารณาอาหารมาให้กายของเรา พิจารณาทุกเรื่องจนกระทั่งดับความเกิดของใจ ความเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แล้วความคิดนั่นแหละ ทั้งดีทั้งไม่ดี ทั้งกุศลหรือว่าอกุศล หรือว่าเป็นกลางๆ มีหมด อยู่ในกายในใจของเรา

ท่านถึงบอกให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จำแนกแจกแจงที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เขาเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร เราก็ได้แค่ทำบุญ ศรัทธาทำบุญอยู่ระดับนี้ แต่การที่จะเจริญสติให้เป็นมหาสติมหาปัญญา จนรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ รอบรู้ในอริยสัจ รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว หมดความสงสัย หมดความลังเล เอาไปใช้กับชีวิตได้ตลอดเวลา

เราจงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ไปเที่ยวโทษคนโน้น โทษคนนี้ไปที่โน่นก็ไม่ดี ที่นี่ก็ไม่ดี ใจของเราไม่ดีแล้ว ไปอยู่ที่ไหนก็มองเห็นแต่ของไม่ดีนั่นแหละ เพราะใจของเราไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้ว ภายนอกเขาดีไม่ดีอย่างไร ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าใจของเราไม่ดี ข้างนอกดีขนาดไหน ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม เราก็จงมาแก้ไขใจ เพียงแค่การเจริญสติให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง

ตรงนี้ก็ยังทำยากลำบากกัน ก็ต้องพยายาม ก็ไม่เหลือวิสัย ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จนไม่มีอะไรให้มาแก้ไข จนมีตั้งแต่ดูกับรู้ บริหารด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ก็ต้องพยายามกันนะ

ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี อย่าให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ในเมื่อเรามาอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ความสมัครสมานสามัคคี ความเสียสละ การช่วยอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกันหนักเอาเบาสู้ มีอะไรเราก็ช่วยกัน ทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายของเรา ทำความเข้าใจกับโลก

อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง มารับเอาโลงศพกันวันละ 2 โลงบ้าง 3 โลงบ้างอยู่อย่างนี้ ความตายก็มาเยือน อีกสักหน่อยเกิดเท่าไหร่ก็ตายหมด ทุกคนก็ต้องได้ไปหมด

แม้แต่องค์หลวงพ่อก็ต้องได้ไป หลวงพ่อก็ขาร่วง ไม่รู้ว่าจะอยู่กับพวกท่านได้นานอีกเท่าไหร่แต่ละวันแต่ละคืนนี่ก็หายใจไม่ค่อยอิ่ม หายใจไม่อิ่มไม่ทั่วท้อง เพราะว่ากระบังลมเป็นอัมพฤกษ์ไปข้างนึง ทั้งโรคภัยไข้เจ็บก็เบียดเบียน ก็ประคับประคอง 3 วันที่ผ่านมานั้นก็ทั้งคืน ถ่ายทั้งคืนติดต่อกันมา 3 คืน คืนละ 6-7 ครั้ง สภาพร่างกายก็ลำบากอยู่ ก็ดูแลแก้ไขเขาไป จนกว่าจะถึงวาระเวลาของเขา

พวกเราก็อย่าทิ้งในการเจริญสติ ในการวิเคราะห์ใจของตัวเรา แก้ไขใจของเรา อยู่คนเดียวก็ดูเรา อยู่หลายคนก็ดูเรา รู้จักวิธีการแล้วแนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้นะ เราละความกลัวได้อย่างนี้ เราละกิเลสได้อย่างนี้ ระดับกายระดับวาจาระดับใจ ไม่มีพูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดปด ทุกสิ่งทุกอย่าง

ทุกอย่างก็มีจุดหมายปลายทางกันหมด ขอให้เรามีความขยันหมั่นเพียรกัน มีอะไรเราก็ช่วยกันทั้งพระทั้งชี เราก็จะอยู่ดีมีความสุข การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ความขยันหมั่นเพียรของเราให้ถึงพร้อม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิเลส ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน ไปอยู่ที่ไหนเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง