หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 60 วันที่ 11 กรกฎาคม 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 60 วันที่ 11 กรกฎาคม 2563
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 60 วันที่ 11 กรกฎาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 60
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2563

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เริ่มอยู่ตลอดเวลานั่นแหละอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เพียงแค่สร้างความรู้ ตัวรู้ มีความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่อง แต่พวกเราทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ อาจจะรู้อยู่กะปริบกะปรอยรู้ไม่ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาถึงจะเรียกว่าสติสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ลึกลงไปเราก็รู้ความปกติของใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้การแยกการคลายของใจออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ถ้าแยกได้ถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นถูก

แต่เราก็เห็นถูกอยู่ เห็นถูกอยู่ในภาพรวม แต่ยังแยกไม่ได้ว่า อันนี้คือใจ อันนี้คืออาการของใจ ซึ่งเป็นส่วนรูปส่วนนามอันนี้กองรูป กองนาม กองนามยังแบ่งออกไปอีกว่าเป็นวิญญาณ ตัวกองวิญญาณ กองสังขาร กองสัญญา หลายสิ่งหลายอย่างซึ่งมีอยู่ในกายของเรา เรารู้เห็นเฉพาะในภาพรวม ถ้าเป็นวงกลม เราก็มองเห็นเป็นก้อน ในหลักธรรมพระพุทธองค์ท่านให้เจริญสติลงที่กาย แล้วก็ให้รู้เห็นด้วยปัญญาว่าเป็นกองไหนๆ กองไหนเขารวมกันอยู่ได้อย่างไรส่วนมากก็มองเห็นในภาพรวม ผิดถูกชั่วดีก็อยู่ในระดับของภาพรวม ก็ยังดับทุกข์ได้ไม่แท้จริง

สิ่งที่จะเข้าไปดับทุกข์ได้ที่แท้จริงเราต้องรู้ต้นเหตุ ต้นเหตุของการเกิดความทุกข์เกิดขึ้นที่ตรงไหน เกิดขึ้นที่กาย เกิดขึ้นที่ใจ กายกับใจเขาอยู่ร่วมกันได้อย่างไร เราต้องแยกด้วยปัญญา มองเห็นด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผลด้วยปัญญาถึงจะมองออกได้ทะลุปรุโปร่ง ถึงแยกแยะได้ ถึงใจคลายได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจได้ก็ยากที่จะเข้าใจอีก ก็ต้องพยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมีอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาคิดดี เราก็ได้บุญแล้ว ทำดี เราก็อยู่กับบุญแล้ว อะไรที่เป็นอกุศล เราก็พยายามละเสีย อะไรที่เป็นกุศลเราก็พยายามเจริญให้มีให้เกิดขึ้น แต่ละวันๆ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความสียสละ ความอดทน เรามีหรือไม่ เราก็ต้องพยายาม ความอ่อนน้อมถ่อมตน สัจจะความจริงใจ มีความซื่อสัตย์ต่อตัวเราเอง ซื่อสัตย์ต่อคนอื่น สิ่งพวกนี้ก็รู้ว่าเป็นบุญเป็นบารมี ที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา สูงขึ้นไปก็รู้จักการเจริญภาวนา รู้จักการเอาสติปัญญาไปใช้ อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้

ปัญญาโลกีย์มีแต่ส่งออกไปภายนอกถึงจะมีมากมายถึงขนาดไหนก็ดับทุกข์ไม่ได้เลย เราเปลี่ยนปัญญาโลกีย์ให้เป็นปัญญาธรรม ให้ใจคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม เราต้องสังเกตบ่อยๆ สังเกตไม่ทันเราต้องรู้จักดับรู้จักหยุด ใช้สมถะเข้าไปดับ สมถะนี้หมายถึงทำใจของเราให้สงบอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาเป็นสมถะถ้าใจเกิดขณะนี้เราก็ดับขณะนี้แหละ อยู่ด้วย อยู่กับคำบริกรรมหรือว่าอยู่กับลมหายใจเขาเรียกว่าสมถภาวนา

เราก็ต้องแก้ไขใจของเรา อบรมใจของเรา ใจของเราเกิดความโลภเราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความอยากเราก็พยายามละความอยาก ดับความอยากด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ด้วยการอโหสิกรรม ใจของเรามีความแข็งกร้าวเราก็พยายามละความแข็งกร้าว สร้างความอ่อนน้อมให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความเกียจคร้านเราก็ขยันหมั่นเพียร เพียงแค่ระดับสมมติเราก็ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ พยายามพึ่งตัวเองให้ได้เสียก่อน จากน้อยๆ ไปหามากๆจนกว่าจะเต็มล้น จนกว่าจะเต็มเปี่ยม ไม่ใช่ว่าจะทำปุ๊บก็จะได้ผลปั๊บ เราก็ค่อยสร้างสะสม

การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การละกิเลสเป็นอย่างนี้นะ กิเลสหยาบเป็นอย่างนี้ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ กายทวารทั้งหกเขาทำหน้าที่อย่างนี้ ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างนี้ จนกว่าใจจะคลายออกหงายออกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนามได้เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ถ้าตามดูเห็นการเกิดการดับของความคิดเราก็จะเข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ในกายของเราซึ่งมีกันทุกคน จะเกิดมากเกิดน้อยก็มีกันหมดทุกคนนั่นแหละ

ก็อย่าไปทิ้ง หมั่นวิเคราะห์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้ากำลังสติปัญญาของเรามีเพียงพอสักวันหนึ่งเราก็จะเห็น เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเรา เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในเรื่องหลักของอริยสัจ

อริยสัจสี่ ความจริงอันประเสริฐ เข้าใจในวิญญาณในกาย ในขันธ์ห้าของเรา เข้าใจในวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิซึ่งมีอยู่ในกายของเรา มองเห็นหนทางเดินไม่เหลือวิสัย ถ้าเราหมั่นสนใจ หมั่นทำความเข้าใจให้ถูกต้อง สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงเดือนนี้ เดือนหน้า เดือนต่อไป ไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราวางรากฐานเอาไว้ก็จะไปต่อเอาภพหน้า

ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ทำอย่างไรเราถึงจะดับความเกิดได้ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิด ทั้งยึด เราก็ค่อย มาแก้ มาไข มาค่อย มาคลาย ค่อยคลายเอาออกทีละเล็กละน้อย ใจก็จะวาง ว่าง ว่างจากการเกิดว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เราก็มองเห็นโลกนี้ด้วยความว่างนั่นแหละ

แต่ทุกคนถ้ายังแยกแยะไม่ได้ก็มองเห็นเป็นตัวเป็นตน อัตตาตัวตนเกิดก็ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่อยากจะปล่อย อยากจะวางมันก็วางไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักจุดปล่อย ไม่รู้จักจุดวาง ถึงแยกแยะได้ถ้าไม่ทำความเข้าใจให้ละเอียดอีกมันก็ยาก จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ง่ายสำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร ชี้เหตุชี้ผลอบรมตัวตนอบรมตัวใจของเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำความเข้าใจกับโลกธรรม

โลกก็เป็นอยู่อย่างนี้ สมมติก็เป็นอยู่อย่างนี้ เราจะบริหารกายของเราอย่างไร บริหารใจของเราอย่างไร เราจะอยู่กับสมมติอย่างไรอย่างมีความสุขจนกว่าจะหมดลมหายใจ ก็ต้องพยายามกันนะอย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาล

วันนี้ก็ใกล้เข้าพรรษาก็เข้ามาแล้ว วันเดือนปีนี่เร็ว เร็ว อายุขัยในโลกมนุษย์ก็มีไม่เยอะหรอก อย่างมากก็ร้อย หรือร้อยกว่าปีนิดๆ ถ้าคนมีอายุยืนส่วนมาก็หกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบ ความตายก็ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ มีโอกาสไปได้ทั้งนั้น ตายได้ทั้งนั้น เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ถ้าพูดถึงเรื่องความตายก็ไม่ค่อยชอบกัน พูดถึงเรื่องอายุยืนยาวนาน อยากร่ำอยากรวยแล้วก็ชอบกันอยู่ แต่พูดถึงความเป็นจริงแล้วก็ผลักไสไม่ค่อยจะสนใจวิเคราะห์หาเหตุหาผล

เพราะว่าทุกชีวิตก็เหมือนกันหมด ก็เหมือนกันหมดล้ายๆ กันหมด แต่ความเป็นอยู่ระดับสมมติอานิสงส์ผลบุญผลทานของแต่ละบุคคลอาจจะสร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาเต็มสมมติก็ไม่ได้ลำบาก บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็ลำบากทางสมมติ เพียงแค่สมมติก็ยังติดขัด บุคคลที่สร้างสะสมบุญกุศลมาดีสมมติก็ไม่ได้ลำบาก แล้วก็รู้จักบริหารกายบริหารใจอยู่ในบุญอยู่ในกุศล ดำเนินชีวิตไม่ประมาทก็ไม่ได้ลำบากในการดำเนินชีวิต ในระดับของสมมติบางคนก็ลำบากทั้งชีวิต แต่เราก็อย่าไปทิ้งบุญ มีโอกาสสร้างบุญสร้างสะสมคุณงามความดีไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งอานิสงส์ผลบุญผลทานก็จะส่งผลให้เราไม่ได้ลำบาก

เพราะว่าอานิสงส์ผลบุญผลทานนี้ ถ้ารู้จักทานเป็นส่งให้ถึงนิพานเลยทีเดียว ใจไม่ปรารถนา ใจไม่เอาอะไร ใจไม่มีความโลภ ความโกรธ ความอยาก ทานวัตถุทาน ให้อภัยทาน อโหสิกรรม เพียงแค่ทานตัวเดียวนี้ ใจวาง ว่างไปได้หมดเลยทีเดียว ถ้าเรามาดับความเกิด ดับความเกิดของใจ คลายความเกิดของใจออกจากขันธ์ห้าได้ ดับความเกิดของใจได้ ทานออกให้มันหมดก็ยังเหลืออยู่กับสมมติคือกาย ยังอาศัยกินอยู่ หลับนอนอยู่ เราก็บริหารกายของเราไปด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีความสุขอยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจในชีวิตของเรา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง