หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 93 วันที่ 24 ตุลาคม 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 93 วันที่ 24 ตุลาคม 2563
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 93 วันที่ 24 ตุลาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 93
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 ตุลาคม 2563

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันเจริญสติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง

เพียงแค่การเจริญสติที่จะเข้าไปอบรมใจของเรา ตรงนี้ก็ยาก ก็ยากอยู่ ไม่ค่อยจะสนใจ ปล่อยเลยตามเลย คิดก็รู้ ทำก็รู้ ความเกิด ความเกิดนั่นแหละ ความคิด ความเกิดของใจนั่นแหละ คือความหลง ใจของคนเรานี้หลงมาหลายชั้น หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด จนกระทั่งมาก่อร่างสร้างภพ คือร่างกายอัตภาพ ขันธ์ห้าของเรานี่แหละ เขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’

ใจนี้เป็นธาตุรู้ เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด เรามาสร้างขันธ์ห้าขึ้นมา แล้วก็มายึดติดในขันธ์ห้า แล้วก็เป็นทาสกิเลสอีกพระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ ลงที่กายของเรา สร้างความรู้สึกตัวนี่แหละ เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา เพื่อที่จะเอาไปชี้เหตุชี้ผล เพื่อที่จะให้ใจคลายออกจากขันธ์ห้า สื่อภาษาธรรมท่านเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม'

ใจแยกรูปแยกนาม คลายจากขันธ์ห้า ท่านถึงบอกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก แต่เวลานี้เราเห็นถูกอยู่ระดับของสมมติ เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาป สร้างบุญสร้างบารมี หมั่นทำบุญให้ทานกันอยู่ระดับของสมมติ แต่การเจริญสติอาจจะมีบ้างเล็กน้อย ไม่ค่อยจะทำกันให้ต่อเนื่อง ไม่ค่อยจะเอาสติปัญญาไปอบรมใจของตัวเรา ไปแก้ไขใจของเรา

แต่ละวันๆ ใจของเราเกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย ผลักไสหรือดึงเข้ามา สารพัดอย่าง เขาเกิดสักกี่เที่ยว เขาเกิดสักกี่ครั้ง ขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง เราไม่รู้เลย เรารู้อยู่เฉพาะในภาพรวมว่า เราคิด เราคิดเราทำ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วความเกิดนั่นแหละ คือปิดกั้นตัวใจของเราเอาไว้ให้เลย ยังหลงอยู่ เราก็ว่าเราไม่หลง ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติ ถ้าเราทำให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่า สิ่งที่ผ่านมา ช่วงที่ผ่านมานั้น สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเราไม่มีเลย

ท่านถึงให้เจริญ ให้สร้าง ให้ทำให้มี ให้เกิดขึ้น แล้วก็เอาไปอบรมใจของเรา เอาไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิด เห็นการดับ ฝักใฝ่ในการเสียสละ ในการคลายกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา

งานสมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อย่าพากันเกียจคร้าน สมมติก็พากันขยันหมั่นเพียร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างไร เราปรับปรุงแก้ไขใจของเราได้หรือไม่ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่ามีความแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไข เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ หรือเอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ

ทุกคนปรารถนาหาทางดับทุกข์ ปรารถนาหาทางหลุดพ้น แต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ แล้วก็วิบากกรรมต่างๆ ก็เข้าครอบงำ กรรมทางสมมติสมมติของเราก็อันโน้นก็ขาดตกบกพร่อง อันนี้ก็ยังไม่พร้อม อันนู้นก็ยังไม่พร้อม สารพัดอย่าง

ท่านถึงให้พยายาม ให้แก้ไขตัวเรา ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเขาก็อาศัยกันอยู่ แต่ละวัน แต่ละเดือนแต่ละปี วันเดือนปีผ่านไปเร็วไว อายุของมนุษย์นี่มีไม่มากหรอก อย่างมากก็ร้อย ร้อยนี่ก็ทั้งยากแล้วแหละ อยู่ในเกณฑ์60 70 80 นี่เยอะ แต่ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ตายได้ตลอดเวลา พวกเราก็อย่าพากันประมาท

พากันแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราให้ดี ดูเรื่องของเราให้มันจบ ส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องภายนอก เรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ตีกัน กินข้าวอิ่มแล้วก็ไปตีกัน หิวก็หากินใหม่ ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้แหละ แล้วก็ทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้แหละบ้านเมือง เพราะว่าไม่ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสออกจากจิตใจของตัวเรา

กูดีมึงดี กูถูกมึงผิด ผิดทุกคนนั่นแหละ หลงทุกคน ตราบใดที่ยังแยกรูปแยกนาม เดินปัญญา ละกิเลส ดับความเกิดไม่ได้ หลงทุกคน อาจจะหลงอยู่ในคุณงามความดี หลงอยู่ในบุญในกุศล นี่ก็หลงเหมือนกัน แต่ยังเป็นสิ่งที่ดี ดีกว่าไปหลงบาป

พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติกลับมาวิเคราะห์ใจของเรา อบรมใจของเรา บอกใจของเราให้ได้ ใช้ใจของเราให้เป็น ปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาส่วนหนึ่ง ใจนั่นส่วนหนึ่ง อาการของใจอีกส่วนหนึ่ง ที่พากันสวดกันท่องอยู่ทุกวันทุกวัน อันนู้นก็ไม่เที่ยง อันนี้ก็ไม่เที่ยง ตรงหลักอนัตตา คือความว่างเปล่า แต่เรามองเห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่ได้มองเห็นเป็นของว่างเปล่าเหมือนกับพระพุทธองค์ ท่านมองด้วยตาปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา เห็นความไม่เที่ยงในร่างกายเห็นความไม่เที่ยงในจิตใจ

ทำอย่างไรถึงจะทำให้มันเที่ยงได้ ต้องละกิเลส คลายความเกิด ละกิเลส ดับความเกิด จิตนิ่ง เที่ยง นิพพานก็เที่ยง แต่เวลานี้จิตของเรายังมีกิเลสอยู่ บางคนก็เบาบาง บางคนก็หนา ก็ต้องค่อยๆ แก้ไขกันไป ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเราใหม่ ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราได้หรอกนอกจากตัวเรา

พระพุทธองค์ท่านก็ค้นพบ เอามาจำแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผล ปฏิบัติตามอย่างนี้นะ จะเห็นอย่างนี้ ปรากฏอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ หลักของอริยสัจเป็นอย่างนี้ ศีลสมาธิปัญญาเป็นอย่างนี้ วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราละได้แล้วหรือยัง เราละได้ระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้าถึงความบริสุทธิ์

ส่วนมากก็มีตั้งแต่แสวงหานอกกาย ธรรมะจะอยู่ที่โน่น ธรรมะจะอยู่ที่นี่ ตามความเป็นจริงก็อยู่ที่กายที่ใจของเรานั่นแหละ ตื่นขึ้นมาสติดู รอบรู้การหายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไร ใจปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจเกิดกิเลสเราดับได้ระดับไหน ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ อะไรยังเหลืออยู่ เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายใน ทั้งความอยาก ความไม่อยาก

ความอยากนี่แหละสำคัญ ความเกิดความหิว ความอยาก ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น จนกระทั่งถึงเวลานี้ ให้รู้จักพิจารณาปฏิสังขาโย ความอยากกับความหิวแยกออกจากกันได้แล้วหรือยัง กายหิว ใจเกิดความอยาก เรารู้จักระงับ รู้จักควบคุมรู้จักแก้ไข

เรามีความเกียจคร้าน ละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น ละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ด้วยการช่วยเหลืออนุเคราะห์ เรามีพรหมวิหารมีความเมตตา หรือว่ามีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว

ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอก แสวงหาธรรมจะไปแสวงหาที่โน่นที่นี่ ไม่เจอหรอก นอกจากเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออก เห็นเหตุเห็นผล เราก็รู้จักละตัวเรา แก้ไขตัวเรา

แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน แต่เรายังไม่เดิน เดินอยู่อาจจะเดินไม่ถูกทาง เดินผิดทาง เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวก็ยังทำได้ยาก การเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสัก 5 นาที 10 นาที ก็ยังทำได้ยาก วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมงล่ะ วันหนึ่งมีกี่นาทีล่ะ คำว่าปัจจุบันธรรม ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้า-ออก ทำอย่างไรเราถึงจะให้ถึงขนาดนั้น เราต้องมีความเพียรเป็นเลิศแก้ไขตัวเราเป็นเลิศ ปรับปรุงตัวเราเป็นเลิศ

อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน เราก็ดูเรา แก้ไขเรา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเรามาใส่ใจเขา ยิ่งอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน คนละทิศละที่ละทาง คนนู้นจะเอาอย่างนั้น คนนั้นจะเอาอย่างนี้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน หาต้นเหตุไม่เจอจากคำๆเดียวขยายเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น แต่พระพุทธองค์ท่านให้จัดการลงที่ต้นเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุเหตุทางด้านจิตใจ เริ่มต้นที่ใจ เราก็ดับที่ใจ

ในเมื่อได้มาสร้างภพสร้างชาติขึ้นมาแล้ว เราก็มาบริหารกายของเรา บริหารใจของเรา บริหารสมมติของเรา ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ก็ต้องพยายามกัน บุคคลที่จะเข้าใจ บุคคลที่จะรู้ในธรรม ฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การให้อภัย การให้อโหสิกรรม การสร้างความหนักแน่นให้ใจของเราเป็นอย่างนี้ การละกิเลส ตัวไหนยังเหลืออยู่ ตัวไหนยังไม่เหลือ เราก็พยายามแก้ไขเรา

อยู่คนเดียวเราก็ดูเรา แก้ไขเรา ไม่จำเป็นต้องไปพูดอะไรมากมายเลย ไม่จำเป็นต้องพูดเลยก็ได้ รู้จักแก้ไขเรา นั่นแหละ ศีลสมาธิปัญญาก็อยู่กับเรานั่นแหละ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็พยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าพากันเกียจคร้านสมมติก็อย่าเกียจคร้าน วิมุตติการขัดเกลากิเลสก็ขยันเอา

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง