หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 92 วันที่ 11 ตุลาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 92 วันที่ 11 ตุลาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 92
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 ตุลาคม 2563
พยายามเจริญสติเข้าไปชี้เหตุ ชี้ผล แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะรับประทานข้าวปลาอาหารก็ดูด้วย มองซ้าย มองขวา มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา
อะไรมันอยาก แยกความอยาก ความหิว ออกจากกัน กายเราหิว หรือว่าใจเกิดความอยาก
ถ้ากายหิว ก็ให้รับรู้ว่าหิว ใจเกิดความอยาก ก็รู้จักดับ รู้จักหยุด ให้พิจารณา
ยิ่งกายหิวเท่าไหร่ ความอยากก็ปรุงแต่ง ใจก็ปรุงแต่งความอยาก ได้เร็ว ได้ไวขึ้น
อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันบอกว่า เอาเยอะๆ (ว่างั้น)
กิเลสมันสั่งงาน บอกว่าเอาเยอะๆ
ถ้าใจมันเกิดกิเลสก็รู้จักดับ รู้จักละ มองซ้าย มองขวา มองบน มองล่าง มองกลางใจของเราอาหารแต่ละชิ้น อาหารแต่ละส่วน อาหารส่วนนี้เป็นยังไง ถ้าเราเอามาก เอาไปแล้วก็ทิ้งเฉยๆคนอื่นจะได้รับประทานข้าวปลาอาหารถัวเฉลี่ยแบ่งปัน นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ ถ้ามันเกิดความอยาก เราไม่เอา แล้วเราดับความอยากให้มันผ่านเลยไปดูซิ มันยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่หรือไม่
ทุกเรื่องในชีวิต ต้องดูให้ได้หมด ตั้งแต่ตื่นขึ้น จนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งถึงเวลา หมดลมหายใจ ชำระสะสางกิเลสให้มันหมดจด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ให้มันหมดจด ยืน เดิน นั่งนอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
การเดินปัญญา การแก้ไข การทำความเข้าใจ การเจริญสติ เราพยายามดำเนินให้ครบหมดตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ทาน ศีล สมาธิ
ทานเป็นอย่างไร ทานเพื่อขัดเกลากิเลส ละกิเลส ออกจากจิตจากใจของเรา ทานในสิ่งที่เรารักมากที่สุดนั่นแหละ จะได้อานิสงส์มากที่สุด เพราะว่าอะไร ยิ่งทานของรักของหวงมากเท่าไหร่ด้วยใจที่เราไม่ยึด ไม่ติด ไม่เป็นทุกข์ ไม่กังวลด้วยนั่นแหละ ใจของเราก็จะเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งเกลียดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์มาก เพราะใจของเราไม่ได้อยู่ในความเป็นกลาง ให้ใจของเราอยู่ในความเป็นกลาง ให้อยู่ในความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากขันธ์ห้า
ก่อนที่จะว่างจากขันธ์ห้าได้ นี่เราต้องเดินปัญญาแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ นี่เราก็ใจเราก็ไม่ว่างจากขันธ์ห้า ถึงเราจะวางได้ ก็วางได้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว เราต้องมาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล สร้างตบะสร้างบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความเสียสละหรือไม่ มีความอดทนหรือไม่ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาปหรือเปล่า เราต้องมาแก้ไขสัจจะ ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจต่อตัวเรามีหรือไม่ เราต้องมาดูตัวเราอยู่ตลอดเวลา มาแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ส่วนมากก็มีแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เรื่องของเราไม่ขัดเกลาสักที ท่านให้แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แล้วก็ทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ได้เท่าไหร่ก็ทำ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
บุญสมมติเราก็ทำ อย่างพากันมาวันนี้ ก็มาสร้างบุญ มาต่อชีวิต มาไถ่ชีวิต ให้ชีวิตของสัตว์ได้ยืนยาวนานขึ้น พวกเราก็เหมือนกัน จิตแต่ละดวงนี้สะอาดบริสุทธิ์มาแต่เดิม ความไม่เข้าใจ จิตถึงได้หลงวน เวียนว่าย ตายเกิด เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ความหลงเนี่ย หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด จนกระทั่งมาเกิดในอยู่ภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า มานั่นขึ้นมาแล้วก็มายึด มายึดติดในกาย ขณะมีกายอยู่ เขาก็ยังเกิดต่ออีก ถ้ากายเนื้อแตกดับ เขาก็ยังไปเกิดตามวิบากกรรมที่เราได้สร้างมาแหละ
ท่านถึงให้ทำความเข้าใจกับเรื่องกรรม กรรมภายใน กรรมภายนอก เรื่องกรรม คือร่างกายของเรานี่แหละ คือก้อนกรรม
ร่างกายของเราคือก้อนกรรม ทั้งกรรมส่วนรูป กรรมส่วนนาม ถ้าเราแยกแยะได้ ทำความเข้าใจได้ ส่วนนามธรรม ทำความเข้าใจได้ ละได้ กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน เขาเรียกว่า ‘อโหสิกรรม’ กรรมใหม่เราก็ไม่ยึด ก็เลยอยู่เหนือกรรม เหนือบุญ เหนือบาป สนุกสร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ พวกเราก็กำลังเดินทาง กำลังสร้างบารมีกัน ไปที่ไหน มาที่ไหน อย่าทิ้งบุญ พยายามหมั่นสร้างบุญเอาไว้ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำ เราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ สูงขึ้นไปเราก็รู้จักการเจริญสติ
สติ การเจริญสติเป็นอย่างไร การวิเคราะห์ใจเป็นอย่างไร การเกิดการดับของใจ ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา เราก็รู้จักละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีกันหมดทุกคน เราจะละได้หมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกต้อง และก็ความเพียรที่ต่อเนื่อง ก็ต้องพยายามกัน
ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ อย่าปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีบุญ ทุกคนมีวาสนากันหมดทุกคน เว้นเสียแต่ว่าเราจะมาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ให้ได้ตลอดหรือไม่
ก็ต้องพยายามกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 ตุลาคม 2563
พยายามเจริญสติเข้าไปชี้เหตุ ชี้ผล แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะรับประทานข้าวปลาอาหารก็ดูด้วย มองซ้าย มองขวา มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา
อะไรมันอยาก แยกความอยาก ความหิว ออกจากกัน กายเราหิว หรือว่าใจเกิดความอยาก
ถ้ากายหิว ก็ให้รับรู้ว่าหิว ใจเกิดความอยาก ก็รู้จักดับ รู้จักหยุด ให้พิจารณา
ยิ่งกายหิวเท่าไหร่ ความอยากก็ปรุงแต่ง ใจก็ปรุงแต่งความอยาก ได้เร็ว ได้ไวขึ้น
อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันบอกว่า เอาเยอะๆ (ว่างั้น)
กิเลสมันสั่งงาน บอกว่าเอาเยอะๆ
ถ้าใจมันเกิดกิเลสก็รู้จักดับ รู้จักละ มองซ้าย มองขวา มองบน มองล่าง มองกลางใจของเราอาหารแต่ละชิ้น อาหารแต่ละส่วน อาหารส่วนนี้เป็นยังไง ถ้าเราเอามาก เอาไปแล้วก็ทิ้งเฉยๆคนอื่นจะได้รับประทานข้าวปลาอาหารถัวเฉลี่ยแบ่งปัน นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ ถ้ามันเกิดความอยาก เราไม่เอา แล้วเราดับความอยากให้มันผ่านเลยไปดูซิ มันยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่หรือไม่
ทุกเรื่องในชีวิต ต้องดูให้ได้หมด ตั้งแต่ตื่นขึ้น จนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งถึงเวลา หมดลมหายใจ ชำระสะสางกิเลสให้มันหมดจด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ให้มันหมดจด ยืน เดิน นั่งนอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
การเดินปัญญา การแก้ไข การทำความเข้าใจ การเจริญสติ เราพยายามดำเนินให้ครบหมดตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ทาน ศีล สมาธิ
ทานเป็นอย่างไร ทานเพื่อขัดเกลากิเลส ละกิเลส ออกจากจิตจากใจของเรา ทานในสิ่งที่เรารักมากที่สุดนั่นแหละ จะได้อานิสงส์มากที่สุด เพราะว่าอะไร ยิ่งทานของรักของหวงมากเท่าไหร่ด้วยใจที่เราไม่ยึด ไม่ติด ไม่เป็นทุกข์ ไม่กังวลด้วยนั่นแหละ ใจของเราก็จะเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งเกลียดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์มาก เพราะใจของเราไม่ได้อยู่ในความเป็นกลาง ให้ใจของเราอยู่ในความเป็นกลาง ให้อยู่ในความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากขันธ์ห้า
ก่อนที่จะว่างจากขันธ์ห้าได้ นี่เราต้องเดินปัญญาแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ นี่เราก็ใจเราก็ไม่ว่างจากขันธ์ห้า ถึงเราจะวางได้ ก็วางได้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว เราต้องมาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล สร้างตบะสร้างบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความเสียสละหรือไม่ มีความอดทนหรือไม่ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาปหรือเปล่า เราต้องมาแก้ไขสัจจะ ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจต่อตัวเรามีหรือไม่ เราต้องมาดูตัวเราอยู่ตลอดเวลา มาแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ส่วนมากก็มีแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เรื่องของเราไม่ขัดเกลาสักที ท่านให้แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แล้วก็ทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ได้เท่าไหร่ก็ทำ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
บุญสมมติเราก็ทำ อย่างพากันมาวันนี้ ก็มาสร้างบุญ มาต่อชีวิต มาไถ่ชีวิต ให้ชีวิตของสัตว์ได้ยืนยาวนานขึ้น พวกเราก็เหมือนกัน จิตแต่ละดวงนี้สะอาดบริสุทธิ์มาแต่เดิม ความไม่เข้าใจ จิตถึงได้หลงวน เวียนว่าย ตายเกิด เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ความหลงเนี่ย หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด จนกระทั่งมาเกิดในอยู่ภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า มานั่นขึ้นมาแล้วก็มายึด มายึดติดในกาย ขณะมีกายอยู่ เขาก็ยังเกิดต่ออีก ถ้ากายเนื้อแตกดับ เขาก็ยังไปเกิดตามวิบากกรรมที่เราได้สร้างมาแหละ
ท่านถึงให้ทำความเข้าใจกับเรื่องกรรม กรรมภายใน กรรมภายนอก เรื่องกรรม คือร่างกายของเรานี่แหละ คือก้อนกรรม
ร่างกายของเราคือก้อนกรรม ทั้งกรรมส่วนรูป กรรมส่วนนาม ถ้าเราแยกแยะได้ ทำความเข้าใจได้ ส่วนนามธรรม ทำความเข้าใจได้ ละได้ กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน เขาเรียกว่า ‘อโหสิกรรม’ กรรมใหม่เราก็ไม่ยึด ก็เลยอยู่เหนือกรรม เหนือบุญ เหนือบาป สนุกสร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ พวกเราก็กำลังเดินทาง กำลังสร้างบารมีกัน ไปที่ไหน มาที่ไหน อย่าทิ้งบุญ พยายามหมั่นสร้างบุญเอาไว้ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำ เราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ สูงขึ้นไปเราก็รู้จักการเจริญสติ
สติ การเจริญสติเป็นอย่างไร การวิเคราะห์ใจเป็นอย่างไร การเกิดการดับของใจ ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา เราก็รู้จักละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีกันหมดทุกคน เราจะละได้หมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกต้อง และก็ความเพียรที่ต่อเนื่อง ก็ต้องพยายามกัน
ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ อย่าปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีบุญ ทุกคนมีวาสนากันหมดทุกคน เว้นเสียแต่ว่าเราจะมาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ให้ได้ตลอดหรือไม่
ก็ต้องพยายามกันนะ