หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 17 วันที่ 16 มีนาคม 2563 (1/2)

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 17 วันที่ 16 มีนาคม 2563 (1/2)
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 17 วันที่ 16 มีนาคม 2563 (1/2)
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 17
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 16 มีนาคม 2563 (1/2)

มีความสุขกันทุกคน พระเรา ชีเรา ดูดีๆ นะ พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ พิจารณาดูรู้ ความอยากเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไร เราต้องแยกความอยากความหิวออกจากกัน

แล้วก็รู้การควบคุม ควบคุมใจ ใจเกิดความอยาก เราก็ดับความอยาก กะประมาทในการขบฉันของเรา ยิ่งฝึกใหม่ๆ นี้จะเห็นความอยากเยอะ เพราะว่ากายหิว เราเคยรับประทานข้าวปลาอาหารมาหลายมื้อ แล้วก็มาลดลงมื้อเดียว สองมื้อ ความหิวจะเกิดขึ้นที่กายมากทีเดียว แล้วก็ใจก็จะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว อันนู้นก็จะเอา อันนี้ก็อร่อย อันนี้ก็ของชอบ ยิ่งอาหารเยอะๆใจมันก็เกิดความอยาก เราก็พยายามรีบดับความอยาก ความเกิดความอยากนั่นแหละ ถ้าดับไม่ได้ก็นั่งดู จนกระทั่งให้ดับเอง ถึงค่อยเอา

ใจอยากอะไร เราให้ผ่านเลยไป พอผ่านเลยไปแล้ว ใจยังอาลัยอาวรณ์อยู่หรือไม่ เราก็ต้องดูอีกมองซ้าย มองขวา มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น ใจปกติจะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำธุระปะปัง ทำกับข้าวกับปลา สติปัญญาเป็นผู้บริหารกาย ใจรับรู้ แต่ในเวลานี้ใจของเราทั้งเป็นผู้บงการ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด สารพัดอย่าง แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราหลงหรอก ตราบใดที่เจริญสติแยกแยะได้ คลายได้ ถึงจะรู้ว่าเราหลง เราต้องมาวิเคราะห์ สำรวจดูให้รู้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย

ความอยากนี่จะเห็นได้ชัดเจน ถ้าเราอดอาหารมื้อ สองมื้อ วันสองวัน สามวันนี่จะเห็นความอยากนี่ปรุงแต่งได้เร็วได้ไว พอความอยากหายไปแล้ว เราถึงรู้ว่ากิเลสมันเล่นงานเรา เราพลั้งเผลอให้กิเลส ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำความเข้าใจทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ว่าเราจะไปฝึกปฏิบัติที่โน่นที่นี่ เวลาโน้นเวลานี้ อันนั้นยังเป็นแค่เพียงรูปแบบ กิเลสไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา เวลาสำคัญก็ช่วงเวลานี้แหละ เราดูรู้ให้ละเอียด ตากระทบรูป หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน หลวงพ่อจะชอบพูดเวลาอย่างนี้แหละ เพราะว่าจะเห็นได้ชัดเจน..เห็นได้ชัดเจน ถ้าพิจารณาทัน รู้ทันก็ทัน รู้ไม่ทันก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้รับประโยชน์อะไร

บุญอานิสงส์แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความอดทน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย การกระทำของเรายังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ให้มากมาย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา งานสมมติเราก็ทำหน้าที่ของเรา อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นกุศล เราก็พยายามรีบทำ รีบทำรีบสร้าง บุญมากบุญน้อย บุญใกล้บุญไกล บุญประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เราก็รู้จักวิเคราะห์

บุคคลที่มีบุญ มีปัญญา ย่อมจะมองเห็นอานิสงส์แห่งบุญ ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง การฝักใฝ่ การสนใจ การสำรวจ การวิเคราะห์ การสังเกต จากข้างในไปสู่ข้างนอก หรือว่าจากภายนอกน้อมเข้าไปสู่ภายใน มีเรื่องเดียวนี่แหละที่มนุษย์จะต้องศึกษาให้รู้ความเป็นจริง แต่ส่วนมากก็พากันห่างเหิน ไม่ค่อยจะสนใจ ไม่ค่อยจะพิจารณา ไม่ค่อยจะน้อมเข้าไปดู รู้ทันของใจตัวเอง ส่วนมากก็คิดได้แต่เรื่องภายนอกมาทับทมดวงใจของเราโดยไม่รู้ตัว ถ้าวิเคราะห์ดูดีๆ แล้ว มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็ต้องมาดู รู้ สำรวจใจของเรา แต่ละวันๆ

รู้สึกว่าวันเดือนปีผ่านไปเร็วไว จะใกล้เข้าสู่สงกรานต์แล้ว ทั่วโลกก็เกิดเหตุการณ์วิปริต เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ที่พวกเราได้ยินข่าวกันคือโรคอะไร โรคโควิด โรคอะไร โรคระบาด หลายประเทศ เราก็ระวัง ระวังรู้จักแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ถ้าไม่มีวิบากกรรมต่อกัน หันหลังพิงกันอยู่ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีวิบากกรรมต่อกัน อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ต้องได้เจอ ให้มองเห็น แล้วก็รู้จักแก้ไขด้วยปัญญา เราก็ต้องพยายามระวัง ถ้ารักษาไม่ได้มันก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรม

กรรมก็… กายกรรม วจีกรรม แล้วก็ที่ลำบากที่สุดก็คือมโนกรรม คือกรรมที่เกิดจากใจ ถ้าใจเราดับความเกิดไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ ก็ขอให้เป็นกรรมดี ก็ขอให้เป็นกุศลกรรม สูงขึ้นไปก็ละหมด..ละหมด..ทุกอย่าง สร้างกรรมดีไม่ยึดติด ละอกุศล เจริญกุศล ช่วยยังประโยชน์แต่ไม่ยึดติด เราก็ได้ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราไม่หวัง เราดูแลให้น้ำให้ฝุ่นให้ปุ๋ยให้ดีๆ เราไม่หวังอยากจะให้เติบโต อยากจะได้ผล แต่การดูแลรักษาของเรามี การเจริญเติบโต การออกดอกออกผลในวันข้างหน้าเขาก็ต้องมี เราไม่อยากจะได้ เราก็ได้ เพราะการกระทำของเรามี

การอบรมใจก็เหมือนกัน การขัดเกลากิเลส การละกิเลส การดับความเกิด การวิเคราะห์ การทำความเข้าใจ ใจก็จะคลายกิเลสออกกลับคืนสู่สภาพเดิมคือธรรมชาติที่บริสุทธิ์ แต่เวลานี้เขาหาเหตุการณ์ต่างๆ มาปกคลุมความบริสุทธิ์เอาไว้ แม้แต่ความเกิด หรือว่าความคิด เกิดทางกายเนื้อ ของพวกมนุษย์นี่ก็ปิดกั้นเอาไว้ เกิดทางด้านจิตวิญญาณ เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ เกิดทางด้านขันธ์ห้า เขาก็หลงเข้าไปยึดอีก

ถ้าเรามาเจริญสติแยกแยะได้ ตามดูรู้ความเป็นจริง เราถึงจะรู้เรื่องของชีวิตที่แท้จริง ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่สร้างบารมี สร้างบารมีมาดี สร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมี แล้วก็รู้จักเจริญสติ รู้ความเป็นจริง คอยขัดเกลาเอาออก รู้จักอบรมกายของตัวเอง อบรมวาจาของตัวเรา แล้วก็อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา

เจริญสติเป็นเพื่อนใจ แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่ใจเป็นตัวบงการกับกิเลส กิเลสใช้งานเราอยู่ตลอดเวลาเราไม่รู้ตัว เรามาพลิกปัญญา ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์

กายของเรานี่แหละก้อนกิเลส เราก็ต้องดูดีๆ การสร้างบุญสร้างบารมี ทำบุญให้ทานตรงนี้ก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การวิเคราะห์เห็นการเกิด การดับ การแยก การคลาย ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ อาจจะรู้ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว อาจจะควบคุมใจของเราได้เป็นบางเรื่อง บางครั้งบางคราวแต่จะเดินให้ทะลุปรุโปร่งทุกเรื่องตรงนี้ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีสัจจะกับตัวเรามีความจริงกับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี เรามาทำสมมติให้เป็นกุศล ให้เป็นบุญช่วยกัน

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง