หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 95 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 95 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 95
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2563
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาพวกเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ถ้าเรารู้จักวิธีการแนวทาง เราก็พยายามเจริญสติตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา ให้รู้เท่าทันใจของเรา รู้เห็นการเกิดการดับ รู้ลักษณะอาการของใจ รู้จักลักษณะอาการของความคิดของอารมณ์ รู้จักสังเกตวิเคราะห์ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร
เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้ และก็เอาไปใช้การใช้งานให้ได้ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปะละเลย ไปนึกไปคิด ไปอ่าน ไปฟัง อันนั้นเป็นเพียงแค่แผนที่ เราต้องหัดสังเกตใจของเรา
แต่ละวันๆ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความหนักแน่น ใจของเราเป็นบุญเป็นกุศลหรือไม่ ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส พิจารณาอยู่บ่อยๆ
พิจารณา รู้ด้วย เห็นด้วย เห็นความเกิดความดับ เห็นไตรลักษณ์นั่นแหละ เห็นที่ท่านเรียกว่า‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในกายของเรา หรือว่าแยกรูปแยกนาม เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อ เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปศึกษา เข้าไปวิเคราะห์เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตามความเป็นจริง การเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการส่งของใจออกไปภายนอก
อริยสัจสี่ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ และก็เอามาจำแนกแจกแจงเอามาเปิดเผย อัตตา อนัตตาเป็นอย่างไร สมมติ วิมุตติ เป็นอย่างไร กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร มีอยู่ในกายของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะวิเคราะห์พิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริงหรือไม่
อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันประมาท ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายมีได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปะละเลย ศรัทธาความเชื่อ เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ตรงนี้มีกันทุกคน ฝักใฝ่ในการทำบุญตรงมีกันทุกคน แต่การเจริญสติเอาสติปัญญาไปใช้จนรู้จักลักษณะของใจ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ขันธ์ห้ากับใจเขารวมกันได้อย่างไรตรงนี้แหละสำคัญ
ถ้าแยกไม่ได้ก็ยังหลงอยู่ เราก็ว่าเราไม่หลงหรอก แต่ทางสมมติเราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ แต่ถ้ายังแยกไม่ได้นี่ยังหลง ถ้าเราสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติไม่ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติ ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง เราก็จะมองเห็นตั้งแต่ผ่านมาความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง ก็อาจจะควบคุมใจของเราได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่ก็ต้องพยายามให้รู้ได้ทุกอิริยาบถ
ที่ท่านบอกว่าทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก สติของเราไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ จนรู้เท่ารู้ทัน ตามทำความเข้าใจได้ จากสติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ รอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในใจในวิญญาณในกายของเรา รอบรู้ในอริยสัจ รอบรู้ในเรื่องสมมติในเรื่องวิมุตติ รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เพราะว่ากาลเวลานี้เปลี่ยนแปลง อายุขัยในโลกมนุษย์นี่มีไม่เยอะหรอก มีน้อยๆ ให้เราเร่งทำความเพียร ความป่วยความเจ็บความตายมาเยือนได้ตลอดเวลา หลวงพ่อก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับพวกท่านไปได้นานอีกเท่าไหร่ เพราะว่าสภาพร่างกายเขาก็มาเยือน ความเจ็บ ความป่วย ความแก่ก็มาเยือน ความชราคร่ำคร่า ไม่ใช่ขาลงนะเป็นขาร่วงๆ ไม่อย่างงั้นไม่ได้เข้าโรงพยาบาลหลายเที่ยว ก็เยียวยาเขาไป รักษาเขาไป จนกว่าจะหมดวาระจริงๆ ถ้ายังไม่หมดวาระก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เท่าที่กำลังกายจะเอื้ออำนวยให้
ส่วนไอ้ทางโลงศพผู้วายชนม์ก็มารับเอาโลงอยู่ทุกวัน วันละสองวันละสาม ญาติโยมท่านใดปรารถนาอยากจะร่วมทำโลงก็มาได้ ให้กับคนตาย ผ้าขาว..ผ้าขาวก็ร่อยหรอเหลืออยู่ไม่เยอะ ที่จะให้กับศพคนตาย ทั้งดอกไม้ธูปเทียน ทั้งผ้าไตรจีวร ทั้งเงินช่วยทำศพให้อีก ศพละห้าพัน ก็เห็นเห็นที่มารับไปก็ประมาณสองพันห้าหรือสองพันหกเนี่ย ที่มารับเอาโลงไป นั่นแหละความตายก็พวกเราก็มองเห็นอยู่ทุกวัน ก็ใกล้ตัวของเราเข้ามาทุกวัน
เราก็ต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง มันเป็นอยู่อย่างงั้น ทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ขณะที่ยังไม่ถึงเวลา ทำอย่างไรถึงจะเกิดประโยชน์ ทำอย่างไรถึงจะเกิดบุญในกายก้อนนี้
เราก็พยายามรีบเร่ง อย่าพากันเกียจคร้าน อะไรที่จะเป็นบุญ บุญใกล้บุญไกล บุญมากบุญน้อยให้เราพยายามทำ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อ ไม่ต้องได้ลำบาก มีอะไรก็ให้ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีการกระทำมีการช่วยเหลือ เราอยากจะได้อยู่ดีมีความสุข การกระทำของเรามี อานิสงส์ก็ออกมาดี
หลวงพ่อก็ขอขอบคุณทุกๆ คน ที่ได้มาร่วมกัน ทั้งพระทั้งชีทั้งญาติทั้งโยม มาร่วมกันช่วย มาร่วมกันทำ กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ แม้แต่ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย นี่พวกขยะต่างๆ ก็ช่วยกัน อย่าไปงอมืองอเท้า เห็นอะไรไม่ดีเราก็ช่วยกันทำ เดินไปเห็นเศษขยะเศษกระดาษเราก็ช่วยกัน ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย เราก็ได้บุญ ได้ประโยชน์อยู่ตลอดเวลา นี่แหละการกระทำ การปฏิบัติ คือปฏิบัติธรรมไม่รู้จักทำ ก็ไม่เข้าถึงธรรม การเจริญสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่เจริญ
เราต้องรอบรู้ รอบรู้ทั้งภายใน รอบรู้ภายนอก วาง..รู้จักจุดปล่อยจุดวาง เราก็มีตั้งแต่ความสุขไปที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นบุคคลที่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เขาเรียกว่า ‘เป็นบุคคลที่ไม่ประมาท’
แล้วก็ทำความเข้าใจคำว่า ‘ศีล’ ความปกติระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ ศีล สมาธิใจที่สงบ สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากการเกิด สงบด้วยการข่มเอาไว้ หรือสงบด้วยสติด้วยปัญญาด้วยการแยกแยะพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริง เราก็ต้องพยายามทำ รู้แล้ว เห็นแล้ว ทำความเข้าใจได้แล้ว สอนตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นเขาสอนหรอก เรานั่นแหละสอนตัวเรา ถ้าไปเที่ยวให้คนโน้นคนนี้เขาสอน มันก็ไปไม่ถึงไหนหรอก
เรารู้จักวิธีการแนวทาง เราก็รีบทำ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ความพลั้งเผลอเป็นอย่างนี้ การดับเป็นอย่างนี้ การละเป็นอย่างนี้ ใจของเรามีความแข็งกร้าวเราจะละอย่างไร ใจของเรามีกิเลสเราจะละอย่างไร นี่เราก็ต้องหาวิธีการหาแนวทางอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่ายอันนี้เป็นก็เพียงอิริยาบถ เราก็ต้องพยายามดูทั้งพระทั้งชีนั่นแหละ ก็ต้องขยันหมั่นเพียรกันนะ
เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบคุณ อยู่ทุกๆ คน ก็ขอให้เจริญธรรม
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2563
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาพวกเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ถ้าเรารู้จักวิธีการแนวทาง เราก็พยายามเจริญสติตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา ให้รู้เท่าทันใจของเรา รู้เห็นการเกิดการดับ รู้ลักษณะอาการของใจ รู้จักลักษณะอาการของความคิดของอารมณ์ รู้จักสังเกตวิเคราะห์ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร
เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้ และก็เอาไปใช้การใช้งานให้ได้ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปะละเลย ไปนึกไปคิด ไปอ่าน ไปฟัง อันนั้นเป็นเพียงแค่แผนที่ เราต้องหัดสังเกตใจของเรา
แต่ละวันๆ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความหนักแน่น ใจของเราเป็นบุญเป็นกุศลหรือไม่ ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส พิจารณาอยู่บ่อยๆ
พิจารณา รู้ด้วย เห็นด้วย เห็นความเกิดความดับ เห็นไตรลักษณ์นั่นแหละ เห็นที่ท่านเรียกว่า‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในกายของเรา หรือว่าแยกรูปแยกนาม เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อ เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปศึกษา เข้าไปวิเคราะห์เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตามความเป็นจริง การเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการส่งของใจออกไปภายนอก
อริยสัจสี่ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ และก็เอามาจำแนกแจกแจงเอามาเปิดเผย อัตตา อนัตตาเป็นอย่างไร สมมติ วิมุตติ เป็นอย่างไร กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร มีอยู่ในกายของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะวิเคราะห์พิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริงหรือไม่
อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันประมาท ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายมีได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปะละเลย ศรัทธาความเชื่อ เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ตรงนี้มีกันทุกคน ฝักใฝ่ในการทำบุญตรงมีกันทุกคน แต่การเจริญสติเอาสติปัญญาไปใช้จนรู้จักลักษณะของใจ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ขันธ์ห้ากับใจเขารวมกันได้อย่างไรตรงนี้แหละสำคัญ
ถ้าแยกไม่ได้ก็ยังหลงอยู่ เราก็ว่าเราไม่หลงหรอก แต่ทางสมมติเราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ แต่ถ้ายังแยกไม่ได้นี่ยังหลง ถ้าเราสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติไม่ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติ ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง เราก็จะมองเห็นตั้งแต่ผ่านมาความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง ก็อาจจะควบคุมใจของเราได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่ก็ต้องพยายามให้รู้ได้ทุกอิริยาบถ
ที่ท่านบอกว่าทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก สติของเราไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ จนรู้เท่ารู้ทัน ตามทำความเข้าใจได้ จากสติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ รอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในใจในวิญญาณในกายของเรา รอบรู้ในอริยสัจ รอบรู้ในเรื่องสมมติในเรื่องวิมุตติ รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เพราะว่ากาลเวลานี้เปลี่ยนแปลง อายุขัยในโลกมนุษย์นี่มีไม่เยอะหรอก มีน้อยๆ ให้เราเร่งทำความเพียร ความป่วยความเจ็บความตายมาเยือนได้ตลอดเวลา หลวงพ่อก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับพวกท่านไปได้นานอีกเท่าไหร่ เพราะว่าสภาพร่างกายเขาก็มาเยือน ความเจ็บ ความป่วย ความแก่ก็มาเยือน ความชราคร่ำคร่า ไม่ใช่ขาลงนะเป็นขาร่วงๆ ไม่อย่างงั้นไม่ได้เข้าโรงพยาบาลหลายเที่ยว ก็เยียวยาเขาไป รักษาเขาไป จนกว่าจะหมดวาระจริงๆ ถ้ายังไม่หมดวาระก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เท่าที่กำลังกายจะเอื้ออำนวยให้
ส่วนไอ้ทางโลงศพผู้วายชนม์ก็มารับเอาโลงอยู่ทุกวัน วันละสองวันละสาม ญาติโยมท่านใดปรารถนาอยากจะร่วมทำโลงก็มาได้ ให้กับคนตาย ผ้าขาว..ผ้าขาวก็ร่อยหรอเหลืออยู่ไม่เยอะ ที่จะให้กับศพคนตาย ทั้งดอกไม้ธูปเทียน ทั้งผ้าไตรจีวร ทั้งเงินช่วยทำศพให้อีก ศพละห้าพัน ก็เห็นเห็นที่มารับไปก็ประมาณสองพันห้าหรือสองพันหกเนี่ย ที่มารับเอาโลงไป นั่นแหละความตายก็พวกเราก็มองเห็นอยู่ทุกวัน ก็ใกล้ตัวของเราเข้ามาทุกวัน
เราก็ต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง มันเป็นอยู่อย่างงั้น ทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ขณะที่ยังไม่ถึงเวลา ทำอย่างไรถึงจะเกิดประโยชน์ ทำอย่างไรถึงจะเกิดบุญในกายก้อนนี้
เราก็พยายามรีบเร่ง อย่าพากันเกียจคร้าน อะไรที่จะเป็นบุญ บุญใกล้บุญไกล บุญมากบุญน้อยให้เราพยายามทำ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อ ไม่ต้องได้ลำบาก มีอะไรก็ให้ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีการกระทำมีการช่วยเหลือ เราอยากจะได้อยู่ดีมีความสุข การกระทำของเรามี อานิสงส์ก็ออกมาดี
หลวงพ่อก็ขอขอบคุณทุกๆ คน ที่ได้มาร่วมกัน ทั้งพระทั้งชีทั้งญาติทั้งโยม มาร่วมกันช่วย มาร่วมกันทำ กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ แม้แต่ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย นี่พวกขยะต่างๆ ก็ช่วยกัน อย่าไปงอมืองอเท้า เห็นอะไรไม่ดีเราก็ช่วยกันทำ เดินไปเห็นเศษขยะเศษกระดาษเราก็ช่วยกัน ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย เราก็ได้บุญ ได้ประโยชน์อยู่ตลอดเวลา นี่แหละการกระทำ การปฏิบัติ คือปฏิบัติธรรมไม่รู้จักทำ ก็ไม่เข้าถึงธรรม การเจริญสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่เจริญ
เราต้องรอบรู้ รอบรู้ทั้งภายใน รอบรู้ภายนอก วาง..รู้จักจุดปล่อยจุดวาง เราก็มีตั้งแต่ความสุขไปที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นบุคคลที่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เขาเรียกว่า ‘เป็นบุคคลที่ไม่ประมาท’
แล้วก็ทำความเข้าใจคำว่า ‘ศีล’ ความปกติระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ ศีล สมาธิใจที่สงบ สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากการเกิด สงบด้วยการข่มเอาไว้ หรือสงบด้วยสติด้วยปัญญาด้วยการแยกแยะพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริง เราก็ต้องพยายามทำ รู้แล้ว เห็นแล้ว ทำความเข้าใจได้แล้ว สอนตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นเขาสอนหรอก เรานั่นแหละสอนตัวเรา ถ้าไปเที่ยวให้คนโน้นคนนี้เขาสอน มันก็ไปไม่ถึงไหนหรอก
เรารู้จักวิธีการแนวทาง เราก็รีบทำ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ความพลั้งเผลอเป็นอย่างนี้ การดับเป็นอย่างนี้ การละเป็นอย่างนี้ ใจของเรามีความแข็งกร้าวเราจะละอย่างไร ใจของเรามีกิเลสเราจะละอย่างไร นี่เราก็ต้องหาวิธีการหาแนวทางอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่ายอันนี้เป็นก็เพียงอิริยาบถ เราก็ต้องพยายามดูทั้งพระทั้งชีนั่นแหละ ก็ต้องขยันหมั่นเพียรกันนะ
เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบคุณ อยู่ทุกๆ คน ก็ขอให้เจริญธรรม