หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 94 วันที่ 8 พฤศจิกายน 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 94 วันที่ 8 พฤศจิกายน 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 94
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้น เราได้สร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามทำ พยายามเริ่ม พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ เพียงแค่การทำ การเจริญ ให้มีให้เกิดขึ้น ตรงนี้ก็ยังยากกันอยู่ ยังทำได้ยากกันอยู่
แต่ส่วนศรัทธา ความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม ตรงนี้มีอยู่ แต่การเจริญสติที่จะเข้าถึง เข้าไปอบรมใจของเรา อาจจะมีเป็นบางช่วง เป็นบางครั้งบางคราว โดนความคิดเก่า ปัญญาเก่า ปัญญาโลก ปัญญาโลกีย์ปิดกั้นเอาไว้หมด อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่
ตราบใดที่ยังเจริญสติไม่ต่อเนื่อง รู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนามแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่นั่นแหละ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ถึงจะปรากฏขึ้น เพียงแค่เริ่มต้น เห็นถูก เริ่มต้น ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับ ว่าความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไรอาการ หน้าตาอาการเป็นอย่างไร เป็นกุศลหรือว่ากุศล ใจเข้าไปรวมได้อย่างไร จนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร ถ้าคลายได้เมื่อไหร่ แยกได้เมื่อไหร่ เราถึงจะมองเห็นหนทาง เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในกายของเราเป็นอย่างไร เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มีความเพียร มีการสังเกต มีการวิเคราะห์ มีการขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เป็นอย่างไรความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความหลง คำว่า 'ความหลง' ความหลง ใจของเราหลงได้อย่างไร ใจของเราไปยึดมั่นถือมั่นจนเป็นสิ่งเดียว จนเกิดอัตตาตัวตน แล้วก็เกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความเกิด นั่นล่ะกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าใจไม่เกิดก็ไม่หลง
แต่เวลานี้ เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์คือร่างกายของเรานี้แหละ ท่านถึงให้เจริญสติลงเข้าไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทัน ก็รู้จักหยุด รู้จักดับ ทุกเรื่องในร่างกายของเรา ในชีวิตของเรา จนกว่าจะหมดลมหายใจ เราต้องรู้เรื่องชีวิตของเราให้ได้รู้เรื่องการดำเนินชีวิตของเราให้ได้ กายเนื้อแตกดับ ใจของเราจะไปไหนอีก ตราบใดที่ใจยังเกิด ไม่ใช่ว่าตายแล้วสูญสูญเฉพาะร่างกาย แต่วิญญาณไม่สูญ วิญญาณยังอยู่ เราก็ต้องพยายาม ดู แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ขัดเกลากิเลสออก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความเห็นแก่ตัว ความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ
หลวงพ่อก็เล่าเรื่องเก่านี่แหละ มาตั้งแต่เริ่มออกบวชนั่นแหละ เล่าเรื่องนี้แหละ เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ ที่จะให้ทุกคนได้ดำเนินชีวิตได้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ถ้าเราเข้าใจจิตวิญญาณในกายของเราแล้ว เราก็เข้าใจหมดนั่นแหละ รู้เรื่องจิตวิญญาณแล้วก็รู้เรื่องหมด ไม่ต้องไปรู้เรื่องอะไรมากมาย รู้เรื่องใจของเรา ดับทุกข์ที่ใจของเรา
อะไรคือทุกข์ อะไรคือการดับทุกข์ หาหนทางดับทุกข์ให้มันได้ ใช้ตัวเองให้มันเป็น บอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็หนักตัวเรา กายก็หนักใจก็หนัก หนักสถานที่ หนักคนอื่น เราต้องพยายามให้รอบรู้ รอบรู้ในกองสังขารในร่างกายของเรา รอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
อยากรู้ธรรม ไม่เข้าใจในธรรม เจริญสติไม่รู้จักเอาสติไปใช้ ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม อะไรคือธรรม ส่วนมากก็ปฏิบัติด้วยความหลง อาจจะหลงอยู่ในธรรมนั่นแหละ หลงอยู่ในคุณงามความดี หลงอยู่ ก็ยังดี ดีกว่าใจของเราตกไปสู่ในทางที่ลำบาก ให้ยึดติดในบุญเอาไว้ สูงขึ้นไปก็ทำบุญ ไม่ยึดติดในบุญ ปล่อยวางหมด เราก็จะอยู่กับบุญ ใจก็เป็นบุญกายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ
เราพยายามทำ อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีโอกาสหมดลมหายใจได้ตลอดเวลา เห็นไหมตาอ้วนที่มาวัดทุกวันๆๆ ท่านก็ไปจากแล้ว ถึงวาระเวลา ไปทีละคนสองคน พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ไป ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราจงพยายามมองหาความเป็นจริงในกายของเราให้เจอ เห็นความไม่เที่ยง เห็นร่างกายไม่เที่ยง เห็นขันธ์ห้าไม่เที่ยง เห็นจิตวิญญาณไม่เที่ยง
ถ้าจิตนิ่ง จิตปล่อยวาง ละความเกิด ดับกิเลสได้หมด จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง ไม่ต้องไปหาที่ไหน หาลงที่กายที่ใจของเรา แต่ละวัน ความคิดมันเกิดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เช้ามาไม่รู้กี่เรื่อง กิเลสมันเล่นงานเราไม่รู้ตั้งกี่เที่ยว ถ้าเรารู้สาเหตุต้นเหตุ ปลายเหตุ เราก็จะรู้จักจุดปล่อยจุดวางได้ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง
ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็มีความรักสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกัน อยู่คนละทิศละที่ละทาง ก็มาอยู่ร่วมกัน เราก็เคยร่วมบุญร่วมกันนั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน พยายามแก้ไขตัวเรา ทุกคนก็ปรารถนาหาหนทางดับทุกข์ เดินให้มันถึงจุดหมาย ถึงช้าถึงเร็วก็พยายามเดิน ค่อยประคับประคองกาย ประคับประคองใจของเราไป จนกว่าจะถึงจุดหมาย
ส่วนงานสมมติ งานความเป็นอยู่ภายนอกมีอะไรเราก็ช่วยกัน ช่วยกันดูแลความสะอาด ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ทำหน้าที่ของเรา อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน ที่ได้มาอยู่ร่วมกัน ยังสมมติของเราให้น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่ความเกียจคร้าน งอมืองอเท้า อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม อยากจะได้แต่ความสุข มีแต่ความเกียจคร้าน มันก็ไม่ได้อะไร มันก็ได้ตั้งแต่ความเกียจคร้านนั่นแหละ ได้ตั้งแต่กิเลสสะสมหมักหมมอยู่งั้นแหละ
เราจงเป็นบุคคลที่ตื่น ที่มีความสุขอยู่ตลอดทั้งสมมติทั้งวิมุตติ จนกว่าจะหมดลมหายใจ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยง ให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึงก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้น เราได้สร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามทำ พยายามเริ่ม พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ เพียงแค่การทำ การเจริญ ให้มีให้เกิดขึ้น ตรงนี้ก็ยังยากกันอยู่ ยังทำได้ยากกันอยู่
แต่ส่วนศรัทธา ความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม ตรงนี้มีอยู่ แต่การเจริญสติที่จะเข้าถึง เข้าไปอบรมใจของเรา อาจจะมีเป็นบางช่วง เป็นบางครั้งบางคราว โดนความคิดเก่า ปัญญาเก่า ปัญญาโลก ปัญญาโลกีย์ปิดกั้นเอาไว้หมด อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่
ตราบใดที่ยังเจริญสติไม่ต่อเนื่อง รู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนามแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่นั่นแหละ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ถึงจะปรากฏขึ้น เพียงแค่เริ่มต้น เห็นถูก เริ่มต้น ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับ ว่าความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไรอาการ หน้าตาอาการเป็นอย่างไร เป็นกุศลหรือว่ากุศล ใจเข้าไปรวมได้อย่างไร จนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร ถ้าคลายได้เมื่อไหร่ แยกได้เมื่อไหร่ เราถึงจะมองเห็นหนทาง เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในกายของเราเป็นอย่างไร เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มีความเพียร มีการสังเกต มีการวิเคราะห์ มีการขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เป็นอย่างไรความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความหลง คำว่า 'ความหลง' ความหลง ใจของเราหลงได้อย่างไร ใจของเราไปยึดมั่นถือมั่นจนเป็นสิ่งเดียว จนเกิดอัตตาตัวตน แล้วก็เกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความเกิด นั่นล่ะกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าใจไม่เกิดก็ไม่หลง
แต่เวลานี้ เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์คือร่างกายของเรานี้แหละ ท่านถึงให้เจริญสติลงเข้าไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทัน ก็รู้จักหยุด รู้จักดับ ทุกเรื่องในร่างกายของเรา ในชีวิตของเรา จนกว่าจะหมดลมหายใจ เราต้องรู้เรื่องชีวิตของเราให้ได้รู้เรื่องการดำเนินชีวิตของเราให้ได้ กายเนื้อแตกดับ ใจของเราจะไปไหนอีก ตราบใดที่ใจยังเกิด ไม่ใช่ว่าตายแล้วสูญสูญเฉพาะร่างกาย แต่วิญญาณไม่สูญ วิญญาณยังอยู่ เราก็ต้องพยายาม ดู แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ขัดเกลากิเลสออก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความเห็นแก่ตัว ความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ
หลวงพ่อก็เล่าเรื่องเก่านี่แหละ มาตั้งแต่เริ่มออกบวชนั่นแหละ เล่าเรื่องนี้แหละ เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ ที่จะให้ทุกคนได้ดำเนินชีวิตได้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ถ้าเราเข้าใจจิตวิญญาณในกายของเราแล้ว เราก็เข้าใจหมดนั่นแหละ รู้เรื่องจิตวิญญาณแล้วก็รู้เรื่องหมด ไม่ต้องไปรู้เรื่องอะไรมากมาย รู้เรื่องใจของเรา ดับทุกข์ที่ใจของเรา
อะไรคือทุกข์ อะไรคือการดับทุกข์ หาหนทางดับทุกข์ให้มันได้ ใช้ตัวเองให้มันเป็น บอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็หนักตัวเรา กายก็หนักใจก็หนัก หนักสถานที่ หนักคนอื่น เราต้องพยายามให้รอบรู้ รอบรู้ในกองสังขารในร่างกายของเรา รอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
อยากรู้ธรรม ไม่เข้าใจในธรรม เจริญสติไม่รู้จักเอาสติไปใช้ ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม อะไรคือธรรม ส่วนมากก็ปฏิบัติด้วยความหลง อาจจะหลงอยู่ในธรรมนั่นแหละ หลงอยู่ในคุณงามความดี หลงอยู่ ก็ยังดี ดีกว่าใจของเราตกไปสู่ในทางที่ลำบาก ให้ยึดติดในบุญเอาไว้ สูงขึ้นไปก็ทำบุญ ไม่ยึดติดในบุญ ปล่อยวางหมด เราก็จะอยู่กับบุญ ใจก็เป็นบุญกายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ
เราพยายามทำ อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีโอกาสหมดลมหายใจได้ตลอดเวลา เห็นไหมตาอ้วนที่มาวัดทุกวันๆๆ ท่านก็ไปจากแล้ว ถึงวาระเวลา ไปทีละคนสองคน พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ไป ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราจงพยายามมองหาความเป็นจริงในกายของเราให้เจอ เห็นความไม่เที่ยง เห็นร่างกายไม่เที่ยง เห็นขันธ์ห้าไม่เที่ยง เห็นจิตวิญญาณไม่เที่ยง
ถ้าจิตนิ่ง จิตปล่อยวาง ละความเกิด ดับกิเลสได้หมด จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง ไม่ต้องไปหาที่ไหน หาลงที่กายที่ใจของเรา แต่ละวัน ความคิดมันเกิดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เช้ามาไม่รู้กี่เรื่อง กิเลสมันเล่นงานเราไม่รู้ตั้งกี่เที่ยว ถ้าเรารู้สาเหตุต้นเหตุ ปลายเหตุ เราก็จะรู้จักจุดปล่อยจุดวางได้ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง
ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็มีความรักสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกัน อยู่คนละทิศละที่ละทาง ก็มาอยู่ร่วมกัน เราก็เคยร่วมบุญร่วมกันนั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน พยายามแก้ไขตัวเรา ทุกคนก็ปรารถนาหาหนทางดับทุกข์ เดินให้มันถึงจุดหมาย ถึงช้าถึงเร็วก็พยายามเดิน ค่อยประคับประคองกาย ประคับประคองใจของเราไป จนกว่าจะถึงจุดหมาย
ส่วนงานสมมติ งานความเป็นอยู่ภายนอกมีอะไรเราก็ช่วยกัน ช่วยกันดูแลความสะอาด ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ทำหน้าที่ของเรา อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน ที่ได้มาอยู่ร่วมกัน ยังสมมติของเราให้น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่ความเกียจคร้าน งอมืองอเท้า อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม อยากจะได้แต่ความสุข มีแต่ความเกียจคร้าน มันก็ไม่ได้อะไร มันก็ได้ตั้งแต่ความเกียจคร้านนั่นแหละ ได้ตั้งแต่กิเลสสะสมหมักหมมอยู่งั้นแหละ
เราจงเป็นบุคคลที่ตื่น ที่มีความสุขอยู่ตลอดทั้งสมมติทั้งวิมุตติ จนกว่าจะหมดลมหายใจ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยง ให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึงก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ