หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 16 วันที่ 15 มีนาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 16 วันที่ 15 มีนาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 16
พระธรรมเทศนนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มีนาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ รู้ว่าสร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่จนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ พวกท่านได้สร้างความรู้ตัวและทำความเข้าใจ กับกาย กับใจของเราแล้วหรือยัง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน มีเรื่องเดียวที่จะต้องศึกษา ว่าใจของเราทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง (แล้วก็) เรื่องอื่นๆ ก็รองลงมา
การความเป็นอยู่ของเรา ปัจจัยสี่ของเรา การดำเนินชีวิตของเรา ทำอย่างไรถึงจะอุดมสมบูรณ์ทำอย่างไรถึงจะไม่ได้ลำบาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เกื้อหนุนกันหมด เพราะว่ากายกับใจก็อยู่ร่วมกัน สมมติวิมุตก็อยู่ร่วมกัน เราทำความเข้าใจให้รู้ทั้ง 2 อย่าง แต่เวลานี้ใจของเรายังเกิดทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งปรุง ทั้งแต่ง ทั้งยึดมั่นถือมั่น ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด แต่เราก็ว่าเราไม่มีอะไร ขณะใจยังปกติเราก็ว่าเราไม่มีอะไร
ถ้าเราเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผล แยกแยะ จำแนกแจกแจงได้ เราจะเห็นเยอะ เห็นกิเลสหยาบกิเลสเอียดเยอะ เห็นมลทินต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในใจของเรา มันผุดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาเอง ทำอย่างไรเราถึงจะแก้ไขสิ่งพวกนี้ได้ เราก็ต้องเจริญสติแล้วก็พยายามฝึกสติให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะเอาไปใช้ ไปอบรมใจของเราให้ใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา
แต่เวลานี้ใจเราอาจจะควบคุมได้เป็นบางเรื่อง บางครั้งบางคราว ความเกิดก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ทั้งส่วนนาม ทั้งส่วนรูปก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ใจก็เกิด กิเลสหยายกิเลสละเอียด ปิดกั้นตัวใจของเราเอาไว้
ยิ่งเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้เท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่อย่าไปท้อ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจรู้จักวิธีการแนวทาง แล้วก็รู้จักละ ค่อยละ ค่อยสร้างตบะบารมี
แต่ละวันเรามีความเพียรพอหรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่าเรามีการรู้จักคลายออกจากใจของเราหรือไม่ เราพยายามแก้ไขของเรา ใจของเรามีความอิจฉาริษยา ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน วาจาของเรา รู้จักควบคุมหรือมีว่าแต่พูดเพ้อเจ้อพูดส่อเสียด เราก็ต้องพยายามแก้ไข สิ่งพวกนี้แหละ เป็นกิเลสปิดกั้นดวงใจเราเอาไว้
ไม่ใช่ว่าฝึกสติ ถ้าเราไม่เอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่ฝึก ได้แค่ควบคุม เหมือนกับหินทับหญ้าถ้าเราจำแนกแจกแจง เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลได้ หมดความสงสัย หมดความลังเล เข้าถึงธรรมชาติภายใน ธรรมชาติภายนอก ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา จะมีความสุข ได้รับความสุขทั้งข้างนอกทั้งข้างใน ทั้งสมมติวิมุตติ ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรมก่อน เราจะจำแนกแจกแจงได้ เราก็ต้องรู้จัก
สติไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ใจไม่สงบเราก็ต้องรู้จักควบคุม เหมือนกับนักโทษ นักโทษใจของคนเรานี้เปรียบเสมือนกับนักโทษ นักโทษประหาร เขาก็ต้องใส่โซ่ตรวน กักขังหน่วงเหนี่ยวอย่างเข้มแข็ง ถ้าประพฤติปฏิบัติตัวดี เขาก็คลายออกให้อยู่ในเป็นนักโทษจำคุกตลอดชีวิต ถ้าประพฤติปฏิบัติตัวดีขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เขาก็ค่อยปลด ค่อยเกลาเอาออกให้เป็นนักโทษชั้นดีปฏิบัติตัวดีขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เป็นนักโทษชั้นดี จนได้ปลดออกจากนักโทษ
ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราขัดเกลากิเลส หมั่นดับความเกิด หมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจกิเลสก็จะคลายออกๆ ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลส เราค่อยละไปเรื่อยๆ ก็จะถึงความบริสุทธิ์ความบริสุทธิ์นั่นแหละคือตัวใจที่แท้จริง ความบริสุทธิ์นั่นแหละคือใจที่แท้จริง แต่ความเกิดก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ กิเลสละเอียดหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศก็ยากที่จะเข้าใจ ถ้าไปปล่อยปละละเลยมันก็ยิ่งจะห่างไกล แต่มันก็ไม่เหลือวิสัย เราก็ต้องพยายาม
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลยสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นะ ถ้าสะสมมากขึ้นๆ มันก็ปิดกั้นตัวเรา เราพยายามขัดเกลาเอาออก เป็นผู้ให้ ผู้คลาย ผู้เสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา ในสิ่งที่เราได้ก็คือความบริสุทธิ์ ใจที่ไม่มีกิเลสเค้าก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเค้าก็นิ่ง
แต่เวลานี้เค้าทั้งเกิด ทั้งยึด ทั้งติด แต่เราก็ไม่รู้ว่าเรายึด เราติดหรอก นอกจากบุคคลที่จำแนกแจกแจงได้นะว่าอันนี้ใจนะ อันนี้อาการของใจ อันนี้คือสมมติวิมุตติ อันนี้คือการแยกรูปแยกนามวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ ละกิเลสหยาย ละกิเลสละเอียด
แต่ละวันเราเพียงได้แค่ควบคุม ได้แค่ควบคุม แค่ควบคุมอยู่ที่กายกับวาจา หรือบางทีก็ไม่ควบคุมเลย เราต้องคลายทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเรา สติปัญญาในทางโลกนั้น มีมากเท่าไหร่ อย่าเพิ่งเอามาคิด นอกจากเราจะเห็น ทำความเข้าใจเปลี่ยนปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม เราก็จะมีความสุข รู้โลกรู้ธรรม วางโลกวางธรรม อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ รู้จักเอาปัญญาไปใช้ ก็ต้องพยายามกัน
มีเรื่องเดียวนี่แหละที่จะต้องศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริง เรื่องของเราเรื่องของเขา เอาเรื่องของเราให้จบ ส่วนมาก มีแต่เรื่องของคนอื่น เอาเรื่องของเราให้จบ แล้วก็ยังประโยชน์ให้กับส่วนรวมให้เต็มเปี่ยม อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข
เพียงแค่การเจริญสติเราก็ทำได้ยาก สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเราก็ทำได้ยาก สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงให้ได้เสียก่อน อยู่หลายคนก็เหมือนก็อยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้เชื่อมโยงกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มีนาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ รู้ว่าสร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่จนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ พวกท่านได้สร้างความรู้ตัวและทำความเข้าใจ กับกาย กับใจของเราแล้วหรือยัง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน มีเรื่องเดียวที่จะต้องศึกษา ว่าใจของเราทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง (แล้วก็) เรื่องอื่นๆ ก็รองลงมา
การความเป็นอยู่ของเรา ปัจจัยสี่ของเรา การดำเนินชีวิตของเรา ทำอย่างไรถึงจะอุดมสมบูรณ์ทำอย่างไรถึงจะไม่ได้ลำบาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เกื้อหนุนกันหมด เพราะว่ากายกับใจก็อยู่ร่วมกัน สมมติวิมุตก็อยู่ร่วมกัน เราทำความเข้าใจให้รู้ทั้ง 2 อย่าง แต่เวลานี้ใจของเรายังเกิดทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งปรุง ทั้งแต่ง ทั้งยึดมั่นถือมั่น ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด แต่เราก็ว่าเราไม่มีอะไร ขณะใจยังปกติเราก็ว่าเราไม่มีอะไร
ถ้าเราเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผล แยกแยะ จำแนกแจกแจงได้ เราจะเห็นเยอะ เห็นกิเลสหยาบกิเลสเอียดเยอะ เห็นมลทินต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในใจของเรา มันผุดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาเอง ทำอย่างไรเราถึงจะแก้ไขสิ่งพวกนี้ได้ เราก็ต้องเจริญสติแล้วก็พยายามฝึกสติให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะเอาไปใช้ ไปอบรมใจของเราให้ใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา
แต่เวลานี้ใจเราอาจจะควบคุมได้เป็นบางเรื่อง บางครั้งบางคราว ความเกิดก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ทั้งส่วนนาม ทั้งส่วนรูปก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ใจก็เกิด กิเลสหยายกิเลสละเอียด ปิดกั้นตัวใจของเราเอาไว้
ยิ่งเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้เท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่อย่าไปท้อ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจรู้จักวิธีการแนวทาง แล้วก็รู้จักละ ค่อยละ ค่อยสร้างตบะบารมี
แต่ละวันเรามีความเพียรพอหรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่าเรามีการรู้จักคลายออกจากใจของเราหรือไม่ เราพยายามแก้ไขของเรา ใจของเรามีความอิจฉาริษยา ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน วาจาของเรา รู้จักควบคุมหรือมีว่าแต่พูดเพ้อเจ้อพูดส่อเสียด เราก็ต้องพยายามแก้ไข สิ่งพวกนี้แหละ เป็นกิเลสปิดกั้นดวงใจเราเอาไว้
ไม่ใช่ว่าฝึกสติ ถ้าเราไม่เอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่ฝึก ได้แค่ควบคุม เหมือนกับหินทับหญ้าถ้าเราจำแนกแจกแจง เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลได้ หมดความสงสัย หมดความลังเล เข้าถึงธรรมชาติภายใน ธรรมชาติภายนอก ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา จะมีความสุข ได้รับความสุขทั้งข้างนอกทั้งข้างใน ทั้งสมมติวิมุตติ ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรมก่อน เราจะจำแนกแจกแจงได้ เราก็ต้องรู้จัก
สติไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ใจไม่สงบเราก็ต้องรู้จักควบคุม เหมือนกับนักโทษ นักโทษใจของคนเรานี้เปรียบเสมือนกับนักโทษ นักโทษประหาร เขาก็ต้องใส่โซ่ตรวน กักขังหน่วงเหนี่ยวอย่างเข้มแข็ง ถ้าประพฤติปฏิบัติตัวดี เขาก็คลายออกให้อยู่ในเป็นนักโทษจำคุกตลอดชีวิต ถ้าประพฤติปฏิบัติตัวดีขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เขาก็ค่อยปลด ค่อยเกลาเอาออกให้เป็นนักโทษชั้นดีปฏิบัติตัวดีขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เป็นนักโทษชั้นดี จนได้ปลดออกจากนักโทษ
ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราขัดเกลากิเลส หมั่นดับความเกิด หมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจกิเลสก็จะคลายออกๆ ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลส เราค่อยละไปเรื่อยๆ ก็จะถึงความบริสุทธิ์ความบริสุทธิ์นั่นแหละคือตัวใจที่แท้จริง ความบริสุทธิ์นั่นแหละคือใจที่แท้จริง แต่ความเกิดก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ กิเลสละเอียดหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศก็ยากที่จะเข้าใจ ถ้าไปปล่อยปละละเลยมันก็ยิ่งจะห่างไกล แต่มันก็ไม่เหลือวิสัย เราก็ต้องพยายาม
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลยสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นะ ถ้าสะสมมากขึ้นๆ มันก็ปิดกั้นตัวเรา เราพยายามขัดเกลาเอาออก เป็นผู้ให้ ผู้คลาย ผู้เสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา ในสิ่งที่เราได้ก็คือความบริสุทธิ์ ใจที่ไม่มีกิเลสเค้าก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเค้าก็นิ่ง
แต่เวลานี้เค้าทั้งเกิด ทั้งยึด ทั้งติด แต่เราก็ไม่รู้ว่าเรายึด เราติดหรอก นอกจากบุคคลที่จำแนกแจกแจงได้นะว่าอันนี้ใจนะ อันนี้อาการของใจ อันนี้คือสมมติวิมุตติ อันนี้คือการแยกรูปแยกนามวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ ละกิเลสหยาย ละกิเลสละเอียด
แต่ละวันเราเพียงได้แค่ควบคุม ได้แค่ควบคุม แค่ควบคุมอยู่ที่กายกับวาจา หรือบางทีก็ไม่ควบคุมเลย เราต้องคลายทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเรา สติปัญญาในทางโลกนั้น มีมากเท่าไหร่ อย่าเพิ่งเอามาคิด นอกจากเราจะเห็น ทำความเข้าใจเปลี่ยนปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม เราก็จะมีความสุข รู้โลกรู้ธรรม วางโลกวางธรรม อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ รู้จักเอาปัญญาไปใช้ ก็ต้องพยายามกัน
มีเรื่องเดียวนี่แหละที่จะต้องศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริง เรื่องของเราเรื่องของเขา เอาเรื่องของเราให้จบ ส่วนมาก มีแต่เรื่องของคนอื่น เอาเรื่องของเราให้จบ แล้วก็ยังประโยชน์ให้กับส่วนรวมให้เต็มเปี่ยม อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข
เพียงแค่การเจริญสติเราก็ทำได้ยาก สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเราก็ทำได้ยาก สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงให้ได้เสียก่อน อยู่หลายคนก็เหมือนก็อยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้เชื่อมโยงกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ