หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 2 วันที่ 15 มกราคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 2 วันที่ 15 มกราคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 2
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มกราคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ชัดเจนตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง การเจริญสติที่ต่อเนื่อง คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เราสร้างขึ้นมาได้แล้วหรือยัง เอาสติปัญญาของเราไปวิเคราะห์ใจ ไปอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง
เพียงแค่การเจริญสติก็ยังทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็มีศรัทธา มีฝักใฝ่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีกัน แต่การเจริญสตินี้ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร ก็เลยทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราไม่ได้
การเกิดการดับของวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกาย ในขันธ์ห้าเป็นอย่างไรกายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ใจของเรายังไม่คลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ความเห็นผิดตรงนี้แหละ เห็นผิดนิดเดียว แต่อาจจะถูกอยู่ในระดับสมมุติ สมมุติอะไรเป็นบุญเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล เราก็พอที่จะมองออก แต่การที่ใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมา แยกรูปแยกนามตรงนี้ ต้องกำลังสติตองมีเพียงพอ เร็วไว เข้มแข็งแล้วก็บารมีของเราก็สร้างกันควบคู่กันไป
ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบต่อตัวเรา เรามีสัจจะกับตัวเรา รู้จักวิเคราะห์แก้ไข รู้จักปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อะไรขาดตกบกพร่องไม่ใช่ว่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร จะลุก จะก้าว จะเดิน ใจของเราเป็นอย่างไรจะทำโน่นทำนี่ จนกำลังสติปัญญาของเราเต็มรอบ รอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา จนสติปัญญาละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ไม่เหลือวิสัย ต้องพยายามกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเรา เรามีโอกาส การได้ยิน ได้ฟัง การได้อ่าน การพูดคุยกันตรงนี้ก็พอมีอยู่ แต่การลงมือจริงๆไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย ไม่จำเป็นต้องนั้น พอรู้จักวิธีการแนวทางเราก็รีบทำ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การเจริญสติลงที่กายก็เพื่อจะให้รู้เท่าทันใจ ลักษณะของใจ อาการของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างไร ใจหรือว่าวิญญาณของเรามันไม่มีตัวไม่มีตน แต่เราก็รู้ด้วยปัญญาด้วยความรู้ ด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนามีไม่มาก กายของเรานี่แหละ คือสนามรบอันยิ่งใหญ่ พยายามทำความเข้าใจให้มันได้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน จนสติของเราเป็นมหาสติมหาปัญญา จนไม่ได้สร้างไม่ใช่ว่าจะไปปฏิบัติทำที่โน้นที่นี้จะเข้าใจ ถ้าเราทำความเข้าใจไม่ถูกวิธีไม่ถูกแนวทาง เราก็จะเข้าไม่ถึง
การละกิเลสไม่มี เราก็ไม่ได้รับความบริสุทธิ์ การขัดเกลากิเลส เราละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดออกจากใจของเรา เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ ใจเราไม่เกิด เราดับความเกิดของใจเราไม่ได้อยากจะได้ความนิ่งความบริสุทธิ์ หรือความเป็นเอกเราก็ได้ เพราะว่าใจไม่เกิด
แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งหลงขันธ์ห้า ทั้งเป็นธาตุกิเลส หลงทั้งสมมุติ หลงทั้งวิมุตติ ไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจตรงนี้ให้ละเอียด เราก็เลยมองเห็นเป็นทั้งก้อน เป็นทั้งก้อนหมุนกันไปอยู่อย่างงั้นแหละ ผลัดเปลี่ยนกันไป ถึงวาระเวลาก็แตกดับแตกดับแล้ววิญญาณก็ไปหาที่เกิดใหม่
ถ้าบุคคลผู้รู้ ก็จะมาละกิเลส ขัดเกลากิเลส ดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ ดับความเกิดในกายเนื้อของเราได้เกิดมาแล้ว เราก็ต้องได้ดูแลรักษาเค้าไป อนุเคราะห์เค้าไปจนกว่าเค้าจะแตกจะดับ เค้าแตกดับเมื่อไหร่นั้นแหละวิญญาณก็จะไปต่อ หรือว่าตัวใจก็ไปต่อ
ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ คนทั่วไปก็ถึงเกิดก็ให้เกิดในบุญในกุศลนะ สร้างกุศล ละอกุศล เจริญกุศล ทำความเข้าใจให้ได้ขณะที่เรายังมีกำลัง อย่าไปผลัดวันประกันพรุ่ง เราทำวันนี้ให้ดี ทำขณะนี้ให้ดี คำว่าปัจจุบันธรรม ดู รู้ เห็น แล้วก็ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้อยู่ในความอ่อนโยน หนักแน่นไม่หวั่นไหว มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา ใจไม่เกิดเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของเที่ยง ที่ท่านบอกว่า “จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง จิตไม่เที่ยง นิพพานก็ไม่เที่ยง”
พยายามทำให้ได้ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพระว่าโยม ว่าชี เราทำให้กันไม่ได้สิ่งพวกนี้นอกจากจากตัวของเราเอง การบอก การชี้ การกล่าว ก็เป็นแค่เพียงสื่อภาษาสมมุติกัน เราก็ต้องพยายามกันไปทำ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มกราคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ชัดเจนตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง การเจริญสติที่ต่อเนื่อง คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เราสร้างขึ้นมาได้แล้วหรือยัง เอาสติปัญญาของเราไปวิเคราะห์ใจ ไปอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง
เพียงแค่การเจริญสติก็ยังทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็มีศรัทธา มีฝักใฝ่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีกัน แต่การเจริญสตินี้ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร ก็เลยทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราไม่ได้
การเกิดการดับของวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกาย ในขันธ์ห้าเป็นอย่างไรกายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ใจของเรายังไม่คลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ความเห็นผิดตรงนี้แหละ เห็นผิดนิดเดียว แต่อาจจะถูกอยู่ในระดับสมมุติ สมมุติอะไรเป็นบุญเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล เราก็พอที่จะมองออก แต่การที่ใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมา แยกรูปแยกนามตรงนี้ ต้องกำลังสติตองมีเพียงพอ เร็วไว เข้มแข็งแล้วก็บารมีของเราก็สร้างกันควบคู่กันไป
ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบต่อตัวเรา เรามีสัจจะกับตัวเรา รู้จักวิเคราะห์แก้ไข รู้จักปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อะไรขาดตกบกพร่องไม่ใช่ว่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร จะลุก จะก้าว จะเดิน ใจของเราเป็นอย่างไรจะทำโน่นทำนี่ จนกำลังสติปัญญาของเราเต็มรอบ รอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา จนสติปัญญาละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ไม่เหลือวิสัย ต้องพยายามกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเรา เรามีโอกาส การได้ยิน ได้ฟัง การได้อ่าน การพูดคุยกันตรงนี้ก็พอมีอยู่ แต่การลงมือจริงๆไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลย ไม่จำเป็นต้องนั้น พอรู้จักวิธีการแนวทางเราก็รีบทำ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การเจริญสติลงที่กายก็เพื่อจะให้รู้เท่าทันใจ ลักษณะของใจ อาการของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างไร ใจหรือว่าวิญญาณของเรามันไม่มีตัวไม่มีตน แต่เราก็รู้ด้วยปัญญาด้วยความรู้ ด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนามีไม่มาก กายของเรานี่แหละ คือสนามรบอันยิ่งใหญ่ พยายามทำความเข้าใจให้มันได้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน จนสติของเราเป็นมหาสติมหาปัญญา จนไม่ได้สร้างไม่ใช่ว่าจะไปปฏิบัติทำที่โน้นที่นี้จะเข้าใจ ถ้าเราทำความเข้าใจไม่ถูกวิธีไม่ถูกแนวทาง เราก็จะเข้าไม่ถึง
การละกิเลสไม่มี เราก็ไม่ได้รับความบริสุทธิ์ การขัดเกลากิเลส เราละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดออกจากใจของเรา เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ ใจเราไม่เกิด เราดับความเกิดของใจเราไม่ได้อยากจะได้ความนิ่งความบริสุทธิ์ หรือความเป็นเอกเราก็ได้ เพราะว่าใจไม่เกิด
แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งหลงขันธ์ห้า ทั้งเป็นธาตุกิเลส หลงทั้งสมมุติ หลงทั้งวิมุตติ ไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจตรงนี้ให้ละเอียด เราก็เลยมองเห็นเป็นทั้งก้อน เป็นทั้งก้อนหมุนกันไปอยู่อย่างงั้นแหละ ผลัดเปลี่ยนกันไป ถึงวาระเวลาก็แตกดับแตกดับแล้ววิญญาณก็ไปหาที่เกิดใหม่
ถ้าบุคคลผู้รู้ ก็จะมาละกิเลส ขัดเกลากิเลส ดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ ดับความเกิดในกายเนื้อของเราได้เกิดมาแล้ว เราก็ต้องได้ดูแลรักษาเค้าไป อนุเคราะห์เค้าไปจนกว่าเค้าจะแตกจะดับ เค้าแตกดับเมื่อไหร่นั้นแหละวิญญาณก็จะไปต่อ หรือว่าตัวใจก็ไปต่อ
ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ คนทั่วไปก็ถึงเกิดก็ให้เกิดในบุญในกุศลนะ สร้างกุศล ละอกุศล เจริญกุศล ทำความเข้าใจให้ได้ขณะที่เรายังมีกำลัง อย่าไปผลัดวันประกันพรุ่ง เราทำวันนี้ให้ดี ทำขณะนี้ให้ดี คำว่าปัจจุบันธรรม ดู รู้ เห็น แล้วก็ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้อยู่ในความอ่อนโยน หนักแน่นไม่หวั่นไหว มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา ใจไม่เกิดเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของเที่ยง ที่ท่านบอกว่า “จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง จิตไม่เที่ยง นิพพานก็ไม่เที่ยง”
พยายามทำให้ได้ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพระว่าโยม ว่าชี เราทำให้กันไม่ได้สิ่งพวกนี้นอกจากจากตัวของเราเอง การบอก การชี้ การกล่าว ก็เป็นแค่เพียงสื่อภาษาสมมุติกัน เราก็ต้องพยายามกันไปทำ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ