หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 051
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 051
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้รับรู้สัมผัสกับลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกรับรู้เวลาลมสัมผัสปลายจมูกของเราเวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมวิ่งออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ให้ต่อเนื่องแล้วก็ให้เป็นอัตโนมัติ สติของเราก็จะตั้งมั่นขึ้น มีความมั่นคงขึ้นแล้วก็ยาวนานขึ้น
ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ส่วนใจของเราปกติก็รู้ว่าปกติ ใจจะก่อตัวอาการของใจเริ่มเกิดอย่างไร เราก็จะรู้เท่าทัน อาการของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด ภาษาธรรมเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ผุดขึ้นมาได้อย่างไร ตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน รู้ไม่ทันต้นเหตุของการเกิดของจิต ของอาการของขันธ์ห้า เราก็กระตุ้นความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ใจก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ
พยายามฝึก ไม่เข้าใจเท่าไหร่ก็ยิ่งฝึกให้เกิดความเคยชิน แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ฝึกเฉพาะการเจริญสติอย่างเดียว เราต้องรอบรู้ในภาระหน้าที่การงานของเรา รอบรู้ในกองอัตตาตัวตนของเรา รอบรู้ในรูปในทวารทั้งหกเขาทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ ตาเห็นรูปสวยๆ ใจของเราเป็นอย่างไร เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย หูได้ยินเสียงไพเราะ ใจของเราเกิดความยินดียินร้าย ผลักไส หรือว่าดึงเข้ามา หรือว่าความปกติ เพราะเขาทำหน้าที่ของเขา ทุกอย่างล้วนแต่ทำหน้าที่ของเขาอยู่ แต่เราขาดความรู้ตัวที่จะเข้าไปรู้ฐานของใจ ส่วนมากก็รู้เมื่อเขาเกิดแล้ว ส่วนมากก็รู้เมื่อเขารวมกันไปแล้ว บางทีก็ควบคุมได้ บางทีก็ควบคุมไม่ได้ บางทีก็เป็นกุศล หรือว่าอกุศล
เราต้องพยายามให้รู้ฐานของใจเรา รู้มั้ย เราไม่รู้ต้นเหตุของใจ เราก็ใช้สมถะเข้าไปตัดให้มันสั้นลงๆ จนกว่าจะรู้ช่วงเขาก่อตัวนั่นแหละ เขาก่อตัวปุ๊บ เราก็ดับตรงที่เขาก่อตัวนั่นแหละ มันก็จะเข้าถึงตัวใจ ตัวความว่าง แต่ส่วนมากจะไปดับเอาช่วงกลาง ช่วงปลาย หรือไม่สนใจปล่อยเลยตามเลย ทั้งที่พากันฝักใฝ่ในการสร้างบุญ สร้างกุศลอยู่ตลอดเวลา
เราพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นในใจ ในกายของเรา อย่าไปเกียจคร้าน ไปอยู่ที่ไหนก็ให้พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร ละนิวรณธรรม ละความเกียจคร้าน ละความกังวล ละความฟุ้งซ่าน ขยันหมั่นเพียรในการสังเกต ในการวิเคราะห์ ในการดับ ในการละ สมมติของเราก็ขยันหมั่นเพียรในการทำ
บางทีสมมติของเรามันไม่เปิดทางให้ อะไรก็ติดขัดไปหมด อันนั้นก็ยังลำบากอยู่ อันนี้ก็ยังลำบากอยู่ อันนั้นแสดงว่าสมมติยังไม่เปิดทางให้ ยังติดขัด เพราะเราคาดการณ์ทำความเข้าใจ ขาดความขยัน ขาดความรับผิดชอบ จะไปเอาแต่ธรรม อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม แต่สมมติของเรายังลำบากอยู่ มันก็ไม่ได้ ต้องให้ควบคู่กันทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ ถึงจะไม่มีมากแต่ก็ไม่ให้ถึงกับอึดอัด ไม่ให้ลำบากทั้งด้านสมมติ สมมติของเราขาดตกบกพร่องอะไร ทำไมเราถึง มีความมีความเป็นของเราถึงไม่พร้อม เราก็ต้องขยัน รู้จักหา รู้จักใช้ รู้จักเจ็บ มีความรับผิดชอบ
ใจของเราเกิดความอยาก เราก็รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักให้ เอาออกคลายออก พึ่งตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งแต่ภายนอก อาศัยแต่ภายนอก อาศัยคนโน้น อาศัยสถานที่โน้น อาศัยสถานที่นี้ อันนั้นเป็นที่พึ่งทางสมมติ ระดับของโลกิยะอยู่ในระดับหนึ่ง เราต้องพยายามสร้างที่พึ่งทั้งภายนอกของเราให้อยู่ดีมีความสุข ที่พึ่งภายนอกก็บ้านช่องห้องหอของเรานั่นแหละ ที่พักที่อาศัย ที่อยู่ ที่หลับที่นอน ที่กิน นั่นแหละที่พึ่งภายนอก
ที่พึ่งภายใน ก็เจริญสติก็เป็นเป็นที่พึ่งของใจ หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ทำบ้านให้เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สมมติของเราไม่ได้ลำบาก อยู่บ้านก็มีความสุข อยู่ที่ทำงานก็มีความสุข เพราะเราไม่ได้เดือดร้อน ปากท้องก็ไม่ได้ลำบาก เพราะการกระทำของเรามีอยู่ อันนี้ปากท้องก็ลำบาก ครอบครัวก็ลำบาก ลูกเต้าก็ลำบาก สารพัดอย่าง มันก็เลยปิดกั้นเอาไว้ นั่นแหละเรียกว่า ‘วิบากกรรมทางสมมติ’
กรรม การกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ถ้าไม่ถึงวาระเวลามันก็ยากที่จะคลายได้ ทำไมต้องพูดอย่างนั้น เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราเริ่มปลูกวันนี้ วันแรกเราจะไปเร่งให้เขาต้องออกดอกวันนี้นะ ออกผลวันนี้นะ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก เราก็หมั่นดูแล หมั่นให้น้ำให้ปุ๋ยมัน ทำความเข้าใจกับเขา เขาก็ค่อยจะเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงวาระเวลาก็โตเต็มที่ เขาก็ต้องออกดอกถ้าเป็นไม้ดอก ถ้าเป็นไม้ผลเขาก็ต้องออกผล เราไม่อยากจะได้ผล เราไม่อยากจะได้ดอก เราก็ได้ เพราะว่าการกระทำ การดูแลพวกเรานี้
การปฏิบัติกิจของเราก็เหมือนกัน แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เราก็หมั่นสำรวจตรวจตาดู เรามีความเสียสละที่เพียงพอหรือไม่ เรามีความกตัญญูกตเวที เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความอดทนอดกลั้นจากอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายใน เราก็รู้จักดับ เหตุการณ์จากข้างนอกมันทำให้ใจเราเกิด เราก็รู้จักอดทน รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักให้อภัย มันก็จะค่อยเป็นชั้นเป็นขั้นเป็นตอนไปเรื่อยๆ มีการพัฒนาการเจริญสติ การเจริญภาวนา
ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ทำความเข้าใจกับภาษาโลก ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับ การควบคุม การจำแนกแจกแจง การแยกแยะ เป็นลักษณะอย่างนี้ ก็จะตามไปเรื่อยๆ บางทีก็สมมติของเราอะไรยังติดขัดอยู่ เราก็พยายามขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข ถึงมีไม่มาก เราก็ไม่ให้ถึงกับลำบาก ให้กายของเราได้อยู่ดีมีความสุข รู้จักขยันหมั่นเพียร รู้จักหา รู้จักสร้างขึ้นมา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
ถ้าคนมีปัญญารอบรู้ในสมมติ ในวิมุตติ จะไปไหนมาไหนก็เป็นเรื่องปัญญาพากายไป ให้ใจรับรู้ ผิดถูกชั่วดีอย่างไรก็แก้ไข ถ้าเราเข้าใจก็วางหมดนั่นแหละ วางทั้งดี วางทั้งชั่ว แต่ละชั่วสร้างดี แต่ไม่ยึดติดในดี อยู่เหนือบุญเหนือบาป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นธรรมดำธรรมขาว ละธรรมดำ สร้างธรรมขาว แต่ไม่ยึดติด เป็นเพียงกริยาของสติปัญญาในการสร้าง ในการทำเพื่อให้เกิดประโยชน์
ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บ มันจะรู้ปุ๊บได้ปุ๊บ ไม่ใช่ เราค่อยเป็นค่อยไป แต่ละวันตื่นขึ้นมาเอาเรื่องของเราให้มันเรียบร้อย เรามีความเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียรนี้ นิวรณธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราได้อย่างไร ยิ่งใหม่ๆ ยิ่งฝึกหัดใหม่ๆ ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งรู้เท่าไร เห็นเท่าไร ยิ่งทำความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ก็ยิ่งเพิ่มความเพียรทั้งกำลังทางด้านร่างกาย ทั้งทางด้านจิตใจ เน้นสติลงที่กายของเรา กลางค่ำกลางคืนก็เดินหัดสังเกตใจของเรา นิวรณ์เข้าครอบงำได้ยังไง แต่ละวันใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตใจของเราสักกี่ครั้ง
เราทำความเข้าใจแล้วก็ละ ยิ่งฝึกเท่าไรยิ่งเห็นเยอะอยู่ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจแล้วค่อยละ ใจมันเกิดแล้วก็ดับ มันก็จะสั้นลงๆ จนกว่ามันเริ่มก่อตัวแล้วก็ดับตรงที่ก่อตัว มันก็จะนิ่ง ใจเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็พยายามละ กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็ความละเอียดของใจที่มันเกิดความคิดเล็กๆ น้อยๆ อย่าไปเสียดายอะไรอาวรณ์กับอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ
เราตามดูให้รู้เรื่อง แล้วก็จะเข้าใจในหลักธรรมที่พระพุทธองค์ท่านได้พร่ำสอน อริยสัจสี่เป็นอย่างไร ใจส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ใจรวมกับอาการของใจเป็นไปได้อย่างไร อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม ลักษณะของใจที่ไปยินดียินร้ายก็เรียกว่า ‘ไปเสวย’ ปัญญาธรรม ปัญญาโลกเป็นอย่างไร แต่เราไปพิจารณาด้วยใจ ด้วยขันธ์ห้า ส่งไปพิจารณา ถึงจะพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นปัญญาโลกอยู่
ถ้าใจเราแยกแล้ว คายออกจากความคิดแล้วตามดู เห็นการเกิดการดับ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอารมณ์ จนใจของเรานิ่ง รับรู้ถึงจะพิจารณาเรื่องอดีตเรื่องอนาคต เรื่องการงาน เรื่องอะไรต่างๆ ก็เป็นปัญญาธรรม เพราะว่าตัวใจของเราคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ เขาเรียกว่า ‘ปัญญาธรรม’ จะร้องตะโกน ใจของเราก็เป็นธรรม
ถ้าเราเข้าใจ เรารู้จักแนวทางแล้วไปทำ ไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปให้คนอื่นต้องบังคับ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทำการทำงาน ทำงานไปด้วย สังเกตใจไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย ได้ความสงบด้วย ความสุขไปด้วย ได้ประโยชน์ไปด้วย เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไปงอมืองอเท้า ปฏิบัติธรรมทำอะไรก็ไม่เป็น มีแต่ความโง่เง่าเข้าบังคับ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ
เราต้องสร้างความขยันหมั่นเพียรอยู่กับการกับงานทุกอิริยาบถ อย่างน้อยๆ ก็ให้รู้จักรับผิดชอบกับตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนของเราให้ดี ก็จะล้นออกไปสู่สังคมสู่หมู่สู่คณะ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วมีแต่ความเกียจคร้าน ไปอยู่ที่ไหนก็เกียจคร้าน หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ จะต้องเป็นคนขยันทั้งภายนอก ทั้งภายใน ความขยันหมั่นเพียรจะติดตามตัวเราไป ไม่เก้อเขิน
มีแต่ความองอาจกล้าหาญ ไปอยู่ที่ไหนก็กล้าหาญ มองเห็นความถูกต้อง สิ่งไหนที่ไม่ดีเราก็รีบทำเสีย ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย เรามาอาศัยสถานที่อยู่ มาช่วยกันดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าห้องส้วมห้องน้ำเป็นอย่างไร ห้องน้ำสะอาดหรือไม่ ห้องไหนไม่สะอาดเราก็ทำความสะอาดเสียก่อน ห้องไหนไม่เต็มเราก็เปิดน้ำให้เต็ม
กว่าจะมีได้ กว่าจะเป็นให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขได้ ก็ต้องอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา ร่วมแรง ร่วมกาย ร่วมใจกันหลายฝ่าย กว่าจะทำขึ้นมาได้แต่ละชิ้น แต่ละอันนี้ทำให้เพื่อส่วนรวม เป็นหน้าที่ของทุกคน เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันดูแล ถ้าไม่ทำสมมติก็ลำบาก ห้องส้วมห้องน้ำไม่มีก็ลำบาก ที่พักที่อาศัยไม่มีก็ลำบาก โรงครัวทำกับข้าวกับปลาไม่มีก็ลำบาก
มีอะไรก็เลยช่วยกันดูแลรักษา อย่าไปเกี่ยงงอนกัน ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม มาปฏิบัติธรรมแล้วจะอยู่เฉพาะที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ ที่ไหนมียังไงก็เอามันอย่างนั้น ให้อยู่ที่ไม่ดี ก็มีความสุข อยู่ที่ดี ก็มีความสุข เราอนุเคราะห์ให้ได้เท่านี้ก็นับว่าเก่งแล้ว ว่าดีแล้ว เราก็ดีแล้วมี มาช่วยกันดูแลรักษา จะเอาแต่ธรรม แต่การกระทำไม่มี รักความสะอาด แต่ชอบทำสกปรก ทิ้งมันทั่ว ทิ้งมันเกลื่อน อย่างนั้นก็ใช้การไม่ได้
เราต้องพยายามเคี่ยวเข็นตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อย่าให้คนอื่นได้มาบังคับ ให้บังคับตัวเอง แก้ไขตัวเอง ให้รู้จักพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา อะไรควรหรือไม่ควร อยู่กับหลายคนเราก็พิจารณาเรา อยู่คนเดียวก็พิจารณาเรา อยู่กับส่วนรวมเป็นอย่างไร เรามีความเสียสละ เรามีความอนุเคราะห์เอื้อเผื่อแผ่หรือไม่ ก็ต้องพยายาม
ยิ่งบุคคลที่เป็นหลักชัยให้หมู่ให้คณะยิ่งลำบาก เหมือนกับพ่อกับแม่นั่นแหละเลี้ยงดูแลลูก กลัวลูกจะลำบาก อันนั้นก็ยังขาด อันนี้ก็ยังขาด ก็ต้องดิ้นรนแสวงหาให้ลูก พ่อแม่ก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ คิดพิจารณาเหมือนกันหมด บุคคลที่เป็นลูก บุคคลที่เป็นบุตรต้องพิจารณานะว่าเราทำหน้าที่ได้ดีแล้วหรือยัง หรือว่ามีแต่สร้างความเดือดร้อนมาให้ ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ก็ช่วยกันแก้ไข มีโอกาสแล้วช่วยกันมาสร้างอานิสงส์แห่งบุญร่วมกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสรรค์ต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ส่วนใจของเราปกติก็รู้ว่าปกติ ใจจะก่อตัวอาการของใจเริ่มเกิดอย่างไร เราก็จะรู้เท่าทัน อาการของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด ภาษาธรรมเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ผุดขึ้นมาได้อย่างไร ตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน รู้ไม่ทันต้นเหตุของการเกิดของจิต ของอาการของขันธ์ห้า เราก็กระตุ้นความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ใจก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ
พยายามฝึก ไม่เข้าใจเท่าไหร่ก็ยิ่งฝึกให้เกิดความเคยชิน แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ฝึกเฉพาะการเจริญสติอย่างเดียว เราต้องรอบรู้ในภาระหน้าที่การงานของเรา รอบรู้ในกองอัตตาตัวตนของเรา รอบรู้ในรูปในทวารทั้งหกเขาทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ ตาเห็นรูปสวยๆ ใจของเราเป็นอย่างไร เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย หูได้ยินเสียงไพเราะ ใจของเราเกิดความยินดียินร้าย ผลักไส หรือว่าดึงเข้ามา หรือว่าความปกติ เพราะเขาทำหน้าที่ของเขา ทุกอย่างล้วนแต่ทำหน้าที่ของเขาอยู่ แต่เราขาดความรู้ตัวที่จะเข้าไปรู้ฐานของใจ ส่วนมากก็รู้เมื่อเขาเกิดแล้ว ส่วนมากก็รู้เมื่อเขารวมกันไปแล้ว บางทีก็ควบคุมได้ บางทีก็ควบคุมไม่ได้ บางทีก็เป็นกุศล หรือว่าอกุศล
เราต้องพยายามให้รู้ฐานของใจเรา รู้มั้ย เราไม่รู้ต้นเหตุของใจ เราก็ใช้สมถะเข้าไปตัดให้มันสั้นลงๆ จนกว่าจะรู้ช่วงเขาก่อตัวนั่นแหละ เขาก่อตัวปุ๊บ เราก็ดับตรงที่เขาก่อตัวนั่นแหละ มันก็จะเข้าถึงตัวใจ ตัวความว่าง แต่ส่วนมากจะไปดับเอาช่วงกลาง ช่วงปลาย หรือไม่สนใจปล่อยเลยตามเลย ทั้งที่พากันฝักใฝ่ในการสร้างบุญ สร้างกุศลอยู่ตลอดเวลา
เราพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นในใจ ในกายของเรา อย่าไปเกียจคร้าน ไปอยู่ที่ไหนก็ให้พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร ละนิวรณธรรม ละความเกียจคร้าน ละความกังวล ละความฟุ้งซ่าน ขยันหมั่นเพียรในการสังเกต ในการวิเคราะห์ ในการดับ ในการละ สมมติของเราก็ขยันหมั่นเพียรในการทำ
บางทีสมมติของเรามันไม่เปิดทางให้ อะไรก็ติดขัดไปหมด อันนั้นก็ยังลำบากอยู่ อันนี้ก็ยังลำบากอยู่ อันนั้นแสดงว่าสมมติยังไม่เปิดทางให้ ยังติดขัด เพราะเราคาดการณ์ทำความเข้าใจ ขาดความขยัน ขาดความรับผิดชอบ จะไปเอาแต่ธรรม อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม แต่สมมติของเรายังลำบากอยู่ มันก็ไม่ได้ ต้องให้ควบคู่กันทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ ถึงจะไม่มีมากแต่ก็ไม่ให้ถึงกับอึดอัด ไม่ให้ลำบากทั้งด้านสมมติ สมมติของเราขาดตกบกพร่องอะไร ทำไมเราถึง มีความมีความเป็นของเราถึงไม่พร้อม เราก็ต้องขยัน รู้จักหา รู้จักใช้ รู้จักเจ็บ มีความรับผิดชอบ
ใจของเราเกิดความอยาก เราก็รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักให้ เอาออกคลายออก พึ่งตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งแต่ภายนอก อาศัยแต่ภายนอก อาศัยคนโน้น อาศัยสถานที่โน้น อาศัยสถานที่นี้ อันนั้นเป็นที่พึ่งทางสมมติ ระดับของโลกิยะอยู่ในระดับหนึ่ง เราต้องพยายามสร้างที่พึ่งทั้งภายนอกของเราให้อยู่ดีมีความสุข ที่พึ่งภายนอกก็บ้านช่องห้องหอของเรานั่นแหละ ที่พักที่อาศัย ที่อยู่ ที่หลับที่นอน ที่กิน นั่นแหละที่พึ่งภายนอก
ที่พึ่งภายใน ก็เจริญสติก็เป็นเป็นที่พึ่งของใจ หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ทำบ้านให้เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สมมติของเราไม่ได้ลำบาก อยู่บ้านก็มีความสุข อยู่ที่ทำงานก็มีความสุข เพราะเราไม่ได้เดือดร้อน ปากท้องก็ไม่ได้ลำบาก เพราะการกระทำของเรามีอยู่ อันนี้ปากท้องก็ลำบาก ครอบครัวก็ลำบาก ลูกเต้าก็ลำบาก สารพัดอย่าง มันก็เลยปิดกั้นเอาไว้ นั่นแหละเรียกว่า ‘วิบากกรรมทางสมมติ’
กรรม การกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ถ้าไม่ถึงวาระเวลามันก็ยากที่จะคลายได้ ทำไมต้องพูดอย่างนั้น เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราเริ่มปลูกวันนี้ วันแรกเราจะไปเร่งให้เขาต้องออกดอกวันนี้นะ ออกผลวันนี้นะ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก เราก็หมั่นดูแล หมั่นให้น้ำให้ปุ๋ยมัน ทำความเข้าใจกับเขา เขาก็ค่อยจะเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงวาระเวลาก็โตเต็มที่ เขาก็ต้องออกดอกถ้าเป็นไม้ดอก ถ้าเป็นไม้ผลเขาก็ต้องออกผล เราไม่อยากจะได้ผล เราไม่อยากจะได้ดอก เราก็ได้ เพราะว่าการกระทำ การดูแลพวกเรานี้
การปฏิบัติกิจของเราก็เหมือนกัน แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เราก็หมั่นสำรวจตรวจตาดู เรามีความเสียสละที่เพียงพอหรือไม่ เรามีความกตัญญูกตเวที เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความอดทนอดกลั้นจากอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายใน เราก็รู้จักดับ เหตุการณ์จากข้างนอกมันทำให้ใจเราเกิด เราก็รู้จักอดทน รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักให้อภัย มันก็จะค่อยเป็นชั้นเป็นขั้นเป็นตอนไปเรื่อยๆ มีการพัฒนาการเจริญสติ การเจริญภาวนา
ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ทำความเข้าใจกับภาษาโลก ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับ การควบคุม การจำแนกแจกแจง การแยกแยะ เป็นลักษณะอย่างนี้ ก็จะตามไปเรื่อยๆ บางทีก็สมมติของเราอะไรยังติดขัดอยู่ เราก็พยายามขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข ถึงมีไม่มาก เราก็ไม่ให้ถึงกับลำบาก ให้กายของเราได้อยู่ดีมีความสุข รู้จักขยันหมั่นเพียร รู้จักหา รู้จักสร้างขึ้นมา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
ถ้าคนมีปัญญารอบรู้ในสมมติ ในวิมุตติ จะไปไหนมาไหนก็เป็นเรื่องปัญญาพากายไป ให้ใจรับรู้ ผิดถูกชั่วดีอย่างไรก็แก้ไข ถ้าเราเข้าใจก็วางหมดนั่นแหละ วางทั้งดี วางทั้งชั่ว แต่ละชั่วสร้างดี แต่ไม่ยึดติดในดี อยู่เหนือบุญเหนือบาป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นธรรมดำธรรมขาว ละธรรมดำ สร้างธรรมขาว แต่ไม่ยึดติด เป็นเพียงกริยาของสติปัญญาในการสร้าง ในการทำเพื่อให้เกิดประโยชน์
ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บ มันจะรู้ปุ๊บได้ปุ๊บ ไม่ใช่ เราค่อยเป็นค่อยไป แต่ละวันตื่นขึ้นมาเอาเรื่องของเราให้มันเรียบร้อย เรามีความเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียรนี้ นิวรณธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราได้อย่างไร ยิ่งใหม่ๆ ยิ่งฝึกหัดใหม่ๆ ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งรู้เท่าไร เห็นเท่าไร ยิ่งทำความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ก็ยิ่งเพิ่มความเพียรทั้งกำลังทางด้านร่างกาย ทั้งทางด้านจิตใจ เน้นสติลงที่กายของเรา กลางค่ำกลางคืนก็เดินหัดสังเกตใจของเรา นิวรณ์เข้าครอบงำได้ยังไง แต่ละวันใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตใจของเราสักกี่ครั้ง
เราทำความเข้าใจแล้วก็ละ ยิ่งฝึกเท่าไรยิ่งเห็นเยอะอยู่ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจแล้วค่อยละ ใจมันเกิดแล้วก็ดับ มันก็จะสั้นลงๆ จนกว่ามันเริ่มก่อตัวแล้วก็ดับตรงที่ก่อตัว มันก็จะนิ่ง ใจเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็พยายามละ กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็ความละเอียดของใจที่มันเกิดความคิดเล็กๆ น้อยๆ อย่าไปเสียดายอะไรอาวรณ์กับอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ
เราตามดูให้รู้เรื่อง แล้วก็จะเข้าใจในหลักธรรมที่พระพุทธองค์ท่านได้พร่ำสอน อริยสัจสี่เป็นอย่างไร ใจส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ใจรวมกับอาการของใจเป็นไปได้อย่างไร อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม ลักษณะของใจที่ไปยินดียินร้ายก็เรียกว่า ‘ไปเสวย’ ปัญญาธรรม ปัญญาโลกเป็นอย่างไร แต่เราไปพิจารณาด้วยใจ ด้วยขันธ์ห้า ส่งไปพิจารณา ถึงจะพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นปัญญาโลกอยู่
ถ้าใจเราแยกแล้ว คายออกจากความคิดแล้วตามดู เห็นการเกิดการดับ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอารมณ์ จนใจของเรานิ่ง รับรู้ถึงจะพิจารณาเรื่องอดีตเรื่องอนาคต เรื่องการงาน เรื่องอะไรต่างๆ ก็เป็นปัญญาธรรม เพราะว่าตัวใจของเราคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ เขาเรียกว่า ‘ปัญญาธรรม’ จะร้องตะโกน ใจของเราก็เป็นธรรม
ถ้าเราเข้าใจ เรารู้จักแนวทางแล้วไปทำ ไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปให้คนอื่นต้องบังคับ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทำการทำงาน ทำงานไปด้วย สังเกตใจไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย ได้ความสงบด้วย ความสุขไปด้วย ได้ประโยชน์ไปด้วย เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไปงอมืองอเท้า ปฏิบัติธรรมทำอะไรก็ไม่เป็น มีแต่ความโง่เง่าเข้าบังคับ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ
เราต้องสร้างความขยันหมั่นเพียรอยู่กับการกับงานทุกอิริยาบถ อย่างน้อยๆ ก็ให้รู้จักรับผิดชอบกับตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนของเราให้ดี ก็จะล้นออกไปสู่สังคมสู่หมู่สู่คณะ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วมีแต่ความเกียจคร้าน ไปอยู่ที่ไหนก็เกียจคร้าน หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ จะต้องเป็นคนขยันทั้งภายนอก ทั้งภายใน ความขยันหมั่นเพียรจะติดตามตัวเราไป ไม่เก้อเขิน
มีแต่ความองอาจกล้าหาญ ไปอยู่ที่ไหนก็กล้าหาญ มองเห็นความถูกต้อง สิ่งไหนที่ไม่ดีเราก็รีบทำเสีย ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย เรามาอาศัยสถานที่อยู่ มาช่วยกันดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าห้องส้วมห้องน้ำเป็นอย่างไร ห้องน้ำสะอาดหรือไม่ ห้องไหนไม่สะอาดเราก็ทำความสะอาดเสียก่อน ห้องไหนไม่เต็มเราก็เปิดน้ำให้เต็ม
กว่าจะมีได้ กว่าจะเป็นให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขได้ ก็ต้องอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา ร่วมแรง ร่วมกาย ร่วมใจกันหลายฝ่าย กว่าจะทำขึ้นมาได้แต่ละชิ้น แต่ละอันนี้ทำให้เพื่อส่วนรวม เป็นหน้าที่ของทุกคน เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันดูแล ถ้าไม่ทำสมมติก็ลำบาก ห้องส้วมห้องน้ำไม่มีก็ลำบาก ที่พักที่อาศัยไม่มีก็ลำบาก โรงครัวทำกับข้าวกับปลาไม่มีก็ลำบาก
มีอะไรก็เลยช่วยกันดูแลรักษา อย่าไปเกี่ยงงอนกัน ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม มาปฏิบัติธรรมแล้วจะอยู่เฉพาะที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ ที่ไหนมียังไงก็เอามันอย่างนั้น ให้อยู่ที่ไม่ดี ก็มีความสุข อยู่ที่ดี ก็มีความสุข เราอนุเคราะห์ให้ได้เท่านี้ก็นับว่าเก่งแล้ว ว่าดีแล้ว เราก็ดีแล้วมี มาช่วยกันดูแลรักษา จะเอาแต่ธรรม แต่การกระทำไม่มี รักความสะอาด แต่ชอบทำสกปรก ทิ้งมันทั่ว ทิ้งมันเกลื่อน อย่างนั้นก็ใช้การไม่ได้
เราต้องพยายามเคี่ยวเข็นตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อย่าให้คนอื่นได้มาบังคับ ให้บังคับตัวเอง แก้ไขตัวเอง ให้รู้จักพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา อะไรควรหรือไม่ควร อยู่กับหลายคนเราก็พิจารณาเรา อยู่คนเดียวก็พิจารณาเรา อยู่กับส่วนรวมเป็นอย่างไร เรามีความเสียสละ เรามีความอนุเคราะห์เอื้อเผื่อแผ่หรือไม่ ก็ต้องพยายาม
ยิ่งบุคคลที่เป็นหลักชัยให้หมู่ให้คณะยิ่งลำบาก เหมือนกับพ่อกับแม่นั่นแหละเลี้ยงดูแลลูก กลัวลูกจะลำบาก อันนั้นก็ยังขาด อันนี้ก็ยังขาด ก็ต้องดิ้นรนแสวงหาให้ลูก พ่อแม่ก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ คิดพิจารณาเหมือนกันหมด บุคคลที่เป็นลูก บุคคลที่เป็นบุตรต้องพิจารณานะว่าเราทำหน้าที่ได้ดีแล้วหรือยัง หรือว่ามีแต่สร้างความเดือดร้อนมาให้ ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ก็ช่วยกันแก้ไข มีโอกาสแล้วช่วยกันมาสร้างอานิสงส์แห่งบุญร่วมกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสรรค์ต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ