หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 055
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 055
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ หยุดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติ พวกเราก็วางแล้ว ถึงได้เข้ามาถึงวัด
เข้ามาทําบุญ เข้ามาถวายทานกัน ทีนี้เราก็พยายามทําใจของเราให้สงบ แล้วก็เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เราต้องสร้างความรู้ตัวนี้แหละ สร้างความรู้ตัวตัวนี้แหละขึ้นมาใหม่ พยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ส่วนความคิด สติปัญญาทางโลก ทางสมมตินั้นมีกันเต็มเปี่ยม ที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากตัววิญญาณ ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก สารพัดเรื่อง บางทีก็เป็นกุศล หรือว่าอกุศล ซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาโลกิยะ’ อันนี้มีกันทุกคน บางคนบางท่านก็มีมาก บางคนบางท่านก็มีน้อย
การเกิดของใจ หรือว่าการเกิดของจิตส่งออกไปภายนอก การเกิดเขามีอยู่ ทีนี้ความหลงเขามีอยู่ เพราะว่าเขายังไม่ได้แยกได้คลายออกจากอารมณ์ ออกจากความคิด เขายังไม่นิ่ง เพียงแค่การเกิดนั่นก็คือความไม่เที่ยงของจิต เขาเกิดขึ้น เขาปรุงเขาแต่ง เขาส่งออกไปภายนอก ก็จะเข้าหลักของอริยสัจสี่ จิตส่งออกไปภายนอก ส่งออกไปก็ยังไม่พอ ส่งออกไปด้วยความทะเยอทะยานอยาก อยากโน่นอยากนี่ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา สารพัดอย่าง ความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก ก็ปิดกั้นตัวจิตเอาไว้เลยทีเดียว
ทั้งที่ตัวจิตก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ด้วยการเกิด เขาเกิด เขาก่อตัว เขาปรุง เขาแต่ง นั่นแหละความไม่เที่ยง ถ้าจิตของเราเกิดส่งออกไปภายนอกเขาจะนิ่งได้อย่างไร เขาจะสงบได้อย่างไร เราถึงได้มาเจริญสติ มาสร้างความรู้ตัว ตัวใหม่ สร้างความรู้สึกตัว รับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก รู้กาย รู้ใจ เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันเวลาจิตของเราเกิดก่อตัว หรือว่าความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หรือว่ากระตุ้นความรู้สึกที่การเดินให้ได้ทุกอิริยาบถ
ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิด ชอบเที่ยว ชอบปรุง ชอบแต่ง ถ้าเราอยากจะให้จิตของเราสงบ คลาย เราก็ต้องดับ ต้องละ ต้องฝืน บังคับให้เขาอยู่ในความสงบ แล้วก็เจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนจิตของเราตลอดเวลา จนกว่าจะสังเกตจิตของเราจะคลายออกจากอารมณ์ ออกจากความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
สังเกตจนจิตของเราคลายออก แยกออก รู้เท่าทัน แยก ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
สัมมาทิฐิปรากฏ เขาเรียกว่า ‘รู้แจ้งเห็นจริง’ เพียงแค่เปิดทาง ถ้าความรู้ตัวของเราไม่ตามทําความเข้าใจอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม หลายสิ่งหลายอย่างที่มาปิดกั้นดวงจิตเอาไว้ แม้แต่ตัวจิตก็ปิดกั้นตัวตนของเขาเอาไว้ ถ้ากําลังสติปัญญาของเราหาเหตุหาผลไม่เพียงพอ สติปัญญาของเราไม่แหลมคม ไม่เร็วไว ก็ยากที่จิตจะคลายออก ยากที่จิตจะนิ่งได้
ถ้าจิตนิ่ง จิตไม่เกิด จิตไม่เป็นทาสของอารมณ์ ทาสของความทะเยอทะยานอยาก จิตไม่หลงความคิด หลงอารมณ์ จิตไม่เกิด จิตนิ่ง หรือว่าจิตเที่ยง นิพพานเที่ยง จิตเที่ยง จิตที่ยังเกิด ยังวิ่ง ยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามเจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนเขา อันนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้า เป็นเรื่องของทุกคน
กลับกัน สมมติกับวิมุตตินี้จะกลับด้านกันเลยทีเดียว แต่ทั้งที่เขาก็อาศัยกันอยู่ เราต้องศึกษาให้ละเอียด กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างได้ต่อเนื่องหรือไม่ ความหมายของการเจริญสติ ลักษณะสติที่แท้จริงเป็นอย่างไร การควบคุมจิตเป็นอย่างไร การสังเกตจิตว่าจิตของเราขณะนี้ปกติ สงบ สะอาด สว่าง ทุกคนทั่วไปส่วนมากก็มีแต่เอาจิตไปควบคุมกาย ควบคุมวาจา ปฏิบัติกันอยู่ในระดับของสมมติของโลกิยะ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ
แต่เราต้องมาสร้างสติเข้าไปควบคุมจิตเข้าไปสังเกตจิต วิเคราะห์จิต หมั่นพร่ำสอนจิตให้คลายออกจากความหลง ดับความเกิด ละกิเลสออกให้หมดจด หนุนกําลังสติเข้าไปวิเคราะห์พิจารณา จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง จนจิตของเรารับรู้ตามสภาพความเป็นจริง พูดง่ายนะ แต่การลงมือทําจริงๆ นี่ยาก เพียงแค่การเจริญสติตั้งแต่เช้าขึ้นมา ความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง สำรวจจิตของเราได้ทุกอิริยาบถหรือไม่ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ตาก็ทําหน้าที่ดู หูก็ทําหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร เราต้องทําความเข้าใจ ตาหูจมูกลิ้น เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงใจของเรา ส่งเข้าไปถึงจิตของเรานั่นแหละ
จิตของเราเห็นรูปสวยๆ เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ผลักไส หรือว่าดึงเข้ามาหรือไม่ หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจในหลักธรรม เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียง ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติปัญญาก็จะคอยตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา ว่าจิตของเราสงบนิ่งปกติ ถ้าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสิ่งต่างๆ ก็เป็นเรื่องของปัญญา เข้าไปทําหน้าที่แทน ศึกษาให้ละเอียด
แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละได้เดินตามกัน แต่พวกเราจะทํา เดินตามได้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสภายนอก ทั้งมาจากภายนอก ทั้งเกิดขึ้นจากภายใน ทั้งกายเนื้อก็ปกปิดดวงใจเอาไว้ ความคิด อารมณ์ก็ปกปิดดวงใจเอาไว้ ความทะเยอทะยานอยาก ซึ่งเกิดจากตัวใจอีก ก็ปกปิดตัวของมันเอาไว้
ถ้าเราดับ เราสังเกต เราวิเคราะห์ เราคลาย เราดับ ลึกๆ ลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงฐานที่เขาก่อตัว ที่เขาเกิด เราดับขณะที่เขาก่อตัว มันก็จะไล่เข้าไปถึงต้นเหตุ พอหยุดระงับยับยั้งได้ ใจมันก็เผยตัวออกมา สติปัญญาของเราแหลมคมเท่าไหร่ ตัวใจมันก็ย่อมจะเผยตัวออกมาให้เราเห็น แต่ส่วนมากก็มีทําตามอําเภอใจ ทําตามอํานาจของกิเลสอยู่ตลอดเวลา อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับ ของสมมติมัน ก็อยู่เพียงแค่นั้น อยู่แค่ในการสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีกัน อันนี้ก็ยังดี ไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ก็ต้องพยายามทําความเข้าใจให้ชัดแจ้ง
ลักษณะสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่อง ถ้าบุคคลมีสติ มีปัญญา มีความรู้ พอที่จะทําความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลกได้ รู้ลักษณะการเจริญสติได้ อยู่คนเดียวก็ฝักใฝ่สนใจในการเจริญสติ สํารวจกาย สํารวจใจตัวเองตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียบพร้อมหรือไม่ ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น มีความจริงใจต่อตัวเราเอง มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน การฝึกหัดปฏิบัติ ลักษณะของศีลเป็นอย่างไร ลักษณะของสมาธิเป็นอย่างไร ความปกติ ความสงบเป็นอย่างไร เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจของเราให้ได้ ไปพร่ำสอนใจของเราให้ได้
สตินี้แหละเปรียบเสมือนกับครูบาอาจารย์คอยพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลา บางคนบางท่านก็ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้จัก ยังไปวิ่งให้แต่คนโน้นเขาคอยตรวจสอบตัวเองว่าเป็นอย่างไร ฉันเป็นอย่างไร ผมเป็นอย่างไร ธรรมของฉันไปอย่างไร มาอย่างไร ยังไม่รู้จักตรวจสอบตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เที่ยวไปให้คนโน้นเขาสอบอารมณ์ คนนี้เขาสอบอารมณ์ มันหลงอยู่ ยังหลงมากเลยทีเดียว ปฏิบัติธรรมมา 5 ปี 10 ปี 20 ปี ยังไปเที่ยวให้คนโน้นเขาตรวจสอบ คนนี้เขาตรวจสอบ
ในลักษณะของธรรมะ เราต้องตรวจสอบตัวเราเองตลอดเวลา ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ เราละกิเลสตัวไหนได้บ้าง ตัวไหนเราละได้ ตัวไหนยังเกิดอยู่ เราพยายามละ พยายามดับ เปรียบเทียบกับกาลกับเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่เราเข้ามาศึกษาค้นคว้า กิเลสของเราเบาบางลงไปบ้างหรือไม่ ความทุกข์มันคลายลงไปได้หรือไม่ สติปัญญาของเราเร็วไวขึ้นมาหรือไม่ เราต้องรู้ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแบบไม่รู้ธรรม ปฏิบัติแบบหลงๆ แบบโง่ๆ งมงาย
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีสติมีปัญญา อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ บริหารด้วยปัญญาล้วนๆ ทำใจของเราให้สะอาด ใจของเรายังเกิด ยังหลงอยู่ เราพยายามดับ พยายามละ ประคับประคองใจของเรา จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง จากวันเป็นเดือนเป็นปี จากหนึ่งนาที จากวินาที จากลมหายใจเข้าออก จนรู้ตัวทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนเป็นธรรมชาติ
ส่วนที่จะเป็น ส่วนที่จะเข้าถึงธรรมชาติได้ เราต้องรู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็สังเกตจนรู้จักลักษณะของจิต อาการของจิต แยกคลายออกจากกันได้ ถ้าแยกได้ กําลังสติของเราตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลยทีเดียวในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิตของเรา อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ท่านให้ละความอยาก ดับความอยาก ดับความเกิดนั่นแหละ
คลายความยึดมั่นถือมั่น ก็ดับความเกิด ดับทีนั้นทีนี้ มันก็เหือดแห้งไปๆ ตามดูขันธ์ห้า แล้วดูความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราให้ได้ทุกเรื่อง เราก็จะเข้าใจในเรื่อง อนิจจัง ทุกขังในขันธ์ห้า ในกายของเรา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นแหละใจของเราไปหลงตรงนี้ ทําให้เกิดอัตตาตัวตน กายสมมติก็มีอยู่แล้ว เราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ นอกจากจะหมดลมหายใจ เราถึงจะได้ทิ้งสมมติ เราถึงจะได้วางสมมติ แต่ให้เราวางด้วยสติ วางด้วยปัญญา แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจให้ชัดเจน งานภายนอกเราก็ทําได้ งานภายในเราต้องทําให้สําเร็จ
ส่วนมากจะลืมงานภายใน จะเอาแต่งานภายนอกอย่างเดียว นั่นแหละวิบากกรรมสมมติก็ยังปิดกั้นอยู่ แต่เราก็ต้องอาศัยทั้งสมมติ อาศัยทั้งวิมุตติ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ เราต้องทําความเข้าใจให้เรียบร้อยเสีย ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ขณะที่เรายังมีลมหายใจ เรายังอยู่กับสมมติ เรายังอยู่กับโลกธรรม เราต้องทําความเข้าใจ ให้เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ให้วางสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ทําหน้าที่ของสมมติให้ดี กายของเราแตกดับเมื่อไหร่นั่นแหละเราถึงจะได้วางก้อนสมมติจริงๆ เพราะว่าทุกคนก็เดินเข้าไปสู่สัจธรรมคือความเป็นจริงคือความตาย
ถ้าพูดถึงเรื่องของความตายแล้ว คนจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไปหรอก ถ้าถึงเวลาแล้วจะบังคับเอาไว้ ฉุดเอาไว้ก็ไม่อยู่ ก็ต้องได้ไป เราต้องเตรียมพร้อมเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจ หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ทํากายให้เป็นบุญ ทําวาจาให้เป็นบุญ ทําใจให้เป็นบุญ ดูทุกอิริยาบถจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา เราก็จะอยู่กับบุญ เราก็จะอยู่กับวัดตลอดเวลา อย่าพากันทิ้ง
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทําความเข้าใจกันเอานะ
เข้ามาทําบุญ เข้ามาถวายทานกัน ทีนี้เราก็พยายามทําใจของเราให้สงบ แล้วก็เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เราต้องสร้างความรู้ตัวนี้แหละ สร้างความรู้ตัวตัวนี้แหละขึ้นมาใหม่ พยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ส่วนความคิด สติปัญญาทางโลก ทางสมมตินั้นมีกันเต็มเปี่ยม ที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากตัววิญญาณ ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก สารพัดเรื่อง บางทีก็เป็นกุศล หรือว่าอกุศล ซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาโลกิยะ’ อันนี้มีกันทุกคน บางคนบางท่านก็มีมาก บางคนบางท่านก็มีน้อย
การเกิดของใจ หรือว่าการเกิดของจิตส่งออกไปภายนอก การเกิดเขามีอยู่ ทีนี้ความหลงเขามีอยู่ เพราะว่าเขายังไม่ได้แยกได้คลายออกจากอารมณ์ ออกจากความคิด เขายังไม่นิ่ง เพียงแค่การเกิดนั่นก็คือความไม่เที่ยงของจิต เขาเกิดขึ้น เขาปรุงเขาแต่ง เขาส่งออกไปภายนอก ก็จะเข้าหลักของอริยสัจสี่ จิตส่งออกไปภายนอก ส่งออกไปก็ยังไม่พอ ส่งออกไปด้วยความทะเยอทะยานอยาก อยากโน่นอยากนี่ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา สารพัดอย่าง ความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก ก็ปิดกั้นตัวจิตเอาไว้เลยทีเดียว
ทั้งที่ตัวจิตก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ด้วยการเกิด เขาเกิด เขาก่อตัว เขาปรุง เขาแต่ง นั่นแหละความไม่เที่ยง ถ้าจิตของเราเกิดส่งออกไปภายนอกเขาจะนิ่งได้อย่างไร เขาจะสงบได้อย่างไร เราถึงได้มาเจริญสติ มาสร้างความรู้ตัว ตัวใหม่ สร้างความรู้สึกตัว รับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก รู้กาย รู้ใจ เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันเวลาจิตของเราเกิดก่อตัว หรือว่าความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หรือว่ากระตุ้นความรู้สึกที่การเดินให้ได้ทุกอิริยาบถ
ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิด ชอบเที่ยว ชอบปรุง ชอบแต่ง ถ้าเราอยากจะให้จิตของเราสงบ คลาย เราก็ต้องดับ ต้องละ ต้องฝืน บังคับให้เขาอยู่ในความสงบ แล้วก็เจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนจิตของเราตลอดเวลา จนกว่าจะสังเกตจิตของเราจะคลายออกจากอารมณ์ ออกจากความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
สังเกตจนจิตของเราคลายออก แยกออก รู้เท่าทัน แยก ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
สัมมาทิฐิปรากฏ เขาเรียกว่า ‘รู้แจ้งเห็นจริง’ เพียงแค่เปิดทาง ถ้าความรู้ตัวของเราไม่ตามทําความเข้าใจอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม หลายสิ่งหลายอย่างที่มาปิดกั้นดวงจิตเอาไว้ แม้แต่ตัวจิตก็ปิดกั้นตัวตนของเขาเอาไว้ ถ้ากําลังสติปัญญาของเราหาเหตุหาผลไม่เพียงพอ สติปัญญาของเราไม่แหลมคม ไม่เร็วไว ก็ยากที่จิตจะคลายออก ยากที่จิตจะนิ่งได้
ถ้าจิตนิ่ง จิตไม่เกิด จิตไม่เป็นทาสของอารมณ์ ทาสของความทะเยอทะยานอยาก จิตไม่หลงความคิด หลงอารมณ์ จิตไม่เกิด จิตนิ่ง หรือว่าจิตเที่ยง นิพพานเที่ยง จิตเที่ยง จิตที่ยังเกิด ยังวิ่ง ยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามเจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนเขา อันนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้า เป็นเรื่องของทุกคน
กลับกัน สมมติกับวิมุตตินี้จะกลับด้านกันเลยทีเดียว แต่ทั้งที่เขาก็อาศัยกันอยู่ เราต้องศึกษาให้ละเอียด กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างได้ต่อเนื่องหรือไม่ ความหมายของการเจริญสติ ลักษณะสติที่แท้จริงเป็นอย่างไร การควบคุมจิตเป็นอย่างไร การสังเกตจิตว่าจิตของเราขณะนี้ปกติ สงบ สะอาด สว่าง ทุกคนทั่วไปส่วนมากก็มีแต่เอาจิตไปควบคุมกาย ควบคุมวาจา ปฏิบัติกันอยู่ในระดับของสมมติของโลกิยะ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ
แต่เราต้องมาสร้างสติเข้าไปควบคุมจิตเข้าไปสังเกตจิต วิเคราะห์จิต หมั่นพร่ำสอนจิตให้คลายออกจากความหลง ดับความเกิด ละกิเลสออกให้หมดจด หนุนกําลังสติเข้าไปวิเคราะห์พิจารณา จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง จนจิตของเรารับรู้ตามสภาพความเป็นจริง พูดง่ายนะ แต่การลงมือทําจริงๆ นี่ยาก เพียงแค่การเจริญสติตั้งแต่เช้าขึ้นมา ความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง สำรวจจิตของเราได้ทุกอิริยาบถหรือไม่ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ตาก็ทําหน้าที่ดู หูก็ทําหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร เราต้องทําความเข้าใจ ตาหูจมูกลิ้น เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงใจของเรา ส่งเข้าไปถึงจิตของเรานั่นแหละ
จิตของเราเห็นรูปสวยๆ เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ผลักไส หรือว่าดึงเข้ามาหรือไม่ หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจในหลักธรรม เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียง ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติปัญญาก็จะคอยตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา ว่าจิตของเราสงบนิ่งปกติ ถ้าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสิ่งต่างๆ ก็เป็นเรื่องของปัญญา เข้าไปทําหน้าที่แทน ศึกษาให้ละเอียด
แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละได้เดินตามกัน แต่พวกเราจะทํา เดินตามได้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสภายนอก ทั้งมาจากภายนอก ทั้งเกิดขึ้นจากภายใน ทั้งกายเนื้อก็ปกปิดดวงใจเอาไว้ ความคิด อารมณ์ก็ปกปิดดวงใจเอาไว้ ความทะเยอทะยานอยาก ซึ่งเกิดจากตัวใจอีก ก็ปกปิดตัวของมันเอาไว้
ถ้าเราดับ เราสังเกต เราวิเคราะห์ เราคลาย เราดับ ลึกๆ ลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงฐานที่เขาก่อตัว ที่เขาเกิด เราดับขณะที่เขาก่อตัว มันก็จะไล่เข้าไปถึงต้นเหตุ พอหยุดระงับยับยั้งได้ ใจมันก็เผยตัวออกมา สติปัญญาของเราแหลมคมเท่าไหร่ ตัวใจมันก็ย่อมจะเผยตัวออกมาให้เราเห็น แต่ส่วนมากก็มีทําตามอําเภอใจ ทําตามอํานาจของกิเลสอยู่ตลอดเวลา อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับ ของสมมติมัน ก็อยู่เพียงแค่นั้น อยู่แค่ในการสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีกัน อันนี้ก็ยังดี ไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ก็ต้องพยายามทําความเข้าใจให้ชัดแจ้ง
ลักษณะสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่อง ถ้าบุคคลมีสติ มีปัญญา มีความรู้ พอที่จะทําความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลกได้ รู้ลักษณะการเจริญสติได้ อยู่คนเดียวก็ฝักใฝ่สนใจในการเจริญสติ สํารวจกาย สํารวจใจตัวเองตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียบพร้อมหรือไม่ ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น มีความจริงใจต่อตัวเราเอง มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน การฝึกหัดปฏิบัติ ลักษณะของศีลเป็นอย่างไร ลักษณะของสมาธิเป็นอย่างไร ความปกติ ความสงบเป็นอย่างไร เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจของเราให้ได้ ไปพร่ำสอนใจของเราให้ได้
สตินี้แหละเปรียบเสมือนกับครูบาอาจารย์คอยพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลา บางคนบางท่านก็ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้จัก ยังไปวิ่งให้แต่คนโน้นเขาคอยตรวจสอบตัวเองว่าเป็นอย่างไร ฉันเป็นอย่างไร ผมเป็นอย่างไร ธรรมของฉันไปอย่างไร มาอย่างไร ยังไม่รู้จักตรวจสอบตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เที่ยวไปให้คนโน้นเขาสอบอารมณ์ คนนี้เขาสอบอารมณ์ มันหลงอยู่ ยังหลงมากเลยทีเดียว ปฏิบัติธรรมมา 5 ปี 10 ปี 20 ปี ยังไปเที่ยวให้คนโน้นเขาตรวจสอบ คนนี้เขาตรวจสอบ
ในลักษณะของธรรมะ เราต้องตรวจสอบตัวเราเองตลอดเวลา ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ เราละกิเลสตัวไหนได้บ้าง ตัวไหนเราละได้ ตัวไหนยังเกิดอยู่ เราพยายามละ พยายามดับ เปรียบเทียบกับกาลกับเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่เราเข้ามาศึกษาค้นคว้า กิเลสของเราเบาบางลงไปบ้างหรือไม่ ความทุกข์มันคลายลงไปได้หรือไม่ สติปัญญาของเราเร็วไวขึ้นมาหรือไม่ เราต้องรู้ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแบบไม่รู้ธรรม ปฏิบัติแบบหลงๆ แบบโง่ๆ งมงาย
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีสติมีปัญญา อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ บริหารด้วยปัญญาล้วนๆ ทำใจของเราให้สะอาด ใจของเรายังเกิด ยังหลงอยู่ เราพยายามดับ พยายามละ ประคับประคองใจของเรา จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง จากวันเป็นเดือนเป็นปี จากหนึ่งนาที จากวินาที จากลมหายใจเข้าออก จนรู้ตัวทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนเป็นธรรมชาติ
ส่วนที่จะเป็น ส่วนที่จะเข้าถึงธรรมชาติได้ เราต้องรู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็สังเกตจนรู้จักลักษณะของจิต อาการของจิต แยกคลายออกจากกันได้ ถ้าแยกได้ กําลังสติของเราตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลยทีเดียวในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิตของเรา อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ท่านให้ละความอยาก ดับความอยาก ดับความเกิดนั่นแหละ
คลายความยึดมั่นถือมั่น ก็ดับความเกิด ดับทีนั้นทีนี้ มันก็เหือดแห้งไปๆ ตามดูขันธ์ห้า แล้วดูความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราให้ได้ทุกเรื่อง เราก็จะเข้าใจในเรื่อง อนิจจัง ทุกขังในขันธ์ห้า ในกายของเรา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นแหละใจของเราไปหลงตรงนี้ ทําให้เกิดอัตตาตัวตน กายสมมติก็มีอยู่แล้ว เราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ นอกจากจะหมดลมหายใจ เราถึงจะได้ทิ้งสมมติ เราถึงจะได้วางสมมติ แต่ให้เราวางด้วยสติ วางด้วยปัญญา แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจให้ชัดเจน งานภายนอกเราก็ทําได้ งานภายในเราต้องทําให้สําเร็จ
ส่วนมากจะลืมงานภายใน จะเอาแต่งานภายนอกอย่างเดียว นั่นแหละวิบากกรรมสมมติก็ยังปิดกั้นอยู่ แต่เราก็ต้องอาศัยทั้งสมมติ อาศัยทั้งวิมุตติ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ เราต้องทําความเข้าใจให้เรียบร้อยเสีย ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ขณะที่เรายังมีลมหายใจ เรายังอยู่กับสมมติ เรายังอยู่กับโลกธรรม เราต้องทําความเข้าใจ ให้เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ให้วางสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ทําหน้าที่ของสมมติให้ดี กายของเราแตกดับเมื่อไหร่นั่นแหละเราถึงจะได้วางก้อนสมมติจริงๆ เพราะว่าทุกคนก็เดินเข้าไปสู่สัจธรรมคือความเป็นจริงคือความตาย
ถ้าพูดถึงเรื่องของความตายแล้ว คนจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไปหรอก ถ้าถึงเวลาแล้วจะบังคับเอาไว้ ฉุดเอาไว้ก็ไม่อยู่ ก็ต้องได้ไป เราต้องเตรียมพร้อมเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจ หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ทํากายให้เป็นบุญ ทําวาจาให้เป็นบุญ ทําใจให้เป็นบุญ ดูทุกอิริยาบถจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา เราก็จะอยู่กับบุญ เราก็จะอยู่กับวัดตลอดเวลา อย่าพากันทิ้ง
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทําความเข้าใจกันเอานะ