หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 040

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 040
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 040
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน​ ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเขาวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว​ เราได้ทำความเข้าใจกับใจของเราแล้วหรือยัง ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ วางกายของเราให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ หยุด ดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ฟังไปด้วยสำเหนียกไปด้วย

การสำเหนียก การน้อมรู้กายรู้ลมหายใจเขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ เราพยายามรู้ สร้างความรู้สึกตรงนี้แหละขึ้นมา แล้วพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่ามีความเพียร ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ส่วนใจของเรานั้น บางทีเขาก็ปกติ บางทีก็สงบ บางทีเขาก็ปรุงแต่งส่งไปภายนอก บางทีก็มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่ง ทำอย่างไรเราถึงจะรู้เท่าทันตรงนี้

เราต้องมาเจริญความรู้ตัวนี่แหละ เขาเรียกว่า ‘สร้างสติ’ พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง อย่าทำด้วยความอยากที่เกิดจากตัวใจ ถ้าใจเกิดความอยาก เราก็พยายามควบคุม พยายามสงบระงับยับยั้งเอาไว้ จนกว่าเราจะรู้ฐานของใจ รู้ฐานของความคิด ว่าเขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร

ส่วนอานิสงส์บุญบารมีทุกคนสร้างกันมาดี ฝักใฝ่สนใจ พากันสร้างกันมาดี ทำบุญให้ทานอยู่ในระดับของสมมติ แล้วก็ฝักใฝ่สนใจ แต่การเจริญสติมีน้อย แทบจะไม่ค่อยจะมี อาจจะสร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติได้เป็นช่วงๆ บางครั้งบางคราว ส่วนมากจะพลั้งเผลอ

ตราบใดที่เราไม่เจริญสติให้ต่อเนื่อง แยกรูปแยกนามไม่ได้ความพลั้งเผลอจะมาก ขณะเราสร้างอยู่ ความพลั้งเผลอก็ยังหลุดพลั้งเผลอไป เพราะว่าสภาพความคิดเก่า จิตเก่า อาการของความคิดเก่าๆ ตรงนั้น เราใช้เสียจนเกิดความเคยชิน ไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติ ที่เขาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น เรามาเจริญสติเข้าไปแก้ไข ไปปรับปรุง ว่าต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวด ความเพียรอย่างเต็มที่ แล้วก็รู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา ละความโลภ ละความโกรธ คลาย ถ้าแยกได้ถึงจะคลายได้ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ คลายความหลง

จะเข้าใจสำหรับบุคคลที่ฝึกฝนใจ ในการทำความเข้าใจ นอกนั้นก็ได้อยู่ในระดับของการทำบุญให้ทาน แล้วก็แม้แต่การทำบุญให้ทานเราก็อย่าไปทิ้ง เพราะเป็นพื้นฐานในการปล่อย ในการวาง ในการเจริญวิปัสสนาได้เป็นอย่างดี เราต้องให้มีครบบริบูรณ์ อะไรที่จะเป็นสิ่งที่ดี อะไรที่เป็นประโยชน์​ ให้เราช่วยกันทำ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาปุ๊บ เราสร้างความรู้ตัวที่การหายใจเข้าออกของเรา จะลุกจะก้าว เข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำภาระหน้าที่​ เราก็มีสติรู้กายรู้ใจ ว่าใจปกติ จะทำกับข้าวกับปลา เราก็รู้ว่าใจปกติ ไม่ให้ใจเกิดความยาก จะเดินเหินไปไหนก็ให้ใจรับรู้​ เอาใจเป็นฐานหลักไว้เสียก่อน เจริญสติเข้าไปรู้ฐานของใจให้ได้เสียก่อน จะทำอะไรก็ให้รู้ใจว่าปกติ รับรู้ในสิ่งที่เราทำ​ ถ้าเป็นอกุศลก็ละ ถ้าเป็นกุศลเราก็เจริญ แต่ไม่ให้ยึด

แต่เวลานี้เรายังไม่รู้ฐานของใจ​ ใจยังเกิดอยู่ ความคิดก็ยังมาปรุงแต่งใจอยู่ แม้แต่การเจริญสติ พวกเราก็ทำได้ลุ่มๆ ดอนๆ หรือว่าไม่ทำเอาเลย มีตั้งแต่ไปนึกไปคิดเอา เราก็ต้องพยายามฝึกฝนตนเอง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะแก้ไขตัวเราให้ได้เลย เราต้องแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนก็ได้ยินได้ฟังได้อ่าน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านมาเยอะต่อเยอะ

แต่เราต้องพยายามหัดสังเกต รู้วิธี รู้แนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้​ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการควบคุมเป็นอย่างนี้ กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้​ เพียงแค่เราทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ตากระทบรูปต้องมีความรู้ตัว รู้ว่ามีสติรู้ใจ ใจเกิดความยินดีหรือไม่ กายใจเกิดความยินร้ายหรือไม่ ผลักไสหรือว่าดึงเข้ามา

เราก็ต้องไปดูที่ใจ ฐานของใจ ถ้าใจเกิดความยินดีก็เรียกว่าใจเขาไปเสวย ถ้าใจไม่ยินดีเขาก็ผลักไส เราก็พยายามดับให้อยู่ในความสงบ ให้อยู่ในความปกติ เราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เราก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะรู้ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ จำแนกแจกแจงได้​ เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา

ชีวิตของเราเหมือนกับวงกลม หมุนวนเวียนเหมือนกับวงกลม ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ เราก็ตัดวงกลมออกได้เหมือนกับตัดวัฏฏะสงสาร แต่ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ตลอดได้ทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม สภาพจิตของแต่ละดวงนี้ก็แปลกนะ ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็จะเกิดอยู่นั่นแหละ เขาก็หาเหตุหาผลของเขาสารพัดอย่าง ในหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ให้เจริญสติเข้าไปคลายจิตออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ แยกรูปแยกนาม​ หมั่นพร่ำสอนใจ ละกิเลสออก จะเอาจะมีจะเป็นจะไป ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ

เป็นศาสนาที่มีปัญญา ศาสนาอยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ พุทธะคือผู้รู้ รู้ใจ รู้กาย รู้สมมติแล้วก็รู้วิมุตติ รู้โลกธรรม รู้รอบรู้ในกองสังขาร ร่างกายของเรานี้มันเป็นก้อนโรค แล้วก็เป็นโรคนั้นโรคนี้ แล้วก็เป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ ซึ่งมีวิญญาณมาอาศัยอยู่ซึ่งเป็นนาม​ ในส่วนร่างกายนี้ก็เป็นรูป ถ้าเราเจริญสติจำแนกแจกแจงชัดเจน เราจะรู้เห็นหมดเลยทุกสิ่งทุกอย่าง

รู้ในหลักของอริยสัจสี่ ความจริงอันประเสริฐ ขันธ์ห้าของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร ซึ่งเป็นกองๆ เป็นขันธ์ๆ ที่พระพุทธองค์บอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เหมือนกับมีเชือกอยู่เส้นเดียว มีอยู่ 5 เกลียว เรารู้ว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหนก็เหมือนกันหมด กายของเราก็มีอยู่ 5 ขันธ์ แต่เขารวมกันอยู่เราเลยมองเห็นอยู่เฉพาะอยู่ในภาพรวม เราต้องจำแนกแจกแจงออกให้ชัดเจน จนกว่าวิญญาณของเราจะรู้เห็นตามความเป็นจริง ดับความเกิดของเขา คลายความหลงได้นั่นแหละเราถึงจะไม่ได้กลับมาเกิดกัน

ตราบใดที่วิญญาณยังเกิดอยู่ เราพยายามมีศรัทธาน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเองลงไป ทั้งกำลังกายกำลังใจ แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เรามีความรับผิดชอบเต็มที่หรือไม่ เรามีความเสียสละเต็มที่หรือไม่ เรามีพรหมวิหาร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความจริงใจ​ มีสัจจะกับตัวเราหรือไม่ เราต้องพยายามพินิจพิจารณาหมั่นตรวจตราอยู่ตลอดเวลา ไม่คลาดคลาดสายตาของสติปัญญาของเราได้เลย

แต่เวลานี้การเจริญสติของพวกเรายังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ เราก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัยหรอก แสวงหาธรรมเราย่อมจะรู้ธรรม ไม่รู้ช้าก็ต้องรู้เร็ว แสวงหาโลกก็ย่อมรู้โลก แต่เราต้องทำความเข้าใจทั้งโลกทั้งธรรมนั่นแหละ เพราะว่าโลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน​ หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งก้อนโลก​ พยามนะ พยายามช่วยกันทำ วันนี้ฝนฟ้าก็ตกโปรยๆ คงจะตกทั้งวันละมั้งวันนี้ ดูท่าก็คงจะตกทั้งวัน

เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไปไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง