หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 022

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 022
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 022
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติ เจริญสมาธิให้มีให้เกิดขึ้นในใจของพวกเราทุกคน นั่งตามสบายกันนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หยุดดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ ดับไม่ได้ ก็ให้หยุดระงับยับยั้งเอาไว้ ด้วยการเจริญอานาปานสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดระงับลงไป กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’ เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ เราก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกต ขาดการสร้างขึ้นมา มีแต่จะไปนึกเอาไปคิดเอา แสวงหาแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม ไปเจริญสติ แต่ก็ไม่รู้จักสติ

สติรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา เราก็สร้างให้ต่อเนื่อง ใจไม่สงบ เราก็พยายามทำให้สงบ ใจเกิดความกังวล เกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความลังเล เราก็พยายามใช้สมถะเข้าไปดับ ด้วยการกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกของเรา ให้เกิดความเคยชิน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร พากันปล่อยปละละเลย อยากจะได้แต่บุญ อยากจะได้แต่ธรรม ความอยากก็เลยปิดกั้นเอาไว้หมด ในหลักธรรมนั้นท่านให้ละความอยาก ละความหวัง แล้วก็เจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจ

ในชีวิตของเรา การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็นับว่าเป็นบุญ เป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ของทุกคน แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่ ทำไมถึงพูดว่ายังหลงอยู่ ถ้าไม่หลงก็คงไม่เกิด อันนี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็หลงอยู่ในภพของมนุษย์ ซึ่งอยู่ในกายก้อนนี้ มาหลงอยู่ในกายก้อนนี้ ทีนี้พระพุทธพระองค์ถึงได้ค้นพบสัจธรรมของชีวิต ถึงได้เอามาเปิดเผยว่ากายก้อนนี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง วิญญาณก็มาสร้างภพ สร้างชาติ แล้วก็มายึดมาติด แล้วก็มาเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส ท่านให้ทำลายกายก้อนนี้ด้วยสติ ด้วยการเจริญสติ ด้วยการเจริญปัญญา

การแยกรูปแยกนาม อะไรคือรูป อะไรคือนาม การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของอาการของจิต ตัววิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร ทำไมถึงเกิด นี่แหละส่วนมากก็วิญญาณก็จะปิดกั้นตัวของเขาเอง เพราะว่าเขายังชอบคิด ชอบเที่ยว ชอบปรุง ชอบแต่ง แล้วก็หลงอารมณ์เป็นทาสของอารมณ์ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่ามาแต่เดิม คือความคิด คืออารมณ์ หรือว่ากองสังขารนี่แหละ

พระพุทธพระองค์ท่านถึงให้เจริญสติ เพื่อที่จะหัดเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ ดูรู้ลักษณะของจิตของเรา คลายจิตของเราออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ซึ่งเป็นส่วนนามด้วยกัน แล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเห็นการเกิดการดับ ซึ่งท่านเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้าของเรา แต่คนทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร อยากจะเอาแต่บุญ อยากจะทำแต่บุญ อันนี้ก็เป็นอานิสงส์ของทุกคนอยู่ ไปปฏิบัติธรรมที่โน้นบ้าง ไปปฏิบัติธรรมที่นี่บ้าง กับอาจารย์องค์โน้นบ้าง กับอาจารย์องค์นี้บ้าง อันนี้เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจหรือไม่ เราจะเดินถูกทางหรือไม่ จะเดินตรงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราที่จะเข้าไปวิเคราะห์ตรงนั้น ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่นก็ไม่ดี ไปอยู่ที่นี่ก็ไม่ดี อันนี้ใจของเราไม่ดี

เราก็ไปมอง ไปเพ่งโทษตั้งแต่ภายนอก ในหลักธรรมแล้วท่านให้เพ่งโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง ใจของเรามีความสงบ ใจของเรามีความปกติ ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความลังเล กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ เราต้องพยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นกับเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีสัจจะมีความเพียรในตัวของเรา มีความจริงใจกับตัวเราเองหรือไม่ การประพฤติวัตร การปฏิบัติธรรม ปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากจิตของเราให้มันหมด ลักษณะของจิต ลักษณะของใจ ที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร พวกท่านเคยวิเคราะห์กันหรือไม่

เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดแก้ไข หัดปรับปรุง แล้วก็พยายามสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้น อย่างสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันไม่มี เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง เราก็รู้จักเอาไปใช้ แต่บางคนบางท่านไปมั่นหมายเอาตัวจิต เอาตัวจิต เอาตัวใจว่าเป็นสติ ว่าเป็นปัญญา อันนี้ก็เป็นสติปัญญาอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของโลกิยะ จิตแสวงหาธรรม จิตแสวงหาจิต จะเจอได้อย่างไรเราต้องมาเจริญสติเข้าไปแสวงหาจิต รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุ เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักวิเคราะห์ รู้ไม่เท่าทัน เราก็เริ่มใหม่ เริ่มอยู่บ่อยๆ ทำความเข้าใจอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็วถ้าเรามีความขยัน อย่าพากันเกียจคร้าน พยายามพากันสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาเราได้ทำบุญให้กับตัวเราแล้วหรือยัง ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เก็บตายของเราแล้วหรือยัง เราก็ต้องพยายามดูรู้อยู่ภายในใจของเราตลอดเวลา มองบน มองล่าง มองลงกลางใจของเรา ว่าใจของเราแต่ละวัน แต่ละนาที แต่ละวินาที ทุกขณะลมหายใจเข้าออก

เราต้องพยายามทำความหมายคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ปัจจุบันธรรมในทางธรรมคือทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ท่านถึงเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง ลักษณะของธรรม อะไรคือธรรม ก็ตัววิญญาณนั่นแหละคือตัวธรรม เราไม่ค่อยจะรู้ที่อยู่ของเขา ส่วนมากก็เขาเกิดแล้ว ไปร่วมกับอาการของความคิดแล้ว เราถึงรู้ คิดก็รู้ทำก็รู้ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมจริงๆ แล้ว เราต้องคลาย ต้องแยก ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เพียงแค่แยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฐิ ความเห็นถูกต้องในอริยมรรคในองค์แปด เห็นถูกต้องยังไม่เพียงพอ เราก็ต้องตามทำความเข้าใจอีก ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เราก็จะเข้าใจ รอบรู้ในกองสังขารในขันธ์ห้าของเรา

รอบรู้ในกองสังขารในขันธ์ห้าของเราก็ยังไม่พอ เราต้องมาละกิเลสที่จิตอีก ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ความโลภ ความโกรธ เพียงแค่คลายความหลง แล้วก็มาละกิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้มันหมด แล้วก็ดับความเกิดของจิตอีก จิตเกิดเท่าไรเราก็ดับ หยุด หนุนกําลังสติปัญญาเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปพิจารณาหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนจิตของเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นอย่างไร ถ้าประพฤติวัตรปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติธรรม ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาจนเป็นธรรมชาติในการดู ในการรู้ จนไม่ได้ฝึก

ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะมีการพลั้งเผลอ จะพลั้งเผลออยู่แล้ว เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง จะไปเที่ยววิ่งหาธรรมที่นู่นบ้าง หาธรรมที่นี่บ้าง ไม่ได้ไปหาอยู่ที่ใจของตัวเอง มันจะเจอได้อย่างไร ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็หมั่นวิเคราะห์ใจของเรา รู้ไม่เท่าทัน เราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ แต่ละวันๆ ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง สักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราทำความเข้าใจได้หรือไม่ เราละได้หรือไม่ มันก็ไม่มีอะไรมากเลย ขอให้เรามีศรัทธา แล้วก็เจริญสติให้รู้แจ้งเห็นจริง เอาปัญญานำหน้า เราไม่อยากจะถึงก็ต้องถึง เพราะว่าการกระทำของเรามี การละของเรามี การทำความเข้าใจของเรามี การดับของเรามี รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุ เราก็ดับเอาไว้เสียก่อน หยุดเอาไว้เริ่มใหม่ ไม่ต้องไปลังเล ไม่ต้องไปสงสัยอะไร ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ อย่าเพิ่งเอาความคิด ทิฐิมานะของเราเข้ามาโต้แย้ง เราเอาปัญญาของพระพุทธองค์เสียก่อน

ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้ว จิตคลายออกจากอารมณ์ คลายออกจากความคิดแล้ว เราก็จะเข้าใจในคำสอนของท่าน เข้าใจในคำสอน คำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ‘นิวรณธรรม’ เป็นอย่างไร ‘อริยสัจ’ เป็นอย่างไร เราจะรู้ด้วย เข้าถึงด้วย เห็นด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย เราละกิเลสออกให้หมดจากจิตของเราได้ด้วย เราจะมีความเพียรได้เต็มที่หรือไม่ นี่แหล่ะ อย่าพากันประมาท จงพากันขยันหมั่นเพียร อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ภายในอย่างเดียว เราต้องทำความเข้าใจกับโลกด้วย โลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร เราต้องดูให้ละเอียดทุกอย่าง อย่าให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราได้เลย เราก็จะหมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์

พยายาม อย่าพากันประมาท พยายามเดิน ค่อยๆ เดิน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขปรับปรุงตัวเรา มองโลกในทางที่ดี คิดดีอยู่ตลอดเวลา ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข ไม่ใช่ไปแสวงหาธรรมที่นู่นที่นี่ หาไม่ถูกที่ก็ไม่เจอ เราพยายามค่อยหา ค่อยเดิน เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา พึ่งตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ลักษณะของการเจริญสติ คำว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ นี้เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน ลักษณะของจิตเขาเกิดอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ลักษณะอาการของจิต หรือว่าอาการของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ท่านถึงบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ทำไมถึงหนัก บุคคลที่แยกรูปแยกนามไม่ได้ ยังหลงอยู่ ถ้าแยกรูปแยกนามได้ ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจอีก ให้ได้รู้ทุกเรื่อง เดินวิปัสสนาเข้าสู่ปัญญาวิปัสสนาภูมิ ทำความเข้าใจให้ละเอียด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดละออกให้มันหมด มองเห็นหนทางเดิน เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุด ทำไมถึงว่าทันสมัยที่สุด เพราะว่าทันสมัยอยู่ปัจจุบัน ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่ว่าปัจจุบันในทางโลก ทุกศาสนาเป็นศาสนาที่ดีหมด ถ้าจิตของเราดีแล้ว ศาสนาไม่เสื่อม ศาสนายังคงดำรงอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่เราทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเราทำความเข้าใจไม่ถูกต้องก็ยิ่งห่างเหิน ยิ่งห่างไกล จะปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็ห่างไกล ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็อยู่กับศาสนา เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาไว้ที่ใจของเรา ใจของเรานั่นแหละเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจของเรานั่นแหละได้เสวย ได้เสวยสุข มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข

อย่าพากันปิดกั้นตัวเอง จงพยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ทุกอย่างในชีวิตประจำวันของเรา มีไม่มากเลย อยู่ในกายก้อนนี้ ทีนี้การสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในระดับของวิมุตติ เดินให้ถึง ขยันหมั่นเพียร ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร ขัดเกลากิเลสความอยาก แม้แต่นิดเดียวที่เกิดขึ้นจากตัวใจของเรา เราก็รู้จักดับ รู้จักละ แม้แต่การเกิด การปล่อย การวาง การแยกรูปแยกนาม ถ้าเราไม่รู้จุดหมายปลายทาง ถ้าเราไม่รู้ต้นเหตุ ถ้าเราแยกไม่ได้ เราก็ไม่ได้ปลง ไม่รู้จักจุดปลง ถ้าเราแยกได้ เราก็รู้จักจุดปลง จุดวาง

มีความสุข กิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา จะเล่นงานเรา เราก็พยายามทำความเข้าใจ พยายามละ หมั่นแก้ไขตัวเรา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าไปพลาดโอกาส อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา เรามีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก อย่าไปคิดว่าเราไม่มีเวลา มองเราให้มาก แก้ไขเราให้มาก เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องของเราทั้งนั้น ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาหนทางดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหาหนทางหลุดพ้น อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา

เมื่อคืนนี้ก็เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญในทางพุทธศาสนา เป็นวันที่พระพุทธพระองค์ท่านได้แสดงปฐมเทศนา แล้วก็เป็นวันที่มีพระรัตนตรัยครบองค์สาม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นในโลก แล้วก็แผ่ไพศาลมาก็จนกระทั่งถึงยุคของพวกเรา พวกเรามีโอกาสได้เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา แล้วก็อย่าพากันปล่อยทิ้งไป พยายามน้อมนำคำสอนของท่านมาไว้ในใจของพวกเรา มีการละกิเลสเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็แสวงหาธรรม แสวงหาที่โน้นบ้าง ทีนี้บ้าง ก็เป็นสิ่งที่ดี ครูบาอาจารย์ท่านก็แนะนำพร่ำสอนในทางที่ดีทุกองค์นั่นแหละ ถ้าประพฤติวัตรปฏิบัติขัดเกลากิเลส ท่านก็แนะนำพร่ำสอนพวกเราให้เดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราอาจจะเดินไม่ถึง เราอาจจะรับไม่ได้ เพราะว่าสภาวะวิบากกรรมของเรายังไม่ถึงเวลานั้น เราก็พยายามสร้างบารมีของเราไป สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าอานิสงส์ของเราเต็ม อยู่คนเดียวก็ต้องรู้

ถ้าเราสร้างบารมีได้ถูกต้อง ถ้าเราแสวงหาธรรม แสวงหาธรรมย่อมจะรู้ธรรม แสวงหาโลก เราย่อมจะรู้โลก บุคคลที่รู้แล้ว โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่ รูปกับนามก็อาศัยกันอยู่ อัตตากับอนัตตาก็อาศัยกันอยู่ วิมุตติกับสมมติก็อาศัยกันอยู่ แต่เรารู้ด้วยปัญญา ละด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญา ดำเนินชีวิตด้วยปัญญาล้วนๆ ศาสนาเป็นศาสนาที่อยู่ด้วยปัญญา ที่รู้เหตุรู้ผล รู้ความถูกต้อง อะไรผิด อะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน เราก็พยายามดำเนินให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย

แต่ละวันตื่นขึ้นมา จิตหรือว่าใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง จิตที่เกิดส่งออกไปภายนอกนั้นก็ยังไม่พอนะ เขายังหลงความคิด หลงอารมณ์อีก เป็นทาสของกิเลสอีก เราละได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ยิ่งเราสังเกตดูรู้เห็นใจของเราคลายออกจากความคิดได้นั่นแหละ เราก็จะมองเห็นทาง แต่ส่วนมากก็น้อมกายไปฝึกหัดปฏิบัติ ดับได้บ้าง ใจสงบบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ทิ้งขว้างไป ไม่สนใจ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เรายิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ อย่าทำด้วยความอยากที่เกิดจากจิต เกิดจากอาการของขันธ์ห้า จงพยายามเพียรด้วยสติ เพียรด้วยปัญญา เน้นลงอยู่ที่กายของเรา กายของเรานี่แหละเป็นสนามรบ มีโอกาสขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็หมดโอกาส มีลมหายใจอยู่เราก็ต้องพยายามสร้างความเพียรจนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงฝั่ง จนไม่ได้ทำ

ใหม่ๆ ความรู้ตัวไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา เรารู้จักเอาไปใช้ เรารู้ไม่เท่าทันจิต เวลาจิตเกิด ความคิดเกิด เรารู้ไม่เท่าทัน เราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ให้กําลังสติของเรามีมากขึ้นๆๆ จนกว่าเราจะรู้เท่าทันว่าการเกิดของจิต กับการเกิดของอาการของจิต ความคิดผุดขึ้นมา จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรารู้เห็นทันตรงนั้นปุ๊บ จิตเค้าจะดีดตัวออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ซึ่งเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เริ่มต้นของวิปัสสนา อย่าไปนึกว่าจะไปเจริญวิปัสสนาที่นู่น ไปเจริญวิปัสสนาที่นี่ ถ้าไม่ได้เจริญสติเข้าไปสังเกต ไปแยกได้ อย่าไปพูดอย่างนั้น

เราต้องพูดว่าไปเจริญสติ ไปฝึกฝนตนเอง ไปแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง ถ้าเราเห็นตรงนี้ ก็ตามทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก นี่แหละคนเราทั่วไปทำไม่ต่อเนื่อง ค้นคว้าไม่ต่อเนื่อง ก็เลยไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที ก็เลยเที่ยวขึ้นลงๆ ไปปฏิบัติที่ไหนก็เลยว่าไม่ก้าวหน้า จะไปก้าวหน้าได้อย่างไรล่ะ มันทำด้วยความอยากที่เกิดจากกิเลส จิต ตัวจิตที่วิ่งที่ดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา การหยุด การระงับยับยั้งก็ไม่มี การดับก็ไม่มี มีแต่จิต ขันธ์ห้าก็ปิดบังอำพราง แม้แต่ตัวจิตของเราก็ยังหลอกจิต หลอกตัวเองอยู่ตลอด แม้แต่จิตวางแล้ว คลายแล้ว เขาก็ยังหลอกด้วยความว่างก็มี หลายสิ่งหลายอย่างที่ปกปิดเอาไว้ กายเนื้อก็มาปกปิดดวงจิตของเราเอาไว้ ความคิด อารมณ์ก็มาปกปิดดวงจิตของเราเอาไว้ ตัวจิตของเราก็ยังหลอกจิตอีก

เราต้องเจริญสติให้แหลมคม ปัญญาต้องละเอียด หมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา จนเขายอมรับความเป็นจริง รู้เห็นตามความเป็นจริง เขาถึงจะยอมปล่อย เขาถึงจะยอมวาง ถ้าไม่อย่างนั้นเขาไม่ปล่อยไม่วาง เพราะว่ากว่าจะละขันธ์ห้าได้ ละกิเลสได้นี่ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร มีความขยันขัดเกลากิเลสออกจากจิต จากใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็พยายามเจริญพรหมวิหารควบคู่กันไปด้วย ใจของเรามีความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ใจของเรามีความโลภ เราพยายามละความโลภด้วยการให้ทาน ด้วยการเอาออก ทานระดับของสมมติ

ลึกลงไปถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ เราก็ทานระดับของวิมุตติให้หมดจด มีเป็นขั้นเป็นตอน หลายชั้น หลายขั้น หลายตอน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดปกปิดเอาไว้ ไม่เหลือวิสัยสำหรับบุคคลที่มีความเพียร จะไปกล่าวโทษคนโน้น กล่าวโทษคนนี้ อย่าไปเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ เราพยายามเพ่งโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ว่าเราเป็นบุคคลเช่นไร อุปนิสัยจิตใจของเราเป็นอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร เราจะเอาธรรมะข้อไหนมาแก้ไขเรา เราจะเอาความรู้ตรงไหนเข้ามาใช้ เราก็จะได้รู้จักดำเนินชีวิตของเรา อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความเจริญ ถ้ารู้จักบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา

ธรรมะนั้นมีอยู่ทุกที่ ไม่ใช่ว่าไม่มี มีอยู่กับทุกคน จะเป็นธรรมฝ่ายดำ ธรรมฝ่ายขาว เป็นกุศลหรือว่าอกุศลก็เป็นธรรม ดีก็เป็นธรรม ชั่วก็เป็นธรรม ละชั่ว เจริญความดี แต่ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด ทำให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ให้รีบทำ อย่าว่าไม่ทำ ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่ทำงานก็เป็นวัด

ถ้าเรามีการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจ หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ในระดับของโลกิยะ ในระดับของสมมติ ลึกลงไปถ้าเรารู้จักใจของเรา คลายออกจากอาการของใจได้แล้ว ในระดับของวิมุตติ เราก็จะได้รู้ว่าใจของเราเกิด รู้ว่าใจของเราสงบ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร อยู่กลางโรงหนัง กลางตลาด ก็ต้องให้ใจของเราสงบ ปราศจากกิเลส ปราศจากการเกิด

บางครั้งบางคราวใจของปุถุชนคนทั่วไปนั้นยังวิ่ง ยังเกิดอยู่ ถึงจะพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่ตราบใดที่ใจยังเกิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา เราพยายามหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ อดทนอดกลั้น ใจนี้ก็แปลกนะ ถ้าไม่ได้ฝึกหัด ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ขัดเกลาเขาแล้ว เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งเกิดด้วย หาเหตุหาผลด้วย สารพัดอย่าง ชอบเข้าข้างตัวเอง ไม่ชอบเข้าข้างตัวเอง หลอกลวงตัวเองตลอดเวลา แล้วขันธ์ห้าก็มาหลอกอีก มาปิดเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ จนพอกพูนจนคลายออกยาก บุคคลที่จะคลายออกง่าย

ต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละอย่างยิ่งยวด เป็นบุคคลที่มีความขยันอย่างยิ่งยวด มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีอยู่ตลอดเวลา เราก็จะเข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ หมดความสงสัย หมดความลังเล มีแต่จะเดินหน้าประหัตประหารกิเลสออกจากจิตจากใจให้มันหมดจด เราละกิเลสได้ระดับไหน ละได้มาก ละได้น้อย ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ส่วนมากกิเลสหยาบๆ จะไม่ค่อยเจอกัน กิเลสละเอียดนั่นแหละ ความคิดเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละเขาเกิดอยู่แต่ละวัน เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง

ความอยาก ไม่ว่าอยากในรูป อยากในรส อยากในกลิ่น อยากในเสียง เราก็ต้องทำความเข้าใจหมดทุกเรื่อง ทำความเข้าใจในภาระหน้าที่การงานในสมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะว่ากายของเราก็คือก้อนสมมติ เราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจแล้วก็อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ แต่ไม่ให้ยึดติดสมมติ โน้นล่ะหมดลมหายใจนั่นแหละ เราถึงจะได้วางสมมติ แต่ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราวางด้วยสติ วางด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ รู้เห็นตามความเป็นจริง อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข เห็นแล้วก็ภูมิใจ เห็นญาติโยมฝักใฝ่ในบุญ เห็นญาติโยมฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดี

เมื่อคืนนี้ก็เป็นวันอาสาฬหบูชา ญาติโยมก็พากันมาประพฤติ มาปฏิบัติ มาร่วมเวียนเทียนก็เรือนหมื่น วัดของเราก็คับแคบลงถนัดตา ต่อไปในวันข้างหน้าก็คงจะมีมามาก มามากมาย มาเถอะมาบ้านเรา มีโอกาสมาสร้างบุญร่วมกัน มาสร้างอานิสงส์ร่วมกันให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ ณ สถานที่แห่งนี้หลวงพ่อก็จะพาทำให้เป็นแหล่งบุญใหญ่สำหรับทุกคน ใครเข้ามาแล้วก็มีแต่ความสุขความสงบ ความร่มรื่นร่มเย็น มีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในวัด

องค์พระบรมสารีริกธาตุก็ได้อัญเชิญจากส่วนที่ท่านเสด็จมา ได้รับความอนุเคราะห์ ได้รับความเมตตาจากคุณลุงทองดี ที่ท่านได้มอบมาไว้ให้กับทุกคนได้สักการะบูชา ได้กราบไหว้สักการะบูชา คุณลุงทองดีท่านก็เป็นบุคคลที่มีบุญมาก คงจะมีอานิสงส์เก่าบุญเก่าที่ท่านได้รักษาบูชา และก็เป็นคนดูแลเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งที่บ้านท่านนี้พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมามากมายจริงๆ นั่นแหละคงจะมีอานิสงส์เก่าบุญเก่าของท่านตรงนั้น พระบรมสารีริกธาตุถึงได้เสด็จมา และท่านก็ได้อนุเคราะห์เมตตาอัญเชิญแบ่งพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน ณ สถานที่แห่งนี้

หลวงพ่อถึงได้ให้ทุกคนได้กราบได้ไหว้ แล้วก็ให้ได้สรง ก็ขอเชิญญาติโยมทุกคนมา มีโอกาสก็มากราบไหว้ มาสรงพระบรมสารีริกธาตุกัน แล้วก็พระพุทธรูปหยกก็มีมาในสถานที่แห่งนี้ทั้ง 3 องค์ใหญ่ๆ ก็เกิดจากอนุภาคแห่งบุญของทุกคน อนุภาคแห่งบุญของญาติโยมที่ท่านได้มาสร้างถวายเอาไว้ให้เป็นที่สักการะ ให้เป็นที่บูชากัน ก็เป็นสิ่งที่ดีซึ่งเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า เพียงแค่ได้มาเห็น ได้มากราบมาไหว้ จิตใจก็มีแต่อิ่ม ความปีติ ความสุข

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ เราก็จะดับทุกข์ได้ ละทุกข์ได้ ในขั้นสูงขึ้นๆ ไป อยู่ในระดับบุญของโลกิยะ ในระดับบุญของสมมติ ที่นี่ก็เต็มเปี่ยม กระทั่งองค์หลวงปู่ใหญ่ท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ ทำไมถึงว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าอนุภาคแห่งบุญของทุกคนที่เดินมาสร้างร่วมกัน ด้วยแรงจิตศรัทธาที่บริสุทธิ์ และก็เหล่าวิญญาณของเรา เทวดาเรา เทพทั้งหลายก็มาสิงสถิตอยู่หน้าสถานที่ตรงนั้น ท่านก็คอยอนุเคราะห์ให้อยู่ตลอดเวลา แต่เราก็อย่าพากันประมาท แต่ก็ยังไม่ใช่หนทางดับทุกข์ ยังอยู่ในระดับของบุญของโลกิยะ

สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ เราก็ต้องเจริญตามคำสอนของพระพุทธองค์ ทำความเข้าใจให้มีให้เกิดขึ้น ให้แจ้งแก่ใจของเรา ว่าใจของเราไปอย่างไร มาอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงหลง ทำไมใจของเราถึงเกิดเป็นทุกข์ อะไรคือรูป อะไรคือนาม การเดินปัญญาวิปัสสนาแยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจ เขาทำกันในลักษณะอย่างไร ความหมายของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปใช้

ใหม่ๆ เราก็ต้องขยันหมั่นเพียร ต่อไปในวันข้างหน้าเราละกิเลสได้ ทำความเข้าใจได้ ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ได้ สติ สมาธิ ปัญญาเขาก็จะรักษาเรา เราจะไม่ได้รักษายากเลยนะ เขาก็เรียกว่า ‘ธรรมรักษา’ ธรรมจะรักษาเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใหม่ๆ ใจของเราไม่เป็นธรรม เราต้องสร้างให้เป็นธรรม ใจของเราไม่สงบ เราก็ต้องพยายามทำให้สงบ ใจของเรายังมีกิเลส เราก็พยายามละกิเลส รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุแล้วก็พยายามระงับยับยั้งเอาไว้

ให้เชื่อตามคำสอนของพระพุทธองค์และก็ประพฤติปฏิบัติตาม ให้มีให้เกิดให้แจ้งแก่ใจของเราจริงๆ ทิฐิมานะต่างๆ ก็จะคลายไปหมด ก็จะเหลือแต่สติปัญญาที่ถูกต้อง เอาความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง เข้าข้างคนอื่น มีวิหารธรรมคือเครื่องอยู่คือความว่าง ความว่างนั่นแหละคือเครื่องอยู่ของจิต จิตจะอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ อยู่ด้วยความว่าง มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง จิตของเราว่าง เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของว่างนั่นแหละความว่างนั่นแหละคือนิพพาน ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก นิพพานก็อยู่ที่ใจของเรานั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็มาอยู่ที่ใจของเรานี่แหละ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่ที่ใจของเรานี่แหละ พยายามทำกัน ค่อยเดินค่อยทำ ถ้าอานิสงส์เต็มก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง

เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราต้องหมั่นดูแล หมั่นให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้ฝุ่นเขา ถึงเวลาแล้วเขาก็จะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผล เราก็ต้องได้ ขอให้เราทำให้ถูกวิธี ถึงจะเป็นบุคคลที่เข้าถึงพระรัตนตรัยที่แท้จริง ไม่ใช่ชาวพุทธที่หลงงมงาย นับถือแต่เปลือก นับถือแต่กระพี้ เราต้องพยายามให้เข้าถึงแก่น น้อมนำแก่นมาไว้ที่ใจของเรา เข้าให้ถึงคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าให้ถึงความหมาย แล้วก็คำสอนของพระพุทธองค์มาไว้ที่ใจของเรา ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข ความเจริญ

เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงประสบแต่ความสุขความเจริญกันนะ น้อมนำเอาธรรมะของพระพุทธองค์ไปประพฤติไปปฏิบัติไปขัดเกลาตัวเราเอง เราถึงจะไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่าเป็นสัตว์ที่แสนประเสริฐที่สุด ทำความเข้าใจกับศาสนาได้ให้ถึงจุดหมายปลายทาง ก็ขอเจริญธรรมกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง