หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 041
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 041
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราขาดตกบกพร่องอะไร เราก็จะได้รีบแก้ไขตัวเราเอง แก้ไขได้ช้า แก้ไขได้เร็ว แก้ไขขณะอยู่ปัจจุบัน เราก็ต้องพยายามรีบทำ รีบสร้างขึ้นมา การเจริญสติด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง อยู่กับสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ฝึกให้เกิดความเคยชิน ให้เกิดความชำนาญ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสนใจ อาจจะรู้อยู่ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เราต้องพยายามรู้ให้ต่อเนื่อง การรู้ลมหายใจนี้เขาเรียกว่ามีสติอยู่กับกาย ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันอยู่กับกาย ใจของเราจะเกิด จะก่อตัว ใจของเราเกิดความโกรธ ความโลภ ความยินดียินร้ายต่างๆ เรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน รู้เห็นลักษณะอาการของใจ เราก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ ความคิดผุดขึ้นมาเมื่อไหร่ ใจกับอาการของความคิดมันเข้าไปรวมกันเมื่อไหร่ ถ้าเราสังเกตเห็น เขาก็จะคลายออกจากกัน ใจก็จะพลิก เขาเรียกว่า ‘หงาย’
ทางหลักธรรมเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทาง ความรู้ตัวของเราจะตามดู ตามรู้ ตามเห็น เราก็จะเห็นการเกิดการดับของอาการของความคิด ซึ่งเป็นเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอาการของขันธ์ห้า อันนี้เป็นรายละเอียดของกายของเรา แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรายังไม่ได้สร้างเลย ก็เลยจะเข้าไปรู้เท่าทันตรงนั้นก็ยากอีก มันยากหลายอย่างที่สลับซับซ้อนถ้าเราไม่มีความเพียรในการเจริญสติ เพียงแค่จิตกับอาการของจิตกับสติ พวกเรายังไม่เข้าใจเลยว่าอยู่กันคนละส่วนกัน พวกเราก็ไปเหมารวมกัน ความคิดที่เกิดจากจิต เกี่ยวกับอาการของจิต พวกเราก็เลยไปยึดเอาตรงนั้นว่าเป็นความคิดของเราจริงๆ
มันก็เป็นของเราจริงๆ นั่นแหละ อยู่ในระดับสมมติ นอกจากเราจะมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เพียงแค่การสร้าง การทำให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ทำลุ่มๆ ดอนๆ มันก็เลยเข้าไม่ถึงตรงฐานของใจของเรา ก็เลยไปเหมาเอาความคิดเก่า ปัญญาเก่า อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเอง
แต่ในหลักธรรมแล้ว เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาใหม่ ไปชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ดับความเกิด คลายความหลงออกจากใจของเรา พยายามทำทั้งภายนอก ทั้งภายใน ทั้งสมมติ แล้วก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เท่าที่พวกเราโอกาสจะเปิดให้ ทำให้ ไม่ว่าอยู่บ้านอยู่ไร่อยู่นา หน้าที่ทำการทำงาน เราพยายามสำรวจตรวจตราดูตัวเรา เจริญสติมุ่งเข้าไปที่ฐานของใจให้ได้เสียก่อน ว่าใจของเราเป็นอย่างไรขณะนี้ สงบปกติ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความปกตินั่นแหละคือสมาธิธรรมชาติ มีอยู่ความปกตินั่นแหละคือศีล
การมาเจริญศีล มารักษาศีล หรือว่ามาทำความเข้าใจ เราต้องมาทำความเข้าใจกายวาจาใจของเรา ประพฤติวัตรปฏิบัติอย่างไร เราถึงจะรู้เรา ส่วนมากปฏิบัติไม่รู้ตัวเอง ก็เลยมองเห็นไม่เห็นหนทางที่จะเดิน ว่าจะเดินไปอย่างไร มาอย่างไร ใจของเราเกิดอย่างไร ใจของเราเกิดกิเลสอย่างไร ทำไมใจของเราถึงทุกข์ ทำไมกายของเราถึงทุกข์
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล แต่เราอาจจะมองเห็นเหตุเห็นผล รู้ระดับปลายเหตุ ไม่ค่อยมองเห็นเหตุเห็นผลลงไปถึงต้นเหตุคือตั้งแต่ตัววิญญาณ ตัวจิตของเรานั่นแหละมาอยู่ในกายนี้ มาอาศัยกายนี้ มายึดติดในกาย มาสร้างภพสร้างชาติ กายของเรานี่จำแนกแจกแจงออกเป็นกี่ขันธ์กี่กอง พระพุทธองค์ท่านค้นพบเอามาเปิดเผยให้พวกเราได้ปฏิบัติตามกัน ก็ต้องพยายามกัน อยู่กับสมมติ อยู่กับโลก เราก็ต้องทำความเข้าใจอยู่กับโลก อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา
คนมีบุญ มีสติ มีปัญญาฟังนิดเดียว ลักษณะของการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การให้อภัยทานอโหสิกรรมเป็นอย่างนี้ ในกายในใจของเรา ใจของเรามีทิฏฐิ มีมานะ มีกิเลส เรารู้จักละ รู้จักดับได้หรือไม่ การอดทนอดกลั้น การสร้างตบะบารมี ความอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม
สำรวจตัวเราอยู่ตลอดเวลา เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือไม่ รับผิดชอบต่อส่วนตัว ต่อส่วนรวม เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความเสียสละ แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ความอยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง ความอยากในอาหารต่างๆ เราต้องวิเคราะห์หมดทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ จิตรับรู้ สติปัญญาไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม
หลวงพ่อก็เพียงแค่ได้พูดให้ฟัง การพูดนี้ง่าย แต่การลงมือการวิเคราะห์เราก็ต้องพยายาม เพียงแค่การสร้างความรู้ตัว เรื่องการหายใจเข้าออกทำอย่างไร การหายใจเข้าออกของเราถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่อง เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์เอา การได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์จากสถานที่ต่างๆ ทุกคนแสวงหาธรรมกัน ทั้งที่ใจก็ยังเกิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าใจยังเกิดอยู่เขาจะเป็นนิ่งได้อย่างไร ถ้าใจยังไม่คลายออกจากความคิด เขาจะไปละวางได้อย่างไร
เพียงแค่เริ่มต้นของการเจริญสติก็มีนิดเดียว มีแต่ความคิด อาการของจิตวิ่งวุ่นๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเรื่องไหนหรอก มีเรื่องเดียวน้อยๆ ที่หลวงพ่อพูดทุกวันทุกวันนี้แหล่ะ ถ้าคนเรารู้จักฐานของเขา อันอื่นมันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้นแหละ เราพยายามดูเขาถึงต้นเหตุภายในของเราให้มันจบเสียก่อน ส่วนมากก็มีแต่หาเรื่องมาทับถมตัวใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อพูดน้อยๆ แค่นี้แหละ แต่พวกท่านจงพยายามไปทำให้รู้ให้เห็น เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ รู้ความจริงแล้วใจเขาไม่เอาหรอก ถ้าการดับไม่มี เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้น ถ้าเราดับความเกิดที่นั้นที่นี้ก็เหือดแห้งไปๆ จนไม่เหลือ เอาสติปัญญาไปเกิดแทน ก็ต้องพยายามกันนะ มีโอกาสพากันสร้างบุญ สร้างอานิสงส์กัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับสถานที่ ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา
การเจริญสติ การเจริญปัญญา เราก็ต้องเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทำความจริงให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ว่าเราจะไปทางไหน ดำเนินอย่างไร จะกลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน การการเกิด อะไรคือการเกิด การเกิดเป็นอย่างไร ใจมันเกิด กายเนื้อก็เกิดมาแล้ว ทีนี้ใจมันยังเกิดอยู่ เราต้องดับความเกิดของเราให้มันจบไปเสีย
วันนี้ก็เป็นโอกาสอันดี ฝนฟ้าคงไม่ตก พวกเราทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยมไปช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องให้พญานาคหน่อยนะ พญานาคตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย ทั้งยาวทั้งใหญ่ พากันไปช่วยกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ ไปอุดไปปิดไปทำพญานาคกัน ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในใจของเราทุกคน อยู่ที่สวนมะลิวัลย์ซึ่งคุณแม่มะลิวัลย์ท่านก็ได้ถวายไว้ให้ ว่าจะขึ้นตัวที่สอง ตัวแรกก็เริ่มปะกันแล้ว ทำไปเรื่อยๆ ช่วยกัน ฆราวาสญาติโยมอยากจะไปช่วยกัน ก็ไปช่วยกันขนอิฐขนหินขนทราย ทำนู่นทำนี่ช่วยกัน ฝากเอาไว้ กำลังกาย ทางกายของเราก็ได้สร้างอานิสงส์ สร้างประโยชน์ต่อส่วนตัว ต่อส่วนรวม ฝากเอาไว้ ไม่มีใครเอาไปได้สักอย่าง แม้แต่กายของเราก็ต้องวางไว้กับแผ่นดิน ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ เราก็พยายามสร้าง พยายามทำให้เป็นอานิสงส์สำหรับตัวเรา สำหรับคนที่มาพบมาเห็นมาเจอ ก็มีแต่ความสุข ความสบายตาสบายใจ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกอย่างในสถานที่นี้ ความเป็นระเบียบ ต้องพยายามทำให้เรียบร้อย ไม่ว่าที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน โรงครัวต่างๆ ช่วยกันทำ ช่วยกันรักษา ความเป็นระเบียบ ความสะอาดนั่นแหละคือวินัย วินัยนอก ทั้งฝ่ายนอก ทั้งภายใน
การศึกษาตัวเอง การประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ศึกษากายวาจาใจของเรานั่นแหละ ทำให้มันถูกต้องเสีย มันก็จะส่งผลถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นในวันข้างหน้า ไม่ใช่ว่าอะไรก็ทำไม่เป็น อะไรก็ทำไม่เป็น มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำจากน้อยๆ ไปหามากๆ มันก็เอาไปเอามาก็เลยทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งติด สารพัดอย่างมันครอบคลุมเอาไว้ทั้งกิเลสต่างๆ
เราต้องพยายามขัดเกลาให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ละความเห็นแก่ตัว ละความเห็นผิด ละความเกียจคร้านออกจากใจของเราให้หมด มีแต่เอาออก มีแต่คลายจนใจของเราอยู่เหนือโน่นแหละ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ จนใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสนใจ อาจจะรู้อยู่ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เราต้องพยายามรู้ให้ต่อเนื่อง การรู้ลมหายใจนี้เขาเรียกว่ามีสติอยู่กับกาย ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันอยู่กับกาย ใจของเราจะเกิด จะก่อตัว ใจของเราเกิดความโกรธ ความโลภ ความยินดียินร้ายต่างๆ เรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน รู้เห็นลักษณะอาการของใจ เราก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ ความคิดผุดขึ้นมาเมื่อไหร่ ใจกับอาการของความคิดมันเข้าไปรวมกันเมื่อไหร่ ถ้าเราสังเกตเห็น เขาก็จะคลายออกจากกัน ใจก็จะพลิก เขาเรียกว่า ‘หงาย’
ทางหลักธรรมเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทาง ความรู้ตัวของเราจะตามดู ตามรู้ ตามเห็น เราก็จะเห็นการเกิดการดับของอาการของความคิด ซึ่งเป็นเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอาการของขันธ์ห้า อันนี้เป็นรายละเอียดของกายของเรา แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรายังไม่ได้สร้างเลย ก็เลยจะเข้าไปรู้เท่าทันตรงนั้นก็ยากอีก มันยากหลายอย่างที่สลับซับซ้อนถ้าเราไม่มีความเพียรในการเจริญสติ เพียงแค่จิตกับอาการของจิตกับสติ พวกเรายังไม่เข้าใจเลยว่าอยู่กันคนละส่วนกัน พวกเราก็ไปเหมารวมกัน ความคิดที่เกิดจากจิต เกี่ยวกับอาการของจิต พวกเราก็เลยไปยึดเอาตรงนั้นว่าเป็นความคิดของเราจริงๆ
มันก็เป็นของเราจริงๆ นั่นแหละ อยู่ในระดับสมมติ นอกจากเราจะมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เพียงแค่การสร้าง การทำให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ทำลุ่มๆ ดอนๆ มันก็เลยเข้าไม่ถึงตรงฐานของใจของเรา ก็เลยไปเหมาเอาความคิดเก่า ปัญญาเก่า อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเอง
แต่ในหลักธรรมแล้ว เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาใหม่ ไปชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ดับความเกิด คลายความหลงออกจากใจของเรา พยายามทำทั้งภายนอก ทั้งภายใน ทั้งสมมติ แล้วก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เท่าที่พวกเราโอกาสจะเปิดให้ ทำให้ ไม่ว่าอยู่บ้านอยู่ไร่อยู่นา หน้าที่ทำการทำงาน เราพยายามสำรวจตรวจตราดูตัวเรา เจริญสติมุ่งเข้าไปที่ฐานของใจให้ได้เสียก่อน ว่าใจของเราเป็นอย่างไรขณะนี้ สงบปกติ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความปกตินั่นแหละคือสมาธิธรรมชาติ มีอยู่ความปกตินั่นแหละคือศีล
การมาเจริญศีล มารักษาศีล หรือว่ามาทำความเข้าใจ เราต้องมาทำความเข้าใจกายวาจาใจของเรา ประพฤติวัตรปฏิบัติอย่างไร เราถึงจะรู้เรา ส่วนมากปฏิบัติไม่รู้ตัวเอง ก็เลยมองเห็นไม่เห็นหนทางที่จะเดิน ว่าจะเดินไปอย่างไร มาอย่างไร ใจของเราเกิดอย่างไร ใจของเราเกิดกิเลสอย่างไร ทำไมใจของเราถึงทุกข์ ทำไมกายของเราถึงทุกข์
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล แต่เราอาจจะมองเห็นเหตุเห็นผล รู้ระดับปลายเหตุ ไม่ค่อยมองเห็นเหตุเห็นผลลงไปถึงต้นเหตุคือตั้งแต่ตัววิญญาณ ตัวจิตของเรานั่นแหละมาอยู่ในกายนี้ มาอาศัยกายนี้ มายึดติดในกาย มาสร้างภพสร้างชาติ กายของเรานี่จำแนกแจกแจงออกเป็นกี่ขันธ์กี่กอง พระพุทธองค์ท่านค้นพบเอามาเปิดเผยให้พวกเราได้ปฏิบัติตามกัน ก็ต้องพยายามกัน อยู่กับสมมติ อยู่กับโลก เราก็ต้องทำความเข้าใจอยู่กับโลก อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา
คนมีบุญ มีสติ มีปัญญาฟังนิดเดียว ลักษณะของการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การให้อภัยทานอโหสิกรรมเป็นอย่างนี้ ในกายในใจของเรา ใจของเรามีทิฏฐิ มีมานะ มีกิเลส เรารู้จักละ รู้จักดับได้หรือไม่ การอดทนอดกลั้น การสร้างตบะบารมี ความอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม
สำรวจตัวเราอยู่ตลอดเวลา เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือไม่ รับผิดชอบต่อส่วนตัว ต่อส่วนรวม เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความเสียสละ แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ความอยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง ความอยากในอาหารต่างๆ เราต้องวิเคราะห์หมดทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ จิตรับรู้ สติปัญญาไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม
หลวงพ่อก็เพียงแค่ได้พูดให้ฟัง การพูดนี้ง่าย แต่การลงมือการวิเคราะห์เราก็ต้องพยายาม เพียงแค่การสร้างความรู้ตัว เรื่องการหายใจเข้าออกทำอย่างไร การหายใจเข้าออกของเราถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่อง เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์เอา การได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์จากสถานที่ต่างๆ ทุกคนแสวงหาธรรมกัน ทั้งที่ใจก็ยังเกิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าใจยังเกิดอยู่เขาจะเป็นนิ่งได้อย่างไร ถ้าใจยังไม่คลายออกจากความคิด เขาจะไปละวางได้อย่างไร
เพียงแค่เริ่มต้นของการเจริญสติก็มีนิดเดียว มีแต่ความคิด อาการของจิตวิ่งวุ่นๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเรื่องไหนหรอก มีเรื่องเดียวน้อยๆ ที่หลวงพ่อพูดทุกวันทุกวันนี้แหล่ะ ถ้าคนเรารู้จักฐานของเขา อันอื่นมันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้นแหละ เราพยายามดูเขาถึงต้นเหตุภายในของเราให้มันจบเสียก่อน ส่วนมากก็มีแต่หาเรื่องมาทับถมตัวใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อพูดน้อยๆ แค่นี้แหละ แต่พวกท่านจงพยายามไปทำให้รู้ให้เห็น เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ รู้ความจริงแล้วใจเขาไม่เอาหรอก ถ้าการดับไม่มี เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้น ถ้าเราดับความเกิดที่นั้นที่นี้ก็เหือดแห้งไปๆ จนไม่เหลือ เอาสติปัญญาไปเกิดแทน ก็ต้องพยายามกันนะ มีโอกาสพากันสร้างบุญ สร้างอานิสงส์กัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับสถานที่ ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา
การเจริญสติ การเจริญปัญญา เราก็ต้องเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทำความจริงให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ว่าเราจะไปทางไหน ดำเนินอย่างไร จะกลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน การการเกิด อะไรคือการเกิด การเกิดเป็นอย่างไร ใจมันเกิด กายเนื้อก็เกิดมาแล้ว ทีนี้ใจมันยังเกิดอยู่ เราต้องดับความเกิดของเราให้มันจบไปเสีย
วันนี้ก็เป็นโอกาสอันดี ฝนฟ้าคงไม่ตก พวกเราทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยมไปช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องให้พญานาคหน่อยนะ พญานาคตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย ทั้งยาวทั้งใหญ่ พากันไปช่วยกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ ไปอุดไปปิดไปทำพญานาคกัน ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในใจของเราทุกคน อยู่ที่สวนมะลิวัลย์ซึ่งคุณแม่มะลิวัลย์ท่านก็ได้ถวายไว้ให้ ว่าจะขึ้นตัวที่สอง ตัวแรกก็เริ่มปะกันแล้ว ทำไปเรื่อยๆ ช่วยกัน ฆราวาสญาติโยมอยากจะไปช่วยกัน ก็ไปช่วยกันขนอิฐขนหินขนทราย ทำนู่นทำนี่ช่วยกัน ฝากเอาไว้ กำลังกาย ทางกายของเราก็ได้สร้างอานิสงส์ สร้างประโยชน์ต่อส่วนตัว ต่อส่วนรวม ฝากเอาไว้ ไม่มีใครเอาไปได้สักอย่าง แม้แต่กายของเราก็ต้องวางไว้กับแผ่นดิน ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ เราก็พยายามสร้าง พยายามทำให้เป็นอานิสงส์สำหรับตัวเรา สำหรับคนที่มาพบมาเห็นมาเจอ ก็มีแต่ความสุข ความสบายตาสบายใจ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกอย่างในสถานที่นี้ ความเป็นระเบียบ ต้องพยายามทำให้เรียบร้อย ไม่ว่าที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน โรงครัวต่างๆ ช่วยกันทำ ช่วยกันรักษา ความเป็นระเบียบ ความสะอาดนั่นแหละคือวินัย วินัยนอก ทั้งฝ่ายนอก ทั้งภายใน
การศึกษาตัวเอง การประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ศึกษากายวาจาใจของเรานั่นแหละ ทำให้มันถูกต้องเสีย มันก็จะส่งผลถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นในวันข้างหน้า ไม่ใช่ว่าอะไรก็ทำไม่เป็น อะไรก็ทำไม่เป็น มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำจากน้อยๆ ไปหามากๆ มันก็เอาไปเอามาก็เลยทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งติด สารพัดอย่างมันครอบคลุมเอาไว้ทั้งกิเลสต่างๆ
เราต้องพยายามขัดเกลาให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ละความเห็นแก่ตัว ละความเห็นผิด ละความเกียจคร้านออกจากใจของเราให้หมด มีแต่เอาออก มีแต่คลายจนใจของเราอยู่เหนือโน่นแหละ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ จนใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ