หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 026
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 026
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องพยายามรู้กายรู้ใจ ใจของเราเกิดความอยาก เราก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ กายของเราหิว เราก็รู้ พยายามพิจารณา กายหิว ใจจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย บอกว่าอย่างนั้น เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม กิเลสมันสั่งบอกว่าเอาเยอะๆ เราพยายามควบคุม พยายามดับ พยายามพิจารณา การพิจารณาภาษาธรรม เรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ กายหิว ใจอยาก เราควบคุมความอยาก แล้วก็ค่อยกะประมาณในการขบฉันของตัวเอง
ถ้ามันต้องการ ถ้ามันอยาก เราก็ให้ผ่านเลยไป ใจของเราจะมีความอาลัยอาวรณ์หรือไม่ คนเรามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่การละไม่มี การดับไม่มี การวิเคราะห์ การสังเกตไม่มี ก็เลยพลาดธรรมอันใหญ่ ตัววิญญาณ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เราก็ต้องพยายามเอา จัดความเป็นระบบระเบียบ ความคิด อารมณ์ ความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกัน พิจารณาเหมือนกันหมด มีรูปมีนาม มีกาย มีภาระหน้าที่การงานทางสมมติ ส่วนทางด้านจิต เราก็วิเคราะห์ดู ความเข้าใจดู การเกิดก็เป็นทุกข์ แต่ก็ได้มาเกิด เกิดเป็นมนุษย์มาสร้างภพสร้างชาติขึ้นมา เราก็ต้องมาจําแนก เจริญสติเข้าไปจําแนกแจกแจงว่าในกายของเรา ในกายมนุษย์นี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แต่ส่วนมากก็รู้อยู่ แต่ควบคุมได้อยู่ดับได้อยู่เป็นบางครั้งไม่ต่อเนื่อง ไม่แทงตลอด ก็ได้อยู่ในระดับการสร้างบารมีสร้างบุญ ที่จะให้ละทุกข์ ดับทุกข์ได้จริงๆ ก็มีน้อย แต่ก็อย่าพากันทิ้ง พากันพากันสร้างเอา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาได้บ้างไม่ได้บ้างก็ เรื่องความคิด เรื่องอารมณ์เรื่องทางด้านจิตใจ ส่วนทางด้านรูปธรรมก็แก้ไขกันไปให้ดี ส่วนทางด้านรูป ทางด้านนามธรรม ทางด้านวิญญาณเขาเกิดๆ ดับๆ อาการของวิญญาณเขาเกิดๆ ดับๆ แต่เราขาดการสนใจก็เลยไม่เข้าถึง อยากจะรู้ ลองอดพูด อดคิด สังเกต สร้างตัวสังเกตบ่อยๆ เราก็จะเห็น รู้ด้วย เห็นด้วย แยกแยะได้ด้วย ตามดูได้ด้วย ถึงจะเข้าถึง แล้วก็ละได้ด้วย ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียวนะ
อยาก เพียงแค่เริ่มก่อตัว เพียงแค่เริ่มคิด เริ่มก่อตัวอย่างไร เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ ส่งเสริม คิดแล้วก็ อาการของวิญญาณ อาการของใจก็รวมกันไปด้วยกัน ผสมผสานกับส่วนปัญญาของสมองอีก เรามาสร้างความรู้สึกตัวตัวบน ตัวสมอง รู้ลงตัวกลางใจ ตัวใจมันเกิดๆดับๆ อยู่ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ปิดเอาไว้เยอะแยะ ความคิด อารมณ์ก็ปิดบังดวงจิตเอาไว้ กายเนื้อก็ปิดบังดวงจิตเอาไว้ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากก็ปิดบังดวงจิตเอาไว้ ความดีความไม่ดี สารพัดอย่าง เขาปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด แต่ในหลักธรรม ท่านให้สร้างความดี แต่ไม่ยึดติดในความดี ละอกุศล เจริญกุศล แต่ไม่ยึดติด ยกระดับจิตให้สูงให้อยู่เหนือกว่า ถึงจะถูกต้อง ถ้าไม่ให้ถึงจุดหมายจริงๆ ก็ยากที่จะถึง เพราะว่าเป็นของละเอียดอ่อน
ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ เป็นแค่เพียงตําราชี้แนะแนวทางให้ พวกเราจะพากันไปวิเคราะห์ตัวเราได้หรือไม่ ก็เป็นส่วนของพวกท่านเอง ถ้าเรารู้จักวิธีในการวิเคราะห์ ในการดู รู้จักการเจริญสติ เราก็จะได้เป็นเห็นใจของเราตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เราตลอดเวลา ทุกเรื่อง เปลี่ยนจากความทะเยอทะยานอยาก เปลี่ยนจากความอยาก เปลี่ยนจากความคิดที่เกิดจากตัวจิต เป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าไปหน้าที่แทนทุกเรื่อง
การพูดง่าย การลงมือ การวิเคราะห์ การสังเกต การแจกแจง ถ้าไม่ได้ต่อเนื่องก็ยาก ต้องให้ต่อเนื่อง สติรู้ตัวไม่มี สติรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราก็พยายามสร้างขึ้นมาๆ สร้างความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา เราก็หายใจอยู่ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เราอาจจะรู้ความรู้สึกเป็นบางครั้งบางคราว แต่ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าสติเราไม่ค่อยจะมีเลย มีตั้งแต่สติปัญญาของโลกียะที่มองออกไปภายนอกอย่างเดียว อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ก็ยังละทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าเรายังเข้าไม่ถึงเหตุ เหตุการเกิดของจิต เหตุการเกิดของอาการของจิต ยังไม่รอบรู้ในกองสังขาร ยังไม่รอบรู้ในอารมณ์ ยังไม่รอบรู้ในการชําระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา
เราอาจจะแค่ได้บุญ อยู่ในพรหมวิหาร ความเมตตา ความเสียสละ อนุเคราะห์เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน แต่ใจยังไม่ได้คลาย คลายออกจากอารมณ์ซึ่งคลายความหลง ถ้าคลายได้จริงๆ นั่นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเราเองหลง ถ้าคลายไม่ได้ ไม่ยอมรับว่าหลง ถ้าคลายได้เมื่อไหร่ถึงจะเออเราหลง หลงความคิด หลงอารมณ์ หลงเกิด หลงวนเวียนว่ายตายเกิด ถ้าแยกได้คลายได้ก็เหมือนกับตัดวงกลม ตามความเข้าใจแล้วก็ดับให้สั้นลงๆ จนหมุนไม่ได้ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ส่วนมากก็วิ่งตามอารมณ์ แล้วก็วิ่งด้วยความทะเยอทะยานอยากของอำนาจของตัวจิต อำนาจของกิเลสก็บังคับโดยไม่รู้ตัว
ถ้าเราไม่ ก็ยากที่จะใครที่จะให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง กิเลสมารต่างๆ เขาก็บีบบังคับ เขาก็ปิดกั้นเอาไว้ ถ้าบุคคลใดสนใจฝักใฝ่ก็ย่อมจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าไม่สนใจก็ยาก ไปปฏิบัติธรรมก็ไม่รู้ธรรม ไปปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติใจของเรานั่นแหละ ปฏิบัติกายของเรา กาย วาจา ใจ เราควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจของเรา แล้วก็คลายใจออกจากความคิด ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติตัวเรานั่นแหละ ข้อวัตรปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็ปฏิบัติใจของเราให้ละให้คลายจากกิเลส
ส่วนมากเราจะปฏิบัติไม่เข้าถึงใจ เพราะว่าใจมันคิดอยู่ตลอด แล้วก็คิดเรื่องโน้นคิดเรื่องนี้ แล้วอาการของความคิดผุดขึ้นมาเราก็จะไปมองเอาแค่นั้น ใจสงบใจปกตินั่นแหละคือศีล ใจสงบ เพราะนั่นแหละคือสมาธิ การสังเกต แยกแยะ ใจคลายออกจากความคิดนั่นแหละคือตัววิปัสสนาจริงๆ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามละกิเลส นั่นแหละปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็ละกิเลส ดับความเกิดๆ ดับความคิดนั่นแหละ ดับความคิด หยุดความคิดนั่นแหละ หนุนกําลังสติปัญญาเข้าไปคิดเข้าไปพิจารณาแทน ทุกเรื่อง ถ้าจะเอาจริงๆ ก็มีไม่มาก มันมีมากเฉพาะบุคคลที่สร้างสะสมกิเลสไปครอบงำดวงจิตเอาไว้เท่านั้นเอง
กายของคนเราก็เป็นก้อนทุกข์ เกิดมามันก็เป็นทุกข์ ต้องกินอยู่ขับถ่าย หน้าที่ หมุนเวียนอยู่จนกว่าเขาจะแตกดับ ถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ ส่วนรูปธรรมเราจะหนีสมมติไม่ได้ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ ถึงเวลาเขาก็แตกก็ดับ แต่ยังไม่ถึงเวลาเราก็ดูแลรักษาเขาหน้าที่ให้ดี คนเราทั่วไปไม่ค่อยจะยอมรับความจริงตรงนี้เท่าไหร่ เพราะว่ามองไม่เห็น
พากันนอนหลับดีไหมที่มาจากโรงปูน แต่ละวันๆ ความนึกคิดอารมณ์ต่างๆ มันพุ่งเป้ามันจะเอาตามเป้า ว่าอย่างนั้น ต้องเอาให้ได้เกินเป้า ตัวใจมันสั่ง สมมติมันบอกเป้าเท่าโน้น เป้าเท่านี้ เราก็ต้องวิ่งเหมือนกับม้าปิดตาวิ่ง ต้องให้ดำเนินด้วยสติด้วยปัญญา ใจต้องนิ่งมันถึงจะถูก จะเอามากเอาน้อย มากน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา ก็ไปผิดพลาดรีบแก้ไข ส่วนมากใจมันวิ่ง มันเกิด ต้องให้ได้ตามเป้า ไม่ได้ตามเป้าก็ทุกข์ ได้ตามเป้าก็ดีใจร่าเริงฉลองกัน สารพัดอย่าง ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกันคล้ายๆ กัน ใจนิ่งได้อยู่บ้างเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว แต่ไม่ค่อยจะมีสติปัญญาเข้าไปดูแล ก็เปรียบเสมือนกับเรือ ไม่มีคนขับ รอยเคว้งคว้าง แล้วก็ไปชนอันโน้นบ้าง ชนอันนี้บ้าง ก็ไปตามยถากรรมก็เรียกว่าไปตามกรรม
อยากจะหลุดพ้นก็ต้องเจริญสติเข้าไปรู้กรรม ความเข้าใจกับกรรม ให้อยู่เหนือกรรม เหนือการกระทำ ไม่เข้าไปหลงเข้าไปยึด ถึงจะถูก บุญก็สร้าง อานิสงส์ก็สร้าง สนุกบุญ กายให้เป็นบุญ ใจให้เป็นบุญ วาจาให้เป็นบุญ สมมติเราก็ยังให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ทางสมมติก็ให้เกิดประโยชน์ อยู่กับหมู่อยู่กับคณะ ความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียว ละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นผิด เจริญความเห็นถูกให้ถูกต้องให้ตรง เอากายเรา เอาใจของเราให้มันถูกต้อง มันจะล้นออกไปสู่ครอบครัว สู่หมู่สู่คณะ สู่เพื่อนสู่ฝูง อยู่หลายๆ คนก็ยากนะ บางคนก็คิดไปทางโน้น บางคนก็คิดไปทางนี้ บางคนก็ครอบครัวก็ยังลําบาก บางคนก็สมมติครอบครัวก็บริบูรณ์
เมื่อวานนี้ เมื่อวานหรือวันก่อนก็ไม่รู้ มีโยมสองคนมาจากกรุงเทพฯ เป็นทุกข์ เป็นทุกข์มา ทำไมถึงเป็นทุกข์ ทุกข์เรื่องครอบครัว อยู่ด้วยกันมาตั้ง 20 ปี อยู่ด้วยกันมาตั้ง 20 ปีนะ พูดกันทีไรไม่ถูกกันทุกที เถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็ไม่มองตัวเอง แก้ไขตัวเองให้มันเรียบร้อยเสียก่อน มันพูดยากนะ ของพวกนี้มันพูดยาก แม้แต่ความคิด จิตเราแท้ๆ ก็ยังดับไม่ได้ ละไม่ได้ เอาไม่อยู่ เพราะไม่ได้เจริญสติ เจริญสติเข้าไป สตินี้เปรียบเสมือนเชือกเลยทีเดียว ค่อยปลุกจิต ค่อยนั่นจิต
ท่านถึงบอกว่าให้กระหนาบแล้วกระหนาบอีก กระหนาบแล้วกระหนาบอีก หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ละจิตของเราออกจากกิเลส จิตเขาก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน จิตเขาก็มีเพื่อนเก่าคือความคิด คืออารมณ์ มีกิเลสเป็นนาย คอยบงการอยู่
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษา ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การละกิเลสไม่ค่อยจะละให้ถึงจุดหมาย ละให้ถึงที่สิ้นสุด ดับความเกิดไม่ให้ถึงที่สิ้นสุด ก็ ก็แบบปิดบังอำพราง แต่ก็ยังดีเป็นเข้าพกเข้าห่อ อยากจะให้หลุดพ้นจริงๆ ก็ต้องดับความเกิดให้มันหมดจดจริงๆ ถึงจะหยุดได้ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ตั้งใจรับพรกัน
ถ้ามันต้องการ ถ้ามันอยาก เราก็ให้ผ่านเลยไป ใจของเราจะมีความอาลัยอาวรณ์หรือไม่ คนเรามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่การละไม่มี การดับไม่มี การวิเคราะห์ การสังเกตไม่มี ก็เลยพลาดธรรมอันใหญ่ ตัววิญญาณ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เราก็ต้องพยายามเอา จัดความเป็นระบบระเบียบ ความคิด อารมณ์ ความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกัน พิจารณาเหมือนกันหมด มีรูปมีนาม มีกาย มีภาระหน้าที่การงานทางสมมติ ส่วนทางด้านจิต เราก็วิเคราะห์ดู ความเข้าใจดู การเกิดก็เป็นทุกข์ แต่ก็ได้มาเกิด เกิดเป็นมนุษย์มาสร้างภพสร้างชาติขึ้นมา เราก็ต้องมาจําแนก เจริญสติเข้าไปจําแนกแจกแจงว่าในกายของเรา ในกายมนุษย์นี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แต่ส่วนมากก็รู้อยู่ แต่ควบคุมได้อยู่ดับได้อยู่เป็นบางครั้งไม่ต่อเนื่อง ไม่แทงตลอด ก็ได้อยู่ในระดับการสร้างบารมีสร้างบุญ ที่จะให้ละทุกข์ ดับทุกข์ได้จริงๆ ก็มีน้อย แต่ก็อย่าพากันทิ้ง พากันพากันสร้างเอา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาได้บ้างไม่ได้บ้างก็ เรื่องความคิด เรื่องอารมณ์เรื่องทางด้านจิตใจ ส่วนทางด้านรูปธรรมก็แก้ไขกันไปให้ดี ส่วนทางด้านรูป ทางด้านนามธรรม ทางด้านวิญญาณเขาเกิดๆ ดับๆ อาการของวิญญาณเขาเกิดๆ ดับๆ แต่เราขาดการสนใจก็เลยไม่เข้าถึง อยากจะรู้ ลองอดพูด อดคิด สังเกต สร้างตัวสังเกตบ่อยๆ เราก็จะเห็น รู้ด้วย เห็นด้วย แยกแยะได้ด้วย ตามดูได้ด้วย ถึงจะเข้าถึง แล้วก็ละได้ด้วย ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียวนะ
อยาก เพียงแค่เริ่มก่อตัว เพียงแค่เริ่มคิด เริ่มก่อตัวอย่างไร เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ ส่งเสริม คิดแล้วก็ อาการของวิญญาณ อาการของใจก็รวมกันไปด้วยกัน ผสมผสานกับส่วนปัญญาของสมองอีก เรามาสร้างความรู้สึกตัวตัวบน ตัวสมอง รู้ลงตัวกลางใจ ตัวใจมันเกิดๆดับๆ อยู่ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ปิดเอาไว้เยอะแยะ ความคิด อารมณ์ก็ปิดบังดวงจิตเอาไว้ กายเนื้อก็ปิดบังดวงจิตเอาไว้ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากก็ปิดบังดวงจิตเอาไว้ ความดีความไม่ดี สารพัดอย่าง เขาปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด แต่ในหลักธรรม ท่านให้สร้างความดี แต่ไม่ยึดติดในความดี ละอกุศล เจริญกุศล แต่ไม่ยึดติด ยกระดับจิตให้สูงให้อยู่เหนือกว่า ถึงจะถูกต้อง ถ้าไม่ให้ถึงจุดหมายจริงๆ ก็ยากที่จะถึง เพราะว่าเป็นของละเอียดอ่อน
ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ เป็นแค่เพียงตําราชี้แนะแนวทางให้ พวกเราจะพากันไปวิเคราะห์ตัวเราได้หรือไม่ ก็เป็นส่วนของพวกท่านเอง ถ้าเรารู้จักวิธีในการวิเคราะห์ ในการดู รู้จักการเจริญสติ เราก็จะได้เป็นเห็นใจของเราตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เราตลอดเวลา ทุกเรื่อง เปลี่ยนจากความทะเยอทะยานอยาก เปลี่ยนจากความอยาก เปลี่ยนจากความคิดที่เกิดจากตัวจิต เป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าไปหน้าที่แทนทุกเรื่อง
การพูดง่าย การลงมือ การวิเคราะห์ การสังเกต การแจกแจง ถ้าไม่ได้ต่อเนื่องก็ยาก ต้องให้ต่อเนื่อง สติรู้ตัวไม่มี สติรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราก็พยายามสร้างขึ้นมาๆ สร้างความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา เราก็หายใจอยู่ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เราอาจจะรู้ความรู้สึกเป็นบางครั้งบางคราว แต่ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าสติเราไม่ค่อยจะมีเลย มีตั้งแต่สติปัญญาของโลกียะที่มองออกไปภายนอกอย่างเดียว อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ก็ยังละทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าเรายังเข้าไม่ถึงเหตุ เหตุการเกิดของจิต เหตุการเกิดของอาการของจิต ยังไม่รอบรู้ในกองสังขาร ยังไม่รอบรู้ในอารมณ์ ยังไม่รอบรู้ในการชําระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา
เราอาจจะแค่ได้บุญ อยู่ในพรหมวิหาร ความเมตตา ความเสียสละ อนุเคราะห์เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน แต่ใจยังไม่ได้คลาย คลายออกจากอารมณ์ซึ่งคลายความหลง ถ้าคลายได้จริงๆ นั่นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเราเองหลง ถ้าคลายไม่ได้ ไม่ยอมรับว่าหลง ถ้าคลายได้เมื่อไหร่ถึงจะเออเราหลง หลงความคิด หลงอารมณ์ หลงเกิด หลงวนเวียนว่ายตายเกิด ถ้าแยกได้คลายได้ก็เหมือนกับตัดวงกลม ตามความเข้าใจแล้วก็ดับให้สั้นลงๆ จนหมุนไม่ได้ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ส่วนมากก็วิ่งตามอารมณ์ แล้วก็วิ่งด้วยความทะเยอทะยานอยากของอำนาจของตัวจิต อำนาจของกิเลสก็บังคับโดยไม่รู้ตัว
ถ้าเราไม่ ก็ยากที่จะใครที่จะให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง กิเลสมารต่างๆ เขาก็บีบบังคับ เขาก็ปิดกั้นเอาไว้ ถ้าบุคคลใดสนใจฝักใฝ่ก็ย่อมจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าไม่สนใจก็ยาก ไปปฏิบัติธรรมก็ไม่รู้ธรรม ไปปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติใจของเรานั่นแหละ ปฏิบัติกายของเรา กาย วาจา ใจ เราควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจของเรา แล้วก็คลายใจออกจากความคิด ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติตัวเรานั่นแหละ ข้อวัตรปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็ปฏิบัติใจของเราให้ละให้คลายจากกิเลส
ส่วนมากเราจะปฏิบัติไม่เข้าถึงใจ เพราะว่าใจมันคิดอยู่ตลอด แล้วก็คิดเรื่องโน้นคิดเรื่องนี้ แล้วอาการของความคิดผุดขึ้นมาเราก็จะไปมองเอาแค่นั้น ใจสงบใจปกตินั่นแหละคือศีล ใจสงบ เพราะนั่นแหละคือสมาธิ การสังเกต แยกแยะ ใจคลายออกจากความคิดนั่นแหละคือตัววิปัสสนาจริงๆ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามละกิเลส นั่นแหละปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็ละกิเลส ดับความเกิดๆ ดับความคิดนั่นแหละ ดับความคิด หยุดความคิดนั่นแหละ หนุนกําลังสติปัญญาเข้าไปคิดเข้าไปพิจารณาแทน ทุกเรื่อง ถ้าจะเอาจริงๆ ก็มีไม่มาก มันมีมากเฉพาะบุคคลที่สร้างสะสมกิเลสไปครอบงำดวงจิตเอาไว้เท่านั้นเอง
กายของคนเราก็เป็นก้อนทุกข์ เกิดมามันก็เป็นทุกข์ ต้องกินอยู่ขับถ่าย หน้าที่ หมุนเวียนอยู่จนกว่าเขาจะแตกดับ ถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ ส่วนรูปธรรมเราจะหนีสมมติไม่ได้ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ ถึงเวลาเขาก็แตกก็ดับ แต่ยังไม่ถึงเวลาเราก็ดูแลรักษาเขาหน้าที่ให้ดี คนเราทั่วไปไม่ค่อยจะยอมรับความจริงตรงนี้เท่าไหร่ เพราะว่ามองไม่เห็น
พากันนอนหลับดีไหมที่มาจากโรงปูน แต่ละวันๆ ความนึกคิดอารมณ์ต่างๆ มันพุ่งเป้ามันจะเอาตามเป้า ว่าอย่างนั้น ต้องเอาให้ได้เกินเป้า ตัวใจมันสั่ง สมมติมันบอกเป้าเท่าโน้น เป้าเท่านี้ เราก็ต้องวิ่งเหมือนกับม้าปิดตาวิ่ง ต้องให้ดำเนินด้วยสติด้วยปัญญา ใจต้องนิ่งมันถึงจะถูก จะเอามากเอาน้อย มากน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา ก็ไปผิดพลาดรีบแก้ไข ส่วนมากใจมันวิ่ง มันเกิด ต้องให้ได้ตามเป้า ไม่ได้ตามเป้าก็ทุกข์ ได้ตามเป้าก็ดีใจร่าเริงฉลองกัน สารพัดอย่าง ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกันคล้ายๆ กัน ใจนิ่งได้อยู่บ้างเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว แต่ไม่ค่อยจะมีสติปัญญาเข้าไปดูแล ก็เปรียบเสมือนกับเรือ ไม่มีคนขับ รอยเคว้งคว้าง แล้วก็ไปชนอันโน้นบ้าง ชนอันนี้บ้าง ก็ไปตามยถากรรมก็เรียกว่าไปตามกรรม
อยากจะหลุดพ้นก็ต้องเจริญสติเข้าไปรู้กรรม ความเข้าใจกับกรรม ให้อยู่เหนือกรรม เหนือการกระทำ ไม่เข้าไปหลงเข้าไปยึด ถึงจะถูก บุญก็สร้าง อานิสงส์ก็สร้าง สนุกบุญ กายให้เป็นบุญ ใจให้เป็นบุญ วาจาให้เป็นบุญ สมมติเราก็ยังให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ทางสมมติก็ให้เกิดประโยชน์ อยู่กับหมู่อยู่กับคณะ ความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียว ละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นผิด เจริญความเห็นถูกให้ถูกต้องให้ตรง เอากายเรา เอาใจของเราให้มันถูกต้อง มันจะล้นออกไปสู่ครอบครัว สู่หมู่สู่คณะ สู่เพื่อนสู่ฝูง อยู่หลายๆ คนก็ยากนะ บางคนก็คิดไปทางโน้น บางคนก็คิดไปทางนี้ บางคนก็ครอบครัวก็ยังลําบาก บางคนก็สมมติครอบครัวก็บริบูรณ์
เมื่อวานนี้ เมื่อวานหรือวันก่อนก็ไม่รู้ มีโยมสองคนมาจากกรุงเทพฯ เป็นทุกข์ เป็นทุกข์มา ทำไมถึงเป็นทุกข์ ทุกข์เรื่องครอบครัว อยู่ด้วยกันมาตั้ง 20 ปี อยู่ด้วยกันมาตั้ง 20 ปีนะ พูดกันทีไรไม่ถูกกันทุกที เถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็ไม่มองตัวเอง แก้ไขตัวเองให้มันเรียบร้อยเสียก่อน มันพูดยากนะ ของพวกนี้มันพูดยาก แม้แต่ความคิด จิตเราแท้ๆ ก็ยังดับไม่ได้ ละไม่ได้ เอาไม่อยู่ เพราะไม่ได้เจริญสติ เจริญสติเข้าไป สตินี้เปรียบเสมือนเชือกเลยทีเดียว ค่อยปลุกจิต ค่อยนั่นจิต
ท่านถึงบอกว่าให้กระหนาบแล้วกระหนาบอีก กระหนาบแล้วกระหนาบอีก หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ละจิตของเราออกจากกิเลส จิตเขาก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน จิตเขาก็มีเพื่อนเก่าคือความคิด คืออารมณ์ มีกิเลสเป็นนาย คอยบงการอยู่
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษา ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การละกิเลสไม่ค่อยจะละให้ถึงจุดหมาย ละให้ถึงที่สิ้นสุด ดับความเกิดไม่ให้ถึงที่สิ้นสุด ก็ ก็แบบปิดบังอำพราง แต่ก็ยังดีเป็นเข้าพกเข้าห่อ อยากจะให้หลุดพ้นจริงๆ ก็ต้องดับความเกิดให้มันหมดจดจริงๆ ถึงจะหยุดได้ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ตั้งใจรับพรกัน