หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 063
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 063
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรู้สัมผัสของทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เราได้สร้างความรู้ตัว เราได้วิเคราะห์ใจ วิเคราะห์กายของเรา น้อมเข้าไปสํารวจตัวเราเองแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย วางภาระหน้าที่การงานต่างๆ ทางสมมติ ทางบ้านทางช่อง พวกเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่ง ที่จะให้วางความคิดนั้นเอาไว้ทีหลัง เรายังไม่รู้เรื่อง
เพียงแค่มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ มาเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก รู้การหายใจเข้าออกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปเพ่งนะ ถ้าเพ่งสมองก็จะตรึง อย่าไปจดจ่อ ถ้าเราเอาจิตไปกำหนด ไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกของเรา หน้าอกก็จะแน่น วางกายให้สบายแล้วก็สร้างความรู้สึกให้ชัดเจน การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกตัวตรงนี้แหละในหลักธรรม ท่านเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ธรรมะเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเขาวิ่งออก อันนี้เป็นเพียงแค่รู้กาย
ลึกลงไปเราก็ต้องรู้ลักษณะของจิต จิตปกติ จิตที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างไร จิตที่ไม่หลงความคิด จิตที่ไม่หลงอารมณ์ จิตที่คลายออกจากความคิด คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร จิตที่มีความกังวล จิตที่มีความฟุ้งซ่าน เรารู้จักละ รู้จักดับ รู้จักแก้ไขตัวเราหรือไม่ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ เจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้เข้มแข็ง ให้ชัดเจน ให้รู้ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ที่เราสร้างขึ้นมานี่เป็นสติปัญญาตัวใหม่
แต่ส่วนมากคนเราทั่วไปจะใช้ความคิดที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากอาการของขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่กับทุกคน เพราะว่าขันธ์ทั้งห้านี้มีตัววิญญาณ แล้วมีตัวจิตเข้ามาครอบครองอยู่ ตัวจิตเข้ามาครอบครอง เข้ามายึด เข้ามาหลง แล้วก็มีความทะเยอทะยานยาก แต่จะเข้าถึงความเป็นจริงได้ เราต้องมาสร้างความรู้ตัว แล้วก็มาเจริญสติเข้าไปคอยดูแลจิต คอยควบคุมจิต คอยสังเกต คอยวิเคราะห์ คอยหมั่นพร่ำสอนจิตให้รู้เห็นตามความเป็นจริง จนกว่าความรู้ตัวของเราจะรู้เท่าทัน
ตัวจิตคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถึงจะเป็น สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เราก็จะเห็นลักษณะ รู้ลักษณะของความว่างที่แท้จริง กายจะเบา จิตก็จะโล่งโปร่ง ตามดู ตามรู้ ตามเห็นการดับของขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เข้าใจในหลักของขันธ์ห้าว่าเป็นกอง กองของใครกองของมัน ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ทำไมถึงว่าเป็นของหนัก ถ้าเรามาเจริญสติ แล้วแยกแยะ แล้วเราถึงจะเข้าถึงตรงนั้น ตามทำความเข้าใจได้
แต่เวลานี้เพียงแค่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเราก็ยังทำกันไม่ชํานาญ ทั้งที่ใจก็มีศรัทธากันเต็มเปี่ยม ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ฝักใฝ่ในการแสวงหาธรรม ตัวใจนั่นแหละคือธรรม ตราบใดที่เขายังส่งออกไปภายนอก ที่เขายังแสวงหาอยู่ เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองอยู่ เราถึงให้มาเจริญสติเข้าไปดับ เข้าไประงับ เข้าไปยับยั้ง เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากความคิด ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง สติปัญญาหาเหตุหาผลให้จิตยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามได้นิดๆ หน่อยๆ ถ้าขาดกันตามทำความเข้าใจ เขาก็อาจจะเข้าสู่สภาพเดิมอีก
เราต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว มีความเพียร อาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง แล้วก็สร้างตบะอย่างแรงกล้า ใจของเรามีความโลภ เราก็พยายามดับความโลภด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ด้วยการให้ ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับเขา ใจมีความโกรธ เราพยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตใจของเรา แล้วก็เจริญพรหมวิหารด้วยสติด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราต้องวิเคราะห์เรา เรามีความเกียจคร้าน เราพยายามละความเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เราเป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความเสียสละ ไม่เอารัดเอาเปรียบตัวเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบหมู่คณะเพื่อนฝูง มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบต่อทั้งภายนอก ทั้งภายใน เป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่เห็นแก่ตัว นี่แหละจะเป็นพื้นฐานในการปล่อยวางได้เร็วไว
การแสวงหาธรรม เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ต้องทำความเข้าใจลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะไปคิดว่าเรามีสติ ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเราไม่มีเลย ถ้าเรามาสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ประคับประคอง ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของทุกคนชอบคิด ชอบเที่ยว
ในหลักธรรมนั้นท่านให้ดู ให้รู้ทุกอย่างในชีวิตของเรา ตั้งแต่เกิดโน่น ตั้งแต่เกิด เกิดทางด้านรูปธรรม ทีนี้เกิดทางด้านนามธรรม เขาเกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ ทางด้านรูปกายก็เกิดมาแล้ว ก็มีการพัฒนาจากเด็กเล็กเป็นเด็กโตเด็กใหญ่ขึ้นมา ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา จนกระทั่งได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ตัวสติปัญญา ตัวความคิดเก่าที่เกิดจากจิตวิญญาณ เป็นตัวบงการหมดเลยเดียว ก็เลยไปยึด ไปมั่น ไปหมายในสิ่งต่างๆ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ถ้าเรามาเจริญสติดำเนินตามคําสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่คลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตเข้าไปยินดียินร้าย จิตเข้าไปเสวยอารมณ์ต่างๆ จิตเป็นทาสของอารมณ์ต่างๆ
ในหลักธรรม ท่านให้ละความอยาก ละความหวัง จะให้บริหารด้วยสติ ให้บริหารด้วยปัญญา จากน้อยๆ ไปหามากๆ จนกว่าจะเต็มรอบ กําลังสติปัญญาของเรามีความเข้มแข็ง กล้าหาญอาจหาญต่อเนื่อง เข้าไปดูแลจิต เข้าไปควบคุมจิต เข้าไปหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ใหม่ๆ จิตของทุกคนนี้ชอบคิด ชอบเที่ยว สารพัดเรื่อง เขาก็หาเหตุหาผลมาปกปิดอำพรางตัวเองเอาไว้มากมายทีเดียว ตัววิญญาณ ก็กายเนื้อก็มาปกปิดเอาไว้ ในส่วนลึกๆ จิตกับอาการของจิตก็มาปกปิดเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกนิวรณธรรม พวกมลทินต่างๆ ทั้งโลกธรรมแปด สารพัดอย่าง ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียร สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีให้แรงกล้า ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่อย่าไปน้อยใจ
ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้มาสร้างบุญ สร้างอานิสงส์กัน ขอให้เดินตามทางที่พระพุทธองค์ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ อย่าไปทิ้งวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เรารู้จักวิธี เรารู้จักแนวทางแล้ว อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา อยู่หลายคนเราก็วิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจของเรา
การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้นะ สติของเราพลั้งเผลอเป็นอย่างนี้ เราต้องเริ่มขึ้นมาใหม่ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้กายปุ๊บ รู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ รู้ใจปุ๊บ จะทำโน่นทำนี่ ใจนิ่งรับรู้ปุ๊บ ใจจะก่อตัวปุ๊บ รู้ปั๊บ สติของเราปัญญา ปัญญาของเราไปทำหน้าที่แทนปุ๊บ รู้เห็นตามความเป็นจริง หมดความสงสัยในคําสอนของพระพุทธองค์ กําลังสติปัญญาของเราก็จะตามค้นคว้าจนหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จนหมดที่จะเราจะค้นคว้านั่นแหละเขาถึงจะหยุด
แต่เวลานี้กําลังสติของเรานี่มีน้อยนิด มีเป็นบางครั้งบางช่วงบางคราว มีไม่ได้ต่อเนื่อง จะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไรกัน เราต้องพยายามเพิ่มความเพียร ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน ถ้าเรามีสติคอยดู คอยรู้ การรับประทานข้าวปลาอาหารก็เหมือนกัน กายของเราหิว หรือว่าใจของเราอยาก ถ้าใจของเราเกิดความอยาก เราก็รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักดับความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ คนทั่วไปไม่ยอมดับทั้งที่รู้ๆ แต่ก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็มีกําลังมากขึ้นๆ จนเอาไม่อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นธรรม ความจริงมีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ สมมติวิมุตติ อัตตาอนัตตา พระพุทธองค์ท่านสอนอย่างไรมีหมด ขอให้เราเดิน ให้รู้ ให้เข้าถึงภายในของเรา เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ มีเครื่องตัดสินภายในคือความเป็นกลาง ความว่าง
แต่เวลานี้เราจะเอาแต่ผล แต่การเริ่มต้นของเราไม่ค่อยจะมี แต่การเริ่มต้นสร้างบารมีนั้นสร้างกันมานาน แต่การเริ่มต้นของการเจริญสติที่ต่อเนื่องที่สังเกต ที่วิเคราะห์ ใหม่ๆสติของเราอาจจะงุ่มง่าม ก็ต้องพยายามค่อยสร้าง ค่อยรักษา ค่อยสังเกต ค่อยวิเคราะห์ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทำความเพียรให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้แล้ว เห็นแล้ว หมดความสงสัยแล้ว ก็มีแต่จะตามทำความเข้าใจ ละกิเลสออกให้หมดออกจากใจของเรา มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน พยายามทำตามหน้าที่เราให้ดี เรามาอาศัยสมมติอยู่ กายของเราก็อาศัยสมมติอยู่ อาศัยหมู่อาศัยคณะ อาศัยพี่อาศัยน้อง อาศัยสมมติ อาศัยโลกอยู่ ถ้าถึงวาระเวลาเราก็ต้องได้วางทั้งภายนอก ทั้งกายของเรา ใจของเรายังเกิด มันก็ต้องไปเกิดต่อ เราก็ต้องพยายามดับความเกิดภายใน ถึงดับไม่ได้ก็พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมีให้เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป
การปฏิบัติธรรม จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อที่จะคลายกิเลส ก็เพื่อจะคลายความหลง ละกิเลสออกจากจิตใจของเราให้ได้ทุกอิริยาบถ ปฏิบัติธรรมไม่เข้าใจในธรรม แสวงหาธรรมไม่เข้าใจในธรรม จะรู้เรื่องตัวเราได้อย่างไร การเจริญสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ต้องทำให้ชัดเจน การดับ การควบคุม ต้องทำให้ชัดเจน ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่ ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ส่งเข้าไปถึงดวงวิญญาณในดวงใจของเรา ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักระงับยับยั้ง เราไปห้ามตาอย่าไปดูนะก็ไม่ได้นะ ห้ามหูอย่าไปฟังก็ไม่ได้ แต่เรามีสติคอยพิจารณา คอยยับยั้งใจของเราอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียง ก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจคอยสอนธรรมะให้เรา สติของเราก็จะคอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา เขาทำหน้าที่ของเขาหมด แต่เราไม่ได้จําแนกแจก เราไปมองเอาภาพรวม อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ
ในหลักธรรมแล้วเราต้องจําแนกแจกให้ชัดเจน รู้ด้วยสติ รู้ด้วยปัญญา ละด้วยปัญญา เหมือนกับเชือกมันมีอยู่ 5 เกลียว เราต้องรู้ว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหน กายของเราก็มีอยู่ห้าขันธ์ ห้ากองเหมือนกัน ถ้าไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ไปจําแนกแจกแจง ก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายามเอา อันนี้เป็นอานิสงส์แต่ละบุคคล หลวงพ่อก็ได้เป็นแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปศึกษา ไม่ไปทำตาม ก็จะไม่เข้าใจ ถึงจะพูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ อาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของโลกิยะ แต่ไม่เข้าใจในของโลกุตระ ไม่เข้าใจในเรื่องของหลักวิมุตติ วิมุตติสมมติ ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่ ใจก็มาอาศัยกายอยู่ กายก็อาศัยสมมติโลกอยู่ เราต้องทำความเข้าใจ เราจะไปหนีสมมติไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติ ปล่อยวางสมมติ อยู่กับสมมติ โน้นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางก้อนสมมติ
เพียงแค่ภายในเราก็ยังไม่รอบ ก็ไปหอบหิ้วเอา ไปยึดเอาภายนอกเข้ามาปกปิดดวงใจของเราไว้มากมาย เพราะว่าใจของเรามันหลงมาตั้งนาน มันหลงเกิดมาตั้งนาน หลงเกิดอยู่ในภพน้อย อยู่ในกัปน้อยกัปใหญ่อยู่อย่างนี้ นอกจากคําสอนของพระพุทธองค์เจาะจงลงไป พิจารณาลงไปให้เข้าถึงแก่นแท้คือความว่าง ความบริสุทธิ์ กลับคืนสู่สภาพเดิม คือไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถ้าเรารู้แนวทางแล้วก็ไปทำความเพียร กายวิเวก ใจวิเวกอยู่เป็นอย่างนี้ จนทำความเข้าใจได้เต็มรอบ อยู่กับสมมติ อยู่กับสังคม เคารพสมมติ เคารพหน้าที่ ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด นี่แหละเราก็จะได้ใกล้พระพุทธเจ้า ใครเห็นจิตคนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ใจของเราก็จะอยู่กับพระตลอดเวลา
การประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ปฏิบัติกายปฏิบัติวาจา แล้วก็ลึกลงถึงใจของเรา เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ อย่าไปโทษสถานที่นั้น อย่าไปโทษสถานที่นี้ เราจงโทษตัวเอง แก้ไขตัวเอง ขนาบตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเอง อย่าไปให้คนอื่น เราไปขอแนะแนวทางเท่านั้นเอง ครูบาอาจารย์ก็เพียงเป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ นอกจากตัวเราเอาไปดำเนิน ไปประพฤติ ไปปฏิบัติตาม ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ให้ใจของเราเข้าถึง ซึ่งเป็นของจริง ภูมิจิต ภูมิธรรมก็จะเกิดขึ้นที่เรา ก็ต้องพยายามนะ
เอาล่ะ วันนี้เขาเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
เพียงแค่มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ มาเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก รู้การหายใจเข้าออกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปเพ่งนะ ถ้าเพ่งสมองก็จะตรึง อย่าไปจดจ่อ ถ้าเราเอาจิตไปกำหนด ไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกของเรา หน้าอกก็จะแน่น วางกายให้สบายแล้วก็สร้างความรู้สึกให้ชัดเจน การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกตัวตรงนี้แหละในหลักธรรม ท่านเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ธรรมะเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเขาวิ่งออก อันนี้เป็นเพียงแค่รู้กาย
ลึกลงไปเราก็ต้องรู้ลักษณะของจิต จิตปกติ จิตที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างไร จิตที่ไม่หลงความคิด จิตที่ไม่หลงอารมณ์ จิตที่คลายออกจากความคิด คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร จิตที่มีความกังวล จิตที่มีความฟุ้งซ่าน เรารู้จักละ รู้จักดับ รู้จักแก้ไขตัวเราหรือไม่ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ เจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้เข้มแข็ง ให้ชัดเจน ให้รู้ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ที่เราสร้างขึ้นมานี่เป็นสติปัญญาตัวใหม่
แต่ส่วนมากคนเราทั่วไปจะใช้ความคิดที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากอาการของขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่กับทุกคน เพราะว่าขันธ์ทั้งห้านี้มีตัววิญญาณ แล้วมีตัวจิตเข้ามาครอบครองอยู่ ตัวจิตเข้ามาครอบครอง เข้ามายึด เข้ามาหลง แล้วก็มีความทะเยอทะยานยาก แต่จะเข้าถึงความเป็นจริงได้ เราต้องมาสร้างความรู้ตัว แล้วก็มาเจริญสติเข้าไปคอยดูแลจิต คอยควบคุมจิต คอยสังเกต คอยวิเคราะห์ คอยหมั่นพร่ำสอนจิตให้รู้เห็นตามความเป็นจริง จนกว่าความรู้ตัวของเราจะรู้เท่าทัน
ตัวจิตคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถึงจะเป็น สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เราก็จะเห็นลักษณะ รู้ลักษณะของความว่างที่แท้จริง กายจะเบา จิตก็จะโล่งโปร่ง ตามดู ตามรู้ ตามเห็นการดับของขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เข้าใจในหลักของขันธ์ห้าว่าเป็นกอง กองของใครกองของมัน ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ทำไมถึงว่าเป็นของหนัก ถ้าเรามาเจริญสติ แล้วแยกแยะ แล้วเราถึงจะเข้าถึงตรงนั้น ตามทำความเข้าใจได้
แต่เวลานี้เพียงแค่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเราก็ยังทำกันไม่ชํานาญ ทั้งที่ใจก็มีศรัทธากันเต็มเปี่ยม ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ฝักใฝ่ในการแสวงหาธรรม ตัวใจนั่นแหละคือธรรม ตราบใดที่เขายังส่งออกไปภายนอก ที่เขายังแสวงหาอยู่ เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองอยู่ เราถึงให้มาเจริญสติเข้าไปดับ เข้าไประงับ เข้าไปยับยั้ง เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากความคิด ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง สติปัญญาหาเหตุหาผลให้จิตยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามได้นิดๆ หน่อยๆ ถ้าขาดกันตามทำความเข้าใจ เขาก็อาจจะเข้าสู่สภาพเดิมอีก
เราต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว มีความเพียร อาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง แล้วก็สร้างตบะอย่างแรงกล้า ใจของเรามีความโลภ เราก็พยายามดับความโลภด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ด้วยการให้ ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับเขา ใจมีความโกรธ เราพยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตใจของเรา แล้วก็เจริญพรหมวิหารด้วยสติด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราต้องวิเคราะห์เรา เรามีความเกียจคร้าน เราพยายามละความเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เราเป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความเสียสละ ไม่เอารัดเอาเปรียบตัวเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบหมู่คณะเพื่อนฝูง มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบต่อทั้งภายนอก ทั้งภายใน เป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่เห็นแก่ตัว นี่แหละจะเป็นพื้นฐานในการปล่อยวางได้เร็วไว
การแสวงหาธรรม เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ต้องทำความเข้าใจลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะไปคิดว่าเรามีสติ ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเราไม่มีเลย ถ้าเรามาสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ประคับประคอง ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของทุกคนชอบคิด ชอบเที่ยว
ในหลักธรรมนั้นท่านให้ดู ให้รู้ทุกอย่างในชีวิตของเรา ตั้งแต่เกิดโน่น ตั้งแต่เกิด เกิดทางด้านรูปธรรม ทีนี้เกิดทางด้านนามธรรม เขาเกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ ทางด้านรูปกายก็เกิดมาแล้ว ก็มีการพัฒนาจากเด็กเล็กเป็นเด็กโตเด็กใหญ่ขึ้นมา ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา จนกระทั่งได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ตัวสติปัญญา ตัวความคิดเก่าที่เกิดจากจิตวิญญาณ เป็นตัวบงการหมดเลยเดียว ก็เลยไปยึด ไปมั่น ไปหมายในสิ่งต่างๆ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ถ้าเรามาเจริญสติดำเนินตามคําสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่คลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตเข้าไปยินดียินร้าย จิตเข้าไปเสวยอารมณ์ต่างๆ จิตเป็นทาสของอารมณ์ต่างๆ
ในหลักธรรม ท่านให้ละความอยาก ละความหวัง จะให้บริหารด้วยสติ ให้บริหารด้วยปัญญา จากน้อยๆ ไปหามากๆ จนกว่าจะเต็มรอบ กําลังสติปัญญาของเรามีความเข้มแข็ง กล้าหาญอาจหาญต่อเนื่อง เข้าไปดูแลจิต เข้าไปควบคุมจิต เข้าไปหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ใหม่ๆ จิตของทุกคนนี้ชอบคิด ชอบเที่ยว สารพัดเรื่อง เขาก็หาเหตุหาผลมาปกปิดอำพรางตัวเองเอาไว้มากมายทีเดียว ตัววิญญาณ ก็กายเนื้อก็มาปกปิดเอาไว้ ในส่วนลึกๆ จิตกับอาการของจิตก็มาปกปิดเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกนิวรณธรรม พวกมลทินต่างๆ ทั้งโลกธรรมแปด สารพัดอย่าง ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียร สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีให้แรงกล้า ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่อย่าไปน้อยใจ
ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้มาสร้างบุญ สร้างอานิสงส์กัน ขอให้เดินตามทางที่พระพุทธองค์ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ อย่าไปทิ้งวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เรารู้จักวิธี เรารู้จักแนวทางแล้ว อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา อยู่หลายคนเราก็วิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจของเรา
การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้นะ สติของเราพลั้งเผลอเป็นอย่างนี้ เราต้องเริ่มขึ้นมาใหม่ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้กายปุ๊บ รู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ รู้ใจปุ๊บ จะทำโน่นทำนี่ ใจนิ่งรับรู้ปุ๊บ ใจจะก่อตัวปุ๊บ รู้ปั๊บ สติของเราปัญญา ปัญญาของเราไปทำหน้าที่แทนปุ๊บ รู้เห็นตามความเป็นจริง หมดความสงสัยในคําสอนของพระพุทธองค์ กําลังสติปัญญาของเราก็จะตามค้นคว้าจนหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จนหมดที่จะเราจะค้นคว้านั่นแหละเขาถึงจะหยุด
แต่เวลานี้กําลังสติของเรานี่มีน้อยนิด มีเป็นบางครั้งบางช่วงบางคราว มีไม่ได้ต่อเนื่อง จะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไรกัน เราต้องพยายามเพิ่มความเพียร ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน ถ้าเรามีสติคอยดู คอยรู้ การรับประทานข้าวปลาอาหารก็เหมือนกัน กายของเราหิว หรือว่าใจของเราอยาก ถ้าใจของเราเกิดความอยาก เราก็รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักดับความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ คนทั่วไปไม่ยอมดับทั้งที่รู้ๆ แต่ก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็มีกําลังมากขึ้นๆ จนเอาไม่อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นธรรม ความจริงมีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ สมมติวิมุตติ อัตตาอนัตตา พระพุทธองค์ท่านสอนอย่างไรมีหมด ขอให้เราเดิน ให้รู้ ให้เข้าถึงภายในของเรา เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ มีเครื่องตัดสินภายในคือความเป็นกลาง ความว่าง
แต่เวลานี้เราจะเอาแต่ผล แต่การเริ่มต้นของเราไม่ค่อยจะมี แต่การเริ่มต้นสร้างบารมีนั้นสร้างกันมานาน แต่การเริ่มต้นของการเจริญสติที่ต่อเนื่องที่สังเกต ที่วิเคราะห์ ใหม่ๆสติของเราอาจจะงุ่มง่าม ก็ต้องพยายามค่อยสร้าง ค่อยรักษา ค่อยสังเกต ค่อยวิเคราะห์ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทำความเพียรให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้แล้ว เห็นแล้ว หมดความสงสัยแล้ว ก็มีแต่จะตามทำความเข้าใจ ละกิเลสออกให้หมดออกจากใจของเรา มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน พยายามทำตามหน้าที่เราให้ดี เรามาอาศัยสมมติอยู่ กายของเราก็อาศัยสมมติอยู่ อาศัยหมู่อาศัยคณะ อาศัยพี่อาศัยน้อง อาศัยสมมติ อาศัยโลกอยู่ ถ้าถึงวาระเวลาเราก็ต้องได้วางทั้งภายนอก ทั้งกายของเรา ใจของเรายังเกิด มันก็ต้องไปเกิดต่อ เราก็ต้องพยายามดับความเกิดภายใน ถึงดับไม่ได้ก็พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมีให้เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป
การปฏิบัติธรรม จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อที่จะคลายกิเลส ก็เพื่อจะคลายความหลง ละกิเลสออกจากจิตใจของเราให้ได้ทุกอิริยาบถ ปฏิบัติธรรมไม่เข้าใจในธรรม แสวงหาธรรมไม่เข้าใจในธรรม จะรู้เรื่องตัวเราได้อย่างไร การเจริญสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ต้องทำให้ชัดเจน การดับ การควบคุม ต้องทำให้ชัดเจน ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่ ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ส่งเข้าไปถึงดวงวิญญาณในดวงใจของเรา ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักระงับยับยั้ง เราไปห้ามตาอย่าไปดูนะก็ไม่ได้นะ ห้ามหูอย่าไปฟังก็ไม่ได้ แต่เรามีสติคอยพิจารณา คอยยับยั้งใจของเราอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียง ก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจคอยสอนธรรมะให้เรา สติของเราก็จะคอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา เขาทำหน้าที่ของเขาหมด แต่เราไม่ได้จําแนกแจก เราไปมองเอาภาพรวม อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ
ในหลักธรรมแล้วเราต้องจําแนกแจกให้ชัดเจน รู้ด้วยสติ รู้ด้วยปัญญา ละด้วยปัญญา เหมือนกับเชือกมันมีอยู่ 5 เกลียว เราต้องรู้ว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหน กายของเราก็มีอยู่ห้าขันธ์ ห้ากองเหมือนกัน ถ้าไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ไปจําแนกแจกแจง ก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายามเอา อันนี้เป็นอานิสงส์แต่ละบุคคล หลวงพ่อก็ได้เป็นแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปศึกษา ไม่ไปทำตาม ก็จะไม่เข้าใจ ถึงจะพูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ อาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของโลกิยะ แต่ไม่เข้าใจในของโลกุตระ ไม่เข้าใจในเรื่องของหลักวิมุตติ วิมุตติสมมติ ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่ ใจก็มาอาศัยกายอยู่ กายก็อาศัยสมมติโลกอยู่ เราต้องทำความเข้าใจ เราจะไปหนีสมมติไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติ ปล่อยวางสมมติ อยู่กับสมมติ โน้นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางก้อนสมมติ
เพียงแค่ภายในเราก็ยังไม่รอบ ก็ไปหอบหิ้วเอา ไปยึดเอาภายนอกเข้ามาปกปิดดวงใจของเราไว้มากมาย เพราะว่าใจของเรามันหลงมาตั้งนาน มันหลงเกิดมาตั้งนาน หลงเกิดอยู่ในภพน้อย อยู่ในกัปน้อยกัปใหญ่อยู่อย่างนี้ นอกจากคําสอนของพระพุทธองค์เจาะจงลงไป พิจารณาลงไปให้เข้าถึงแก่นแท้คือความว่าง ความบริสุทธิ์ กลับคืนสู่สภาพเดิม คือไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถ้าเรารู้แนวทางแล้วก็ไปทำความเพียร กายวิเวก ใจวิเวกอยู่เป็นอย่างนี้ จนทำความเข้าใจได้เต็มรอบ อยู่กับสมมติ อยู่กับสังคม เคารพสมมติ เคารพหน้าที่ ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด นี่แหละเราก็จะได้ใกล้พระพุทธเจ้า ใครเห็นจิตคนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ใจของเราก็จะอยู่กับพระตลอดเวลา
การประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ปฏิบัติกายปฏิบัติวาจา แล้วก็ลึกลงถึงใจของเรา เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ อย่าไปโทษสถานที่นั้น อย่าไปโทษสถานที่นี้ เราจงโทษตัวเอง แก้ไขตัวเอง ขนาบตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเอง อย่าไปให้คนอื่น เราไปขอแนะแนวทางเท่านั้นเอง ครูบาอาจารย์ก็เพียงเป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ นอกจากตัวเราเอาไปดำเนิน ไปประพฤติ ไปปฏิบัติตาม ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ให้ใจของเราเข้าถึง ซึ่งเป็นของจริง ภูมิจิต ภูมิธรรมก็จะเกิดขึ้นที่เรา ก็ต้องพยายามนะ
เอาล่ะ วันนี้เขาเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ