หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 030

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 030
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 030
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน อดทนนั่งให้ต่อเนื่องกันอีกสักพักหนึ่ง ในเมื่อพวกเราเข้ามาถึงวัดแล้ว ได้มาทำบุญถวายทาน ทั้งวัตถุทานก็ได้ถวายกันแล้ว ทีนี้เราก็มาเจริญสติ มาทำความสงบ ใจไม่สงบ เราก็พยายามทำใจของเราให้สงบ ด้วยการสร้างอานาปานสติ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สงบระงับตั้งมั่นขึ้น มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ การสูดลมหายใจยาว ปล่อยลมหายใจมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ก็มีความรู้สึกที่ชัดเจน

เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม เราอาจจะสร้างอยู่ แต่สร้างไม่ต่อเนื่อง เราจึงมีความรู้ตัวอยู่ได้เป็นบางครั้งบางคราว บางทีก็ชั่วโมงหนึ่งอาจจะรู้ตัวได้สองเที่ยวสามเที่ยว หรือบางครั้งก็เป็น 5 นาที 10 นาที หรืออาจจะ 5 นาทีรู้ที ชั่วโมงรู้ที อันนั้นเขาเรียกว่า ‘ทิ้งปัจจุบันไปแล้ว’

ปัจจุบันธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าลมหายใจออก ลึกลงไปก็รู้จิตทุกขณะจิต จิตจะก่อตัวปุ๊บ เรามีสติรูปตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น เราก็จะรู้สึกว่าเห็นการก่อตัวของจิต เขาจะเริ่มปรุงเริ่มแต่งนั่นแหละ จิตจะเริ่มปรุงเริ่มแต่ง ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน เราก็จะรู้จักควบคุมใจตรงนั้นเอาไว้ตั้งแต่ต้นเหตุ แต่ส่วนมากเราจะรู้ไม่ทันตรงนั้น เวลาจิตเกิด จิตปรุงแต่ง อันนั้นสำหรับสำหรับตัวจิต ในรายละเอียดอีก อาการของจิตอีกที่มาปรุงแต่งจิต ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ตัวจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะว่ากำลังสติของเรามีน้อย ก็เลยเข้าไปหลงเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกันแล้วคิดปรุงแต่งส่งออกไป

เขาหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ นั่นแหละอวิชชา ความไม่รู้ ความหลง หลงตัวนี้ตัวเดียวแล้วก็ไปหลงเอาหมด ไปยึดเอาหมดทุกอย่าง ถ้าเราคลายตัวนี้ ถ้าเราสังเกตรู้เท่าทัน เขาจะคลายออกจากกัน เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก จะไปรู้เท่าทันตรงนี้
ถ้าเราแยกได้ ใจของเราคลายได้ กำลังสติก็จะตามดูการเกิดการดับของขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกเรื่องที่เขาเกิด กำลังสติก็จะกลายเป็นมหาสติ มหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริง จนเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ เขาถึงจะคลาย เขาถึงจะหาทางหลบหลีกหลบหลีกไม่ได้ เขาถึงจะยอมอุเบกขา

ถ้าใจของเราจะเกิดส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักดับ จะเกิดกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก อยากไปอยากมา อยากมี ไม่อยากไปไม่อยากมา ไม่อยากมี เพียงแค่การเกิดนั่นแหละ เราก็ดับ แต่ส่วนมากเราจะไปดับเอาช่วงกลางเหตุ ปลายเหตุ หรือมันส่งออกไปทางกาย ทางวาจา กายวาจาก็ไม่ควบคุมแล้วจะไปควบคุมในส่วนลึก ในส่วนภายในได้อย่างไร แม้แต่สติก็ยังมีกำลังน้อย เราต้องพยายามสร้างกำลังสติ ตามดู ตามรู้จนหมดความสงสัย หมดทุกสิ่งทุกอย่างจนละจนดับความเกิด เราก็จะดับความเกิดให้สั้นลงๆ ก็ถึงตัวของเขาคือความว่าง

ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าเขาก็ว่าง ความว่างนั่นแหละคือองค์ฌาน นั่นแหละคืออุเบกขาฌาน เป็นเครื่องอยู่ของใจ แต่คนส่วนน้อยอาจจะปกติ สงบ ปิติสุขอยู่แค่นี้ แต่ใจยังไม่ได้พลิก ใจยังไม่ได้หงาย ยังตามค้นคว้าไม่ได้ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แต่ก็อย่าพยายาม แต่ต้องพยายามทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็เพิ่มความเพียรในการสังเกต ในการวิเคราะห์ เพียงแค่เพิ่มความเพียรนั้นก็ไม่ให้เพิ่มด้วยความอยาก

จงสร้างสติให้ต่อเนื่อง ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นมาใหม่ คนทั่วไปไม่ใช่อย่างนั้น หันหน้าเข้าหากันไม่รู้ว่าเรื่องอะไร สารพัดเรื่องคุยกัน คุยกันทุกเรื่อง เอาไม่หยุดเอาไม่หย่อน มันจะไปเข้าถึงได้อย่างไร ทั้งที่ใจบางครั้งก็ฝักใฝ่ในบุญในกุศล ในการสร้างคุณงามความดี อันนั้นก็เป็นการสร้างตบะสร้างบารมีอยู่ระดับของสมมติ แต่เราก็พยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ

เดินให้ถึงจุดหมายในสิ่งที่เราแสวงหา การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับ การควบคุม การสังเกต การวิเคราะห์ การดูแล การรักษา การชำระสะสางกิเลส กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ หลักของอริยสัจสี่เป็นอย่างนี้ ความจริงเป็นอย่างนี้ ขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ตัววิญญาณที่มาอาศัยกายนี้อยู่เป็นอย่างนี้ ทวารทั้งหกทำอย่างนี้ มันทำหน้าที่ของเขาหมด ทุกอย่าง ถ้าเรารู้จักจำแนกแจกแจง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากวิญญาณของเรา มันอยู่กันคนละส่วนอยู่ แต่เขาก็อาศัยกันอยู่ ตัววิญญาณก็มาอาศัยกายนี้อยู่ มาสร้างภพสร้างชาติ วิญญาณเขาก็ปิดบังอำพรางตัวเขาเองมากเลยทีเดียว ถ้ากำลังสติไม่แหลมคมจริงๆ

เขามาสร้างภพสร้างชาติในภพของมนุษย์ กายเนื้อมาปิดบังเอาไว้ ความคิดอารมณ์ก็มาปิดบังเอาไว้ แถมอำนาจกิเลส ความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัววิญญาณก็ไปกั้นตัวเอาไว้อีก หลายสิ่งหลายอย่าง ทีนี้ก็โลกธรรมแปดอีกมาปิดบังเอาไว้ กว่าจะค้นคว้า เพียงแค่แยกรูปแยกนาม เดินให้ถูกต้องของสัมมาทิฏฐิในข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด อันนี้ก็ทั้งยาก ถ้าคนเราไม่สนใจจริงๆ

ละทิฏฐิ ละความเห็นของเราออกให้หมด อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง แยกให้ได้เสียก่อน ตามดูให้ได้เสียก่อน รู้เห็นตามความเป็นจริงให้ได้เสียก่อน ปัญญาฝ่ายดับก็ยังไม่มี ปัญญาฝ่ายตามทำความเข้าใจก็ยังไม่มี ปัญญาฝ่ายเกิดมันจะมีไปได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ทั้งพระท่านญาติโยมทั้งชี ไม่เหลือวิสัย เราแสวงหาธรรมเราย่อมจะรู้ธรรม แสวงหาโลกย่อมจะรู้โลก โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่ เราจะไปทิ้งโลกไม่ได้ก็กายของเราเป็นก้อนโลก หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้วางโลกก้อนนี้ แต่ให้เราวางดับความเกิดภายในของเราให้ได้ แยกแยะจำแนกแจกแจงให้ได้เสียก่อน ก่อนที่ร่างกายของเราจะแตกดับ ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง