หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 028

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 028
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 028
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ทำใจของเราให้สงบ นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย อันนี้เป็นการย้ำ เป็นการเตือนให้ทุกคนสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘การเจริญอานาปานสติ’

สร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็ให้รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต จิตปกติ จิตที่สงบ จิตที่ปราศจากกิเลส จิตที่กำลังก่อตัว อาการของจิตกับตัวจิต หรือว่าความว่างเขาเป็นลักษณะอย่างไร ในส่วนลึกๆ ในกายของเรา แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีน้อย ก็เลยมีตั้งแต่ปัญญาเก่าที่เกิดจากตัวจิต เกิดอาการของจิตเข้าไปครอบครองเสีย เพราะว่าการเกิด เกิดเข้ามาอยู่ในกายเนื้อก้อนนี้ เขาหลงเขาถึงได้เกิด แต่เกิดในภพภูมิที่ดีคือภพภูมิของมนุษย์ แล้วก็กายก้อนนี้มีอะไรบ้าง

เหมือนกับเชือกมีอยู่ 5 เกลียว กายของเราก็มีอยู่ 5 ขันธ์เหมือนกัน เราต้องรู้ว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหน กองไหนเป็นกองไหน ขันธ์ไหนเป็นขันธ์ไหน แต่อยู่ในกายก้อนเดียว ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ จนกว่าตัวใจของเราคลายออกจากอาการของใจ ก็จะเห็นเป็น 3 ขันธ์

ตัวใจนั้นคือขันธ์หนึ่ง อาการของใจนั้นขันธ์หนึ่ง ส่วนรูปก็เป็นขันธ์หนึ่ง ซอยละเอียดลงไปอีก อาการของใจนั้นเป็นเรื่องอะไรอีก เป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต ถ้าเป็นเรื่องอดีตก็เป็นกองอีกขันธ์หนึ่ง กองของสังขาร มันจำแนกแจกแจงไล่ลงไปเรื่อยๆ ถ้าเราแยกไม่ได้เราก็มองเห็นเป็นกองเดียว เป็นก้อนเดียวคือก้อนรูป แล้วก็ไปหลงไปยึดเอาว่าเป็นตัวตน ทั้งจิตทั้งกายนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ในระดับของสมมติ ในส่วนนามธรรมเราต้องจำแนกแจกแจง เราถึงจะเห็น เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ เหมือนกับน้ำกลิ้งอยู่บนใบบอน ถ้าเราไม่วิเคราะห์จริงๆ ยากที่จะเข้าใจ

ส่วนมากก็มีศรัทธา ทำบุญให้ทาน เจริญพรหมวิหาร แสวงหาธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม อยู่กับธรรม แต่ไม่เห็นธรรม ใจเป็นธรรม แต่ไม่รู้จักรักษาธรรม ก็ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม มันก่อตัวตรงไหนเราดับตรงนั้น เขาก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ อยู่ฐานของเขา อยู่กลางหทัยของเรานั่นแหละ ถ้าเราดูรู้ให้ชัดเจนเห็นให้ชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล ทางสมมติก็มีเหตุมีผล ทางวิมุตติก็มีเหตุมีผล กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เราจะไปพรากจากเขา ให้พรากจากกันแค่วันสองวันเป็นไปไม่ได้ เราต้องเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา อันนั้นผิดอันนี้ถูก อันนี้เป็นกุศล อันนี้เป็นอกุศล กายทวารของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจ

ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา ทวารทั้งหกเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเข้าไปถึงตัวใจของเรา ถ้าเราเจริญสติความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เวลาตากระทบรูป ใจของเราเป็นอย่างไร หูกระทบเสียง ใจของเราเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สวยก็รู้ว่าสวย งามก็รู้ว่างาม ใจของเรายินดีหรือไม่ ผลักไสหรือไม่ เราก็จะได้เห็น

สตินี้แหละเปรียบเสมือนกับอาจารย์คอยตรวจสอบ คอยสังเกต คอยระวัง แต่เวลานี้สติของเรามีนิดเดียว ตัวใจกับอาการของใจมันเร็วมันไว มันไปสารพัดเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง นั่นแหละมันหลงอยู่ตรงนั้นอยู่ หลงอย่างลุ่มมลึกเลยทีเดียว ความหลงเนี่ยคลายได้ยาก ถ้าแรงสติแรงปัญญาของเราไม่แหลมคมจริงๆ

แต่ศรัทธาของทุกคนนั้น ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน มีความรับผิดชอบ มีความขยันหมั่นเพียร ถ้าฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ถ้าเกียจคร้านนี้ใช้การไม่ได้เลย ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ระดับของสมมติภายนอก เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเสียสละหรือไม่ เราก็ต้องดู จะเอาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่มีความเสียสละ ไม่มีความอดทน ไม่มีความอดกลั้น ไม่มีตบะ มันก็ยาก ไม่มีขันติวิริยะ ความเพียรต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนประกอบเข้ากันหมด

เหมือนกับบันได ขึ้นไปบนสู่ตัวเรือน ก็อาศัยลูกบันไดต่อเนื่องกัน เราจะไปตัดทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ศรัทธามาก่อนปัญญา ศรัทธาแล้วก็ปัญญาในทางที่ถูก การทำความเพียร การขัดเกลา การละกิเลส การดับความเกิด เราต้องวิเคราะห์ทุกเรื่อง ไม่ให้พลาดโอกาสของสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาได้เลย แต่เวลานี้สติปัญญาของเรามีน้อยเต็มทน ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสนใจ ไม่ค่อยจะสร้างกัน ถ้าเราสร้างขึ้นมาเพียงแค่ควบคุมใจให้อยู่ในความสงบ แล้วก็หัดสังเกตจากอาการของใจ ว่าเขาก่อตัวอย่างไร เขาเคลื่อนเข้าไปร่วมกันได้อย่างไร

ถ้าสังเกตทัน ใจของเราก็จะคลายออกนี่แหละ เขาถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ สัมมาทิฏฐิข้อแรกเลยแหละ ความเห็นถูกต้อง เห็นใจคลายออกจากอาการของใจ แยกรูปแยกนาม ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เกิดปิติ เกิดสุข ฌานหนึ่ง ฌานสอง ทุติญาณ ตติญาณ อุเบกขา มันจะตามมาหมด ถ้ากำลังสติของเราตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามทำความเข้าใจ

ขันธมารต่างๆ เขาก็จะมาหลอก ขันธ์ห้านั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘ขันธมาร’ มาหลอก ถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็ไป ถ้าหลอกไม่ได้ก็ตามดูๆ เราก็จะเข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเรา เข้าใจในหลักของอนัตตา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

ใจส่งไปภายนอก เข้าใจในหลักของอริยสัจสี่ ใจส่งออกไปภายนอก เขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ ถ้าใจยังหลงอยู่ เราก็ต้องคลายความหลง ตามดูขันธ์ห้า ละกิเลส ได้มากได้น้อยก็เข้าสู่วิปัสสนาญาณ ละกิเลสเบาบางจากหยาบไปหาเบาบางออกไปเรื่อยๆ จนโน่น หน่วงเหนี่ยวเอานิพพานเป็นอารมณ์ เอานิพพานคือความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ทีนี้เราก็มาขัดเกลาละกิเลสออกให้มันหมดที่นั่นที่นี้ก็เหือดแห้งไปๆ จนใจไม่เกิดนั่นแหละ ดับความเกิด ไม่อยากตายก็ต้องดับความเกิด

แต่เวลานี้มันเกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ เราก็ต้องมาแก้ไข มาทำความเข้าใจ ไม่ให้ใจของเราไปเกิดต่อ ดับความเกิดเสียให้เรียบร้อย เราก็จะมองเห็นหนทาง ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน แล้วก็มาทำความเข้าใจกับโลก โลกภายนอก โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่ อันนี้เรื่องของกาย เรื่องของจิต อันนี้วิมุตติ ถ้าจิตยอมรับความเป็นจริง จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงหมดแล้วเขาไม่ยึดหรอก เขาไม่เอาหรอก เขาเป็นทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสก็ไม่เอา

แต่ขันธ์ห้าเราต้องทำความเข้าใจ เราละ ถ้าเราไม่ตามดู ตามรู้ ตามทำความเข้าใจ เขาก็จะเข้ามาอยู่นั่นแหละ น้อยคนๆ ที่จะเดินถึงจดหมายปลายทางจริงๆ ส่วนมากก็ได้แค่ความสงบ ความปิติ ความสุข การทำบุญให้ทาน แต่ก็อย่าไปท้อ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ตามทุกเรื่อง ตามดูทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา จะลุกจะก้าวจะเดิน ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เพียงแค่ก้าวแรกเราก็มีความรู้สึกรับรู้ ตื่นขึ้นมาเราก็มีความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออก อยากจะรู้ลมหายใจเข้าออก อยากจะรู้จิตรู้กาย รู้ได้หมดถ้าสติของเราเป็นมหาสติมหาปัญญา ช่วงใหม่ๆ ถ้าใจมันยังไม่คลายออกจากขันธ์ห้า ความรู้ตัวของเราจะพลั้งเผลอ พลั้งเผลอเสียมากกว่า ขนาดฝึกอยู่ก็ยังพลั้งเผลอ ถ้าแยกแยะได้แล้วถ้าขาดตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก มันก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม

เราต้องทำความเข้าใจให้หมดจด จนสติของเราเป็นมหาสติ จนกลายเป็นมหาปัญญา จนกลายเป็นปัญญา จนไม่ได้สร้างปัญญา ดูรู้ละ ทำความเข้าใจ จนใจของเราไม่เกิด วางใจให้เป็นอิสระ จนไม่ได้มากังวลกับใจอีก ปล่อยให้ใจเป็นอิสระ เพราะว่าใจเป็นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้ทั้งรู้ด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งสารพัดอย่างที่เขาจะวิ่งด้วย

ใจนี้ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติจริงๆ เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองทุกอย่าง เขาหลอกตัวเอง เขากลัวไม่ได้เที่ยว เขากลัวจะพลัดพรากจากเพื่อนเก่า คืออาการของขันธ์ห้า กลัวจะไม่ได้เป็นทาสของกิเลส เราฝึกฝนตนเอง ท่านถึงบอกให้พยายามขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบต่อตัวเราเอง มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ทุกเรื่อง อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก อยากคิด อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากคิด ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ความเป็นกลาง ดับความเกิด ให้เขารับรู้ หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปพิจารณาทีละน้อยๆ มันก็จะเต็มรอบมากขึ้นๆ จนกว่าจะเต็มรอบเป็นมหาสติ มหาปัญญา เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ตลอดเวลา

คนเรามองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่ความอยาก อยากคิด อยากมีอยากเป็น กลัวจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้น เสียเปรียบกิเลสคนนี้ สารพัดอย่าง คนโน้นจะคิดกับเราอย่างนั้น คนนั้นจะคิดกับเราอย่างนี้ เราคิดไปเองทั้งนั้น เออเองทั้งนั้น เขาจะว่าเรา ก็เรื่องของเขา เราห้ามไม่ได้ ถ้าจะว่าเราอย่างนั้น ว่าเราอย่างนี้ เราอย่าไปบอก ไปคิดว่าเรา อย่าไปบอกเขา อย่าไปว่าฉันอย่างนั้น อย่าไปว่าฉันอย่างนี้ เราห้ามเขาไม่ได้หรอก เรามาห้ามเรา มาห้ามเรา มาแก้ไขที่เรา ปรบมือข้างเดียวก็ไม่ดัง เขาปรบมือข้างเดียว เขาก็เหนื่อยเขาก็หยุดเอง
เรามาดับที่เรา แก้ไขที่เรา ปรับปรุงที่เรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ใจของเราก็ส่งออกไป มองคนโน้น มองคนนี้ ตำหนิคนโน้น ตำหนิคนนี้ นั่นแหละกิเลส มลทิน นิวรณธรรมต่างๆ มันเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน ใจของเรามีความอิจฉาริษยา ใจของเรามีความลังเล ความรู้ตัวของเราขาดพลั้งเผลอ เราต้องศึกษาทำความเข้าใจ แล้วสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ใครเขาจะทำให้ถ้าเราไม่ทำเอา

มาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ก็มีความรักความสมัครสมานสามัคคี อยู่คนเดียวก็กายวิเวก อยู่หลายคนก็กายวิเวก ใจวิเวก รู้จักแก้ไขช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่หลายคนก็ความรับผิดชอบเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ที่จะต้องแก้ไข ช่วยกันไม่ใช่ว่าหน้าที่ของฉัน ไม่ใช่หน้าที่ของคนโน้นคนนี้ เป็นหน้าที่ของทุกคน มีอะไรเราก็ช่วยกัน งานหนักก็จะเป็นงานเบา งานเบาก็จะแทบจะไม่มี

มีความสุขกับการกับงาน เอาการงานเป็นการฝึกหัด ขณะทำงานไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย เราก็ได้ประโยชน์ ใจก็ได้พักผ่อนขณะที่เราทำงาน มีความสุข ถ้าเรามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน ไม่มีความรับผิดชอบ แม้แต่ร่างกายตัวเองก็แบกรับผิดชอบที่หนัก แล้วไปโยนความรับผิดชอบให้คนโน้นคนนี้ แล้วก็ไปโทษคนโน้นคนนี้ มีแต่คนโง่โทษนั้นแหละทำอย่างนั้น คนฉลาดจะแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ช้าประโยชน์เร็ว ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า

เราจงเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเปลี่ยนแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา สติ ปัญญา สมาธิ ลักษณะของศีล ความปกติของกาย ของวาจา ของใจ ลักษณะของจิตที่สงบปราศจากกิเลส นั่นแหละก็เรียกว่าอยู่กับธรรมอยู่กับพระ ทำกายให้เป็นพระ ทำใจให้เป็นพระ พยายามหมั่นเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ หมั่นสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ทั้งภายนอกทั้งภายใน เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง