หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 014

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 014
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 014
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สงบระงับตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน

เราพยายามสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยังตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอา ไปคิดเอา ถ้าเรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้เวลาใจของเราเกิด เวลาใจของเราปรุงแต่ง เขาจะเริ่มก่อตัว ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักระงับยับยั้งใจของเราให้อยู่ในความสงบ เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ทุกเวลาที่ใจเกิด เราก็ดับ ถ้ามีความคิดที่แทรกเข้ามาที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ ใจของเราก็จะคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งมาปรุงแต่งใจของเรา ใจของเราก็จะดีดตัวออก มันก็จะว่าง กายก็จะเบาใจ ก็จะโล่งโปร่ง

ความรู้ตัว หรือว่าสติของเราก็จะตามดู ตามรู้ ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด ของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่าเห็น ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รู้ตัววิญญาณจริงๆ เราก็จะตามทำความเข้าใจ มองเห็นการดำเนินชีวิตของเรา อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม อะไรคือส่วนรูปร่างกายของเรา อัตภาพร่างกายของเรานี้ไม่อยู่ในอำนาจของใจของเรา แต่ใจของเรามาหลง มายึดว่าเป็นตัวตนของเราจริงๆ เพราะว่าเรายังแยกแยะไม่ได้ ตามดูไม่ได้ เพียงแค่มายึดเอาสภาพร่างกายว่าเป็นตัวตนของเรา อันนี้ยึดเอาส่วนรูปธรรม ส่วนนามธรรมซึ่งเรายังไม่ได้แยก ก็ไปยึดเอาความคิด ยึดเอาอารมณ์ว่าเป็นความคิด เป็นตัวเป็นตน เป็นความคิดของเรา นั่นแหละอัตตาก็เลยเกิด กายก็เลยหนัก

ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง วิเคราะห์ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางให้ กายของเราก็เปรียบเสมือนกับเชือกสักเส้นหนึ่ง มีอยู่ 5 เกลียว ถ้าเราจำแนกแจกแจง ฉีกออกมาทีละเกลียวๆ มองด้วยปัญญา มองเห็นทีละเกลียวๆ ก็จะเห็นเป็นส่วนใครส่วนมันอยู่ กายของเรานี้ก็เหมือนกัน ส่วนกายนี้ก็ส่วนหนึ่ง ส่วนนามธรรมความคิดที่มันเกิดๆ ดับๆ มีทั้งตัววิญญาณ มีทั้งอาการของวิญญาณ เขารวมกันไปอยู่ เราแยกไม่ได้ เราก็เลยว่าเป็นเราคิด เราทำ มันหลง โมหะอย่างลุ่มลึกตรงนี้

ส่วนการทำบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีนั้น ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดี จะมีมากมีน้อย ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล ทุกคนก็มีบุญแล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มาพยายามหัดวิเคราะห์ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงตรงนี้ ว่าอะไรคือส่วนนาม ลักษณะของวิญญาณที่มันเกิด วิญญาณที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร วิญญาณที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร เพราะความหลงนั่นแหละเขาถึงได้เกิด หลงมาแล้วถึงเกิด พอเขาเกิดแล้วก็ไปหลงเอาความคิดซึ่งเป็นอาการอีก ท่านถึงบอกให้สังเกต หัดวิเคราะห์ หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

สภาพวิญญาณเดิมนั้นเขาไม่มีกิเลส เขาไม่มีความโลภ ความโกรธ เขาไม่มีความทะเยอทะยานอยาก เพราะความหลงทำให้เขาเกิด แล้วก็หลงก็ยึดด้วย กำลังสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาต้องหัดวิเคราะห์ หัดสังเกต หัดพร่ำสอนใจตัวเราเองตลอดเวลา จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้เมื่อไร นั่นแหละเขาถึงจะวาง เพราะว่าเขารู้ว่าไม่มีสารประโยชน์แก่นสารอะไร

เมื่อเขาวางแล้ว เขาเกิดกิเลส เราก็ใช้สติปัญญาเข้าไปดับ ไปหมั่นพร่ำสอนเขาอยู่ตลอดเวลา กระหนาบแล้วกระหนาบอีกๆ จนใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงว่า กายก้อนนี้มันเป็นก้อนทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจของใจของเรา เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็เป็นรังแห่งโรค นี่แหละถ้าเรามาศึกษา มาค้นคว้า มาทำความเข้าใจ ให้รีบแก้ไขใจของเราให้มันถึงจุดหมายปลายทางเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีแต่ความสุข อยู่ปัจจุบันก็มีความสุข ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี

ทุกคนก็ต้องได้ละได้วางหมด แต่เราต้องหัดปล่อยหัดวาง วางที่ใจของเรา กายของเราก็ดูแลรักษาเขาไป ถ้าถึงวาระเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ จะเอาอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่ เพราะว่ามันเป็นก้อนทุกข์ เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ส่วนรูปธรรมก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ส่วนนามธรรม ความคิด ขันธ์ห้าก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ตัววิญญาณเข้าไปรวมเข้าไปร่วม แต่เราเข้าไม่ถึงตัววิญญาณจริงๆ เข้าไม่ถึงฐานของวิญญาณจริงๆ ก็เลยไม่เข้าใจในส่วนนี้ ก็เลยได้ตั้งแต่สร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีกัน

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็พยายามสร้างคุณงามความดี อย่าไปปล่อยปละละเลย แม้แต่จัดระบบของความคิด ของอารมณ์ ไล่ลงไปถึงตัววิญญาณ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันมั่นเพียร มีความเสียสละอย่างยิ่งยวด ความอยากแม้แต่นิดเดียวอย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากคิด ความทะเยอทะยานอยาก

ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง แต่ให้บริหารด้วยสติด้วยปัญญา ลักษณะของสติที่เราสร้างขึ้นมา ใหม่ๆ ก็มีการพลั้งเผลอ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จนรู้จักเอาไปใช้ รู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามได้ นั่นแหละ จิตถึงจะตกกระแสธรรม ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ เพียงแค่เริ่มต้นขึ้นถึงตัวเรือน ถ้าเราตามดู ตามรู้ ตามเห็น ว่าเขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร จิตของเราเริ่มเข้าไปรวม ไปยินดี ไปเสวยอย่างไร จะมีความสุข จะสนุก กำลังสติของเราเพิ่มความเพียรตามดู ตามค้นคว้า จนเป็นมหาสติ ไม่ปล่อยปละละเลยแม้ตั้งแต่กระเบียดนิ้วเดียว ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา

แต่เวลานี้สติของเราไม่ค่อยจะได้สร้างกันเลย อยากจะได้แต่ธรรม อยากจะเอาแต่ธรรม ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในกุศล อยากจะได้ธรรม ความอยากนั่นแหละมันปิดกั้นเอาไว้แล้ว เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปดับความอยาก หัดวิเคราะห์ ถ้าจิตของเราคลายเมื่อไร เราก็จะมองเห็นหนทางทันที สัมมาทิฐิ ความรู้อย่างเห็นจริงในข้อแรกเลยทีเดียว คือความเห็นถูกในอริยมรรคในองค์แปด

เห็นถูก ทำถูก คิดถูก ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านบัญญัติเอาไว้ตรงเป๊ะหมดเลยทีเดียว เราต้องพยายามดูรู้เห็นการเกิดของจิตที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร จิตที่รวมกับอาการของความคิดเป็นอย่างไร ส่งออกไปภายนอกนั้น เราก็น้อมเข้าสู่หลักของอริยสัจสี่ คือความจริงที่ปรากฏขึ้นในกาย ในใจของเรา
ตามดู ตามรู้ เห็นความคิด เห็นอารมณ์ เห็น รอบรู้ในกองสังขารได้ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเรา รอบรู้ในโลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา ทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องทำความเข้าใจ จำแนกแจกแจงให้วิญญาณของเรารับรู้อยู่ภายใน ผิดถูกชั่วดีอย่างไรสติปัญญาของเราไปแก้ไขนั่นแหละ ใจของเราสงบ ใจของเราปกตินั่นแหละคือศีลใจของเราสงบนั่นแหละคือสมาธิ ปัญญาของเรารอบรู้ เห็นตามความเป็นจริง ขัดเกลากิเลส ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจด นั่นแหละตัววิปัสสนา

อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา เจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งหาธรรมะที่โน่น วิ่งหาธรรมะที่นี่ ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปดับ เข้าไปทำความเข้าใจ เข้าไปละกิเลส เราละกิเลสได้ เราดับความเกิดของใจได้ เราไม่อยากจะได้ความสงบ มันก็เกิดขึ้นมาเอง เราละกิเลสความอยากแม้แต่นิด หน่อยๆ ละกิเลสต่างๆ ออกจากใจของเราจนหมดจด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ มันก็ได้เอง แต่ก็ยากนะ

การพูดนี่ง่าย แต่การทำความเข้าใจต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรตลอดอย่างยิ่งยวด ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนนอกจากจะนอนหลับ จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นธรรมชาติในการดู ในการรู้ เป็นธรรมชาติในการรับรู้ แม้แต่การเกิด เราก็ไม่ให้เกิด ตัววิญญาณนั่นแหละไม่ให้เกิด ตัวจิตนั่นแหละ แต่ละนาที แต่ละวินาที ไม่รู้เกิดสักกี่เรื่องคนทั่วไป ใจนี้ก็แปลก ถ้าเราไม่ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าเราไม่ขัดเกลาเขาจริงๆ ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้ว แม้แต่การเกิดเขาก็ไม่เอาเพราะว่ามันเป็นทุกข์ การเกิด การยินดียินร้าย มันเป็นทาสของอารมณ์ ก็เหลือตั้งแต่ทำความเข้าใจกับสมมติ

อัตภาพร่างกายของเราก้อนนี้มันเป็นก้อนทุกข์อยู่แล้ว เราก็ต้องดูแลรักษาเขาไป ถ้าถึงเวลาเขาก็แตกดับ คืนสู่สภาวะเดิมคือดินน้ำลมไฟ กลับคืนสู่สภาพเดิม ทุกคนต้องพลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตายก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น เป็นความเป็นจริงของหลักสัจจธรรม ก็ต้องพยายาม

อย่าพากันประมาท ให้พากันสร้างคุณงามความดี แม้ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าไปมองข้าม เราทำน้อยก็เป็นของเรา เราทำมากก็เป็นของเรา คนอื่นเขาทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุ เราก็มีอานิสงส์แห่งบุญนั้นด้วย อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน ให้มีแต่ความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยม ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข ความเจริญ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง