หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 029
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 029
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา วิเคราะห์การหายใจเข้าออกของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกเงี่ยหูฟัง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบันธรรม รู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้ไม่ชำนาญ เวลาจะดูที เวลาจะรู้ทีนี่อึดอัด บางทีก็หายใจอึดอัด บางทีก็สมองก็ตึง บางทีจิตก็ตึง เพราะว่ายังไม่เป็นธรรมชาติ
เราต้องฝึกบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ ให้เป็นธรรมชาติในการหายใจเข้าออก หายใจยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจน อันนี้เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ หรือว่าสติรู้ตัว เรารู้ตัวให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ไม่ใช่ว่าไปคิดเอาว่าเป็นอย่างนั้น คิดเอาว่าเป็นอย่างนี้ อันนี้ความคิดที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากอาการของจิตนั้นมีอยู่ประจำกันทุกคน เราต้องมาสร้างความรู้ตัวใหม่ให้มีให้เกิดขึ้นแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ก็เพื่อที่จะไปรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต รู้การเกิดการดับ รู้จิต อาการของจิตเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ ส่วนอื่นก็เป็นส่วนประกอบ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีปัจจัยหมด ประกอบกันหมด
จิตของทุกดวงก็ฝักใฝ่ปรารถนาที่อยากจะหลุดพ้น ปรารถนาที่จะสร้างอานิสงส์สร้างบุญกัน แต่เป็นการเกิด ความเกิดนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘ความหลง’ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดแล้วก็ปรุงแต่งไปยึดเอาทุกอย่าง ตั้งแต่ก่อนก็มีแต่ดวงวิญญาณ ความบริสุทธิ์ของวิญญาณ เกิดเวียนว่ายตายเกิด เกิดในภพน้อย เกิดในภพใหญ่ แต่เวลานี้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ อยู่ในกายก้อนนี้ซึ่งมีขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ มาก่อร่างสร้างตัวเป็นขันธ์ห้า ผูกมัดปิดบังตัวอำพรางตัวจิตเอาไว้
ถ้าไม่อาศัยปัญญาของพระพุทธเจ้าก็ยากที่จะเข้าใจ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปแยก จนจิตของเราคลายออกจากอาการของจิตได้ เราถึงจะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ
ตราบใดที่เราไม่ได้เจริญสติ ยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ ก็ได้แค่ทำบุญให้ทาน เจริญพรหมวิหาร มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบอยู่ในระดับของสมมติ แต่ก็ยังอยู่ในกองบุญของกุศลอยู่ ก็อย่าไปทิ้ง เป็นการสร้างบุญ สร้างบารมี แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้สร้างบารมีให้กับตัวเราแล้วหรือยัง เราละความเกียจคร้านออกจากกายของเรา ออกจากใจของเราแล้วหรือยัง เราได้สร้างบุญ สร้างกุศล สร้างประโยชน์ขึ้นมา
แต่ละวัน เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเรา รับผิดชอบต่อสถานที่ รับผิดชอบต่อส่วนรวม เป็นบุคคลที่มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา เป็นบุคคลที่ตื่นตัว รับรู้อะไรผิดอะไรถูก แล้วก็รีบแก้ไขเสีย ไม่ใช่ว่าจะไปผัดวันประกันพรุ่ง เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบ มีความเป็นระเบียบอยู่ในตัวเอง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเอง มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี แล้วก็พูดดี เราก็จะอยู่กับบุญนั่นแหละ เป็นการอบเป็นการรม อบรมกาย อบรมวาจา อบรมใจของเรา นี่แหละ ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติลงอยู่ที่ตรงนี้แหละ ไม่ใช่เอาไปปฏิบัติที่โน่นที่นี่ ไม่เข้าใจในหลักของการปฏิบัติ
กายของเราเป็นอย่างไร วาจาของเราเป็นอย่างไรในระดับของสมมติ ลึกลงไปก็ระดับใจ ใจปกติ ใจสงบนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สมาธิ’ เรียกว่าสมาธิ ความปกติ นั่นแหละเรียกว่า ‘ศีล’ ศีล สมาธิ การเจริญสติเข้าไปแยก เข้าไปแยกรูปแยกนามนั้นเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาทำเอา ถ้าเราแยกไม่ได้ก็มีตั้งแต่เป็นวิปัสสนึกทั้งนั้นแหละ
เราต้องพยายาม แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราก็จะอยู่กับบุญอยู่กับวัตร เป็นคนที่มีความเป็นระเบียบ มีความเสียสละ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั่นแหละคือข้อวัตร ข้อปฏิบัติ ระเบียบทั้งภายนอก ระเบียบทั้งภายใน เป็นคนที่มีความสะอาด รักความสะอาด แต่อย่าไปชอบความสกปรกล่ะ รักความสะอาด ชอบความสกปรกทิ้งมันเกลื่อน ไม่มีความรับผิดชอบ อย่างนั้นก็ใช้การไม่ได้ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน เพียงเศษขยะเล็กๆ น้อยๆ เราก็ต้องพยายามเก็บ เก็บให้เข้าที่ เก็บให้เข้าทาง อย่าไปปล่อยทิ้ง นั่นแหละจะได้เป็นระเบียบทั้งภายนอก ขยะต่างๆ ก็ให้เก็บรวมกันเข้ามา ไม่ว่าขวดแก้ว พลาสติกอะไรต่างๆ หลวงพ่อก็จะเอาไปทำอัดลงทำเป็นก้อนหินให้เกิดประโยชน์ อย่าไปปล่อยทิ้ง สถานที่ของเราก็จะสะอาด มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา
ตั้งแต่ปากทางเข้ามา กิ่งไม้ไหนมันแห้งมันจะหักทับหล่นเอา เราก็พยายามเอา เก็บเอาออก เศษขยะต่างๆ ตามถนนหนทางเราก็เก็บ ห้องส้วมห้องน้ำเราก็ช่วยกันดูแลให้สะอาด บางคนก็ทำสกปรกใส่ บางคนก็ถ่ายใส่ ก็ไม่ล้างก็มี ความรับผิดชอบก็ไม่มี สันดานก็ต่ำเป็นอย่างนั้นไป เจอหลายครั้งหลายที บางทีก็ถ่ายเรี่ยราดแล้วก็ไม่รู้จักล้าง ทั้งที่มีให้ใช้ให้สอย ไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ กว่าจะมีได้ กว่าจะเป็นได้ กว่าจะทำขึ้นมาได้ ต้องอาศัยความสมัครสมานสามัคคี อาศัยความพร้อมเพรียงกัน อาศัยกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ทำให้มีให้เกิดขึ้น ก็จะได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ บางคนก็กลับไปทำลายก็มี เพราะว่าสภาวะจิตของคนไม่เหมือนกัน บางคนก็จิตมีแต่อกุศล บางทีจิตแต่ละดวงก็มีกุศล อกุศล มีมลทิน เราก็ต้องมาฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาออกทีละเล็กทีละน้อย ต่างคนก็ต่างขัดเกลาตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ธรรมะไม่มีไว้เถียงกัน มีเอาไว้ฝึกหัดปฏิบัติ ทุกคนก็มีธรรม จะธรรมระดับไหนเท่านั้นเอง ธรรมดำธรรมขาวก็เป็นธรรมหมด ให้รีบแก้ไขเสีย ปรับปรุงเสีย อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง อยากจะได้ธรรมก็ต้องพยายามฝึกหัด ฝึกหัดปฏิบัติ ทำความเข้าใจให้ถูกทางทุกวิธี ถ้าเราเดินถูกทางถูกวิธีแล้วเราก็เข้าถึงเองนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขากระหนาบแล้วกระหนาบอีก เรากระหนาบตัวเอง เราแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
อันนี้การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การสังเกต การวิเคราะห์ เรารู้ไม่เท่าทันต้นเหตุ เรารู้จักระงับยับยั้งเอาไว้เป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความลังเล เราก็รู้จักระงับดับเอาไว้ด้วยการเจริญสมถะ สร้างความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกของเรา ใจของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามดับ พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม ใจของเรามีความลังเล หรือว่าสติของเรามีความพลั้งเผลอ เราก็ต้องพยายามหมั่นสำรวจตรวจตรา หมั่นสร้างขึ้นมา ถ้าเราไม่ทำใครเขาจะทำให้ล่ะ เราก็ทำเอา แก้ไขเราเอาเอง แก้ไข ไม่มีใครหายใจให้เราได้หรอก เราก็หายใจตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสังเกตให้ต่อเนื่อง
ใจของเราเป็นอย่างไรก็รีบแก้ไขเสีย ไม่ใช่ว่าไปสร้างตั้งแต่กองทุกข์เข้ามาทับถมตัวเราตลอดเวลา กายของเรานี่ก็เป็นก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิว เราก็มาพิจารณาลงที่กายของเรา ใจมาอาศัยกายนี้อยู่ ถึงวาระถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ใจกับกายต้องได้พลัดพรากจากกัน แต่เราต้องแยกแยะให้รู้ให้เห็นก่อนขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องพยายามกันนะทั้งพระทั้งชี
วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแรม 15 ค่ำ ก็ขอเชิญชวนทุกคนมาสร้างอานิสงส์ร่วมกัน เพราะว่าจะได้พระคุณเจ้าหลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านก็ได้มีมติให้มาลงอุโบสถสังฆกรรมที่วัดของเราทุกปี ปีนี้ก็ว่าจะไปลงที่อื่นก็เลยไม่มีความพร้อม ก็เลยลงมาลงที่วัดของเราอีกเหมือนเดิมนั่นแหละ ก็ขอเชิญชวนทุกคนทุกท่าน มาร่วมทำบุญถวายทานให้กับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ก็คงประมาณสัก 100 กว่ารูป
ใครมีพริกเขือเกลือปลาร้า ใครมีขนมนมเนย ผลหมากรากไม้ มาร่วมทำบุญกัน เป็นโอกาส เป็นบุญของพวกเรา โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาเปิดให้ ให้พากันมารีบทำรีบสร้าง ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เราไม่มีความพร้อม เราก็น้อมกายของเราเข้ามาช่วย กายของเราไม่ได้มา เราก็น้อมใจของเราเข้ามา อนุโมทนาสาธุแห่งบุญนี้ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลานี่แหละโอกาสได้เปิดให้ ก็ขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันวันพรุ่งนี้ ได้มาทำบุญถวายเป็นพระร่วมกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรม ทุกคนจงไหว้พระพร้อมๆ กัน ไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
เราต้องฝึกบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ ให้เป็นธรรมชาติในการหายใจเข้าออก หายใจยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจน อันนี้เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ หรือว่าสติรู้ตัว เรารู้ตัวให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ไม่ใช่ว่าไปคิดเอาว่าเป็นอย่างนั้น คิดเอาว่าเป็นอย่างนี้ อันนี้ความคิดที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากอาการของจิตนั้นมีอยู่ประจำกันทุกคน เราต้องมาสร้างความรู้ตัวใหม่ให้มีให้เกิดขึ้นแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ก็เพื่อที่จะไปรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต รู้การเกิดการดับ รู้จิต อาการของจิตเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ ส่วนอื่นก็เป็นส่วนประกอบ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีปัจจัยหมด ประกอบกันหมด
จิตของทุกดวงก็ฝักใฝ่ปรารถนาที่อยากจะหลุดพ้น ปรารถนาที่จะสร้างอานิสงส์สร้างบุญกัน แต่เป็นการเกิด ความเกิดนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘ความหลง’ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดแล้วก็ปรุงแต่งไปยึดเอาทุกอย่าง ตั้งแต่ก่อนก็มีแต่ดวงวิญญาณ ความบริสุทธิ์ของวิญญาณ เกิดเวียนว่ายตายเกิด เกิดในภพน้อย เกิดในภพใหญ่ แต่เวลานี้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ อยู่ในกายก้อนนี้ซึ่งมีขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ มาก่อร่างสร้างตัวเป็นขันธ์ห้า ผูกมัดปิดบังตัวอำพรางตัวจิตเอาไว้
ถ้าไม่อาศัยปัญญาของพระพุทธเจ้าก็ยากที่จะเข้าใจ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปแยก จนจิตของเราคลายออกจากอาการของจิตได้ เราถึงจะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ
ตราบใดที่เราไม่ได้เจริญสติ ยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ ก็ได้แค่ทำบุญให้ทาน เจริญพรหมวิหาร มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบอยู่ในระดับของสมมติ แต่ก็ยังอยู่ในกองบุญของกุศลอยู่ ก็อย่าไปทิ้ง เป็นการสร้างบุญ สร้างบารมี แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้สร้างบารมีให้กับตัวเราแล้วหรือยัง เราละความเกียจคร้านออกจากกายของเรา ออกจากใจของเราแล้วหรือยัง เราได้สร้างบุญ สร้างกุศล สร้างประโยชน์ขึ้นมา
แต่ละวัน เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเรา รับผิดชอบต่อสถานที่ รับผิดชอบต่อส่วนรวม เป็นบุคคลที่มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา เป็นบุคคลที่ตื่นตัว รับรู้อะไรผิดอะไรถูก แล้วก็รีบแก้ไขเสีย ไม่ใช่ว่าจะไปผัดวันประกันพรุ่ง เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบ มีความเป็นระเบียบอยู่ในตัวเอง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเอง มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี แล้วก็พูดดี เราก็จะอยู่กับบุญนั่นแหละ เป็นการอบเป็นการรม อบรมกาย อบรมวาจา อบรมใจของเรา นี่แหละ ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติลงอยู่ที่ตรงนี้แหละ ไม่ใช่เอาไปปฏิบัติที่โน่นที่นี่ ไม่เข้าใจในหลักของการปฏิบัติ
กายของเราเป็นอย่างไร วาจาของเราเป็นอย่างไรในระดับของสมมติ ลึกลงไปก็ระดับใจ ใจปกติ ใจสงบนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สมาธิ’ เรียกว่าสมาธิ ความปกติ นั่นแหละเรียกว่า ‘ศีล’ ศีล สมาธิ การเจริญสติเข้าไปแยก เข้าไปแยกรูปแยกนามนั้นเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาทำเอา ถ้าเราแยกไม่ได้ก็มีตั้งแต่เป็นวิปัสสนึกทั้งนั้นแหละ
เราต้องพยายาม แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราก็จะอยู่กับบุญอยู่กับวัตร เป็นคนที่มีความเป็นระเบียบ มีความเสียสละ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั่นแหละคือข้อวัตร ข้อปฏิบัติ ระเบียบทั้งภายนอก ระเบียบทั้งภายใน เป็นคนที่มีความสะอาด รักความสะอาด แต่อย่าไปชอบความสกปรกล่ะ รักความสะอาด ชอบความสกปรกทิ้งมันเกลื่อน ไม่มีความรับผิดชอบ อย่างนั้นก็ใช้การไม่ได้ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน เพียงเศษขยะเล็กๆ น้อยๆ เราก็ต้องพยายามเก็บ เก็บให้เข้าที่ เก็บให้เข้าทาง อย่าไปปล่อยทิ้ง นั่นแหละจะได้เป็นระเบียบทั้งภายนอก ขยะต่างๆ ก็ให้เก็บรวมกันเข้ามา ไม่ว่าขวดแก้ว พลาสติกอะไรต่างๆ หลวงพ่อก็จะเอาไปทำอัดลงทำเป็นก้อนหินให้เกิดประโยชน์ อย่าไปปล่อยทิ้ง สถานที่ของเราก็จะสะอาด มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา
ตั้งแต่ปากทางเข้ามา กิ่งไม้ไหนมันแห้งมันจะหักทับหล่นเอา เราก็พยายามเอา เก็บเอาออก เศษขยะต่างๆ ตามถนนหนทางเราก็เก็บ ห้องส้วมห้องน้ำเราก็ช่วยกันดูแลให้สะอาด บางคนก็ทำสกปรกใส่ บางคนก็ถ่ายใส่ ก็ไม่ล้างก็มี ความรับผิดชอบก็ไม่มี สันดานก็ต่ำเป็นอย่างนั้นไป เจอหลายครั้งหลายที บางทีก็ถ่ายเรี่ยราดแล้วก็ไม่รู้จักล้าง ทั้งที่มีให้ใช้ให้สอย ไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ กว่าจะมีได้ กว่าจะเป็นได้ กว่าจะทำขึ้นมาได้ ต้องอาศัยความสมัครสมานสามัคคี อาศัยความพร้อมเพรียงกัน อาศัยกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ทำให้มีให้เกิดขึ้น ก็จะได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ บางคนก็กลับไปทำลายก็มี เพราะว่าสภาวะจิตของคนไม่เหมือนกัน บางคนก็จิตมีแต่อกุศล บางทีจิตแต่ละดวงก็มีกุศล อกุศล มีมลทิน เราก็ต้องมาฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาออกทีละเล็กทีละน้อย ต่างคนก็ต่างขัดเกลาตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ธรรมะไม่มีไว้เถียงกัน มีเอาไว้ฝึกหัดปฏิบัติ ทุกคนก็มีธรรม จะธรรมระดับไหนเท่านั้นเอง ธรรมดำธรรมขาวก็เป็นธรรมหมด ให้รีบแก้ไขเสีย ปรับปรุงเสีย อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง อยากจะได้ธรรมก็ต้องพยายามฝึกหัด ฝึกหัดปฏิบัติ ทำความเข้าใจให้ถูกทางทุกวิธี ถ้าเราเดินถูกทางถูกวิธีแล้วเราก็เข้าถึงเองนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขากระหนาบแล้วกระหนาบอีก เรากระหนาบตัวเอง เราแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
อันนี้การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การสังเกต การวิเคราะห์ เรารู้ไม่เท่าทันต้นเหตุ เรารู้จักระงับยับยั้งเอาไว้เป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความลังเล เราก็รู้จักระงับดับเอาไว้ด้วยการเจริญสมถะ สร้างความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกของเรา ใจของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามดับ พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม ใจของเรามีความลังเล หรือว่าสติของเรามีความพลั้งเผลอ เราก็ต้องพยายามหมั่นสำรวจตรวจตรา หมั่นสร้างขึ้นมา ถ้าเราไม่ทำใครเขาจะทำให้ล่ะ เราก็ทำเอา แก้ไขเราเอาเอง แก้ไข ไม่มีใครหายใจให้เราได้หรอก เราก็หายใจตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสังเกตให้ต่อเนื่อง
ใจของเราเป็นอย่างไรก็รีบแก้ไขเสีย ไม่ใช่ว่าไปสร้างตั้งแต่กองทุกข์เข้ามาทับถมตัวเราตลอดเวลา กายของเรานี่ก็เป็นก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิว เราก็มาพิจารณาลงที่กายของเรา ใจมาอาศัยกายนี้อยู่ ถึงวาระถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ใจกับกายต้องได้พลัดพรากจากกัน แต่เราต้องแยกแยะให้รู้ให้เห็นก่อนขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องพยายามกันนะทั้งพระทั้งชี
วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแรม 15 ค่ำ ก็ขอเชิญชวนทุกคนมาสร้างอานิสงส์ร่วมกัน เพราะว่าจะได้พระคุณเจ้าหลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านก็ได้มีมติให้มาลงอุโบสถสังฆกรรมที่วัดของเราทุกปี ปีนี้ก็ว่าจะไปลงที่อื่นก็เลยไม่มีความพร้อม ก็เลยลงมาลงที่วัดของเราอีกเหมือนเดิมนั่นแหละ ก็ขอเชิญชวนทุกคนทุกท่าน มาร่วมทำบุญถวายทานให้กับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ก็คงประมาณสัก 100 กว่ารูป
ใครมีพริกเขือเกลือปลาร้า ใครมีขนมนมเนย ผลหมากรากไม้ มาร่วมทำบุญกัน เป็นโอกาส เป็นบุญของพวกเรา โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาเปิดให้ ให้พากันมารีบทำรีบสร้าง ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เราไม่มีความพร้อม เราก็น้อมกายของเราเข้ามาช่วย กายของเราไม่ได้มา เราก็น้อมใจของเราเข้ามา อนุโมทนาสาธุแห่งบุญนี้ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลานี่แหละโอกาสได้เปิดให้ ก็ขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันวันพรุ่งนี้ ได้มาทำบุญถวายเป็นพระร่วมกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรม ทุกคนจงไหว้พระพร้อมๆ กัน ไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ