หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 061
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 061
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราได้สร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา
การเจริญสติ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันแล้วก็รู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ใจของเรา ว่าใจของเราเกิดอย่างไร เราจะควบคุมใจของเราได้อย่างไร ความคิด ขันธ์ห้า ใจเข้าไปรวมกันได้อย่างไร เราต้องรู้เท่าทัน รู้ด้วยเห็นลักษณะหน้าตาอาการของเขาด้วย เราถึงจะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตาอนัตตา เราจะรู้ เราจะเห็น เราจะเข้าใจ
ตราบใดที่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปทำหน้าที่ ยากที่จะเข้าใจในคำสอน เราอาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของโลกียะ รู้อยู่ แต่เข้าไม่ถึง เราต้องพยายามทั้งรู้ ทั้งเข้าถึง ด้วยวิธีที่พระพุทธพระองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ ลักษณะของการเจริญสติ เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา แล้วก็สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เรารู้จักวิธี เรารู้จักแนวทางแล้ว เราก็หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสร้างความรู้ตัว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในสภาวะการณ์อย่างไร เราต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง รู้เข้าถึงความหมายของคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก อันนี้รู้กาย
ต่อไปข้างหน้าก็ทุกขณะจิต รู้จิต เราก็รู้จักควบคุมจิต จนกว่าจิตเราจะคลายออกจากอาการ เขาก็จะอยู่ในความว่าง เพียงแค่ว่างยังไม่พอ แต่การเกิดของเขามีอยู่ เราก็ต้องพยายามดับความเกิดอีก ใจยังเกิดกิเลสอีก เราดับละกิเลสอีก ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับมัน จนกระทั่งใจไม่มีอะไรแม้แต่การเกิด ไม่มีความละเอียดอ่อน ทุกสิ่งทุกอย่างปิดเอาไว้ ตั้งแต่กิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้มากขึ้นเท่าไหร่ เราจึงเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะ เรายิ่งทำความเข้าใจ แต่ละวันๆ ลักษณะของการเจริญสติ เข้าไปวิเคราะห์ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง เรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศล หรือว่าอกุศล
เราต้องหมั่นพิจารณา หมั่นพร่ำสอนใจของเรา หมั่นใคร่ครวญ แต่ที่เราจะเดินปัญญาขั้นสูงได้ เราก็ต้องคลาย หรือว่าแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน ให้รู้ชัดเจนลักษณะของจิต ลักษณะอาการของจิต ลักษณะของสติปัญญาที่เอาไปใช้ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ มีตั้งแต่ไปพิจารณาด้วยปัญญาที่ขาดจากการแยกรูปแยกนามแล้ว มันก็เพียงแค่ปัญญาธรรม โลกียธรรม ใจก็ยังเกิดอยู่
ไม่มีอะไรมากเลยที ถ้าคนเราสนใจจริงๆ อีกอย่างหนึ่งนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล ว่าจะถึงช้าหรือถึงเร็ว บางคนสมมตินั้นก็ยังลำบากอยู่ บางคนก็อันโน้นอันนี้ก็ยังติดขัดอยู่ เราก็ต้องคอยแก้ไขกันไป แต่ละวันตื่นขึ้นมา ก็อย่าพากันทิ้งวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ การสำรวมกายของเราเป็นอย่างไร สำรวมวาจาของเราเป็นอย่างไร การสำรวมหูตากายจมูกลิ้นของเราเป็นอย่างไร ตัววิญญาณของเราเป็นอย่างไร เราต้องพยายามดูรู้ให้ได้ทุกขณะทุกเวลา นอกจากเราจะนอนหลับเท่านั้นเอง จนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ฝึก
พูดง่ายนะ แต่การลงมือการทำนั้นยากจริงๆ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็จะไม่เข้าใจ เราต้องขยันหมั่นเพียร จนเป็นธรรมดาในการดู ในการรู้ จนไม่ได้ฝึก จนเป็นธรรมชาติ ช่วงนั้นแหละ สติ ปัญญา สมาธิ จะรักษาเรา จะทำอะไรให้จิตของเราเป็นธรรม เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม จิตของเราเป็นโลก เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นโลก เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
พระพุทธองค์ท่านก็สอนเรื่องตัวของเรานั่นแหละ เอากายของเรานี่แหละขึ้นมาสอน เอาใจของเรานี่แหละขึ้นมาสอน ถ้าเรารู้จักวิธีคือการสร้างสติ การเจริญภาวนา แยกแยะลักษณะของสติ ลักษณะของจิต ลักษณะของความคิด มีความเพียรทุ่มเทลงไป จนกว่าจะหมดความสงสัย จนกว่าไม่มีงานที่จะทำ งานภายในก็จบ งานภายนอกเราก็ยังประโยชน์ต่อตนเอง ต่อสมมติ ต่อสังคม จนกว่าจะหมดลมหายใจ
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนนะ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังทำไม่ต่อเนื่อง เพียงแค่เรื่องลมหายใจเข้าออก ก็ยังทำกันไม่ชำนาญ จะไปรู้เท่าทันจิตซึ่งเป็นจุดละเอียดมากกว่านี้อีกได้อย่างไร เพียงแค่การหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังขาดการสนใจกัน พยายามสร้างความรับรู้สัมผัสทางลมหายใจให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็รู้ให้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจนนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อนะ อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือนให้พวกท่านได้ทำ ถึงไม่มาก็พยายามทำ
การเจริญสติ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันแล้วก็รู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ใจของเรา ว่าใจของเราเกิดอย่างไร เราจะควบคุมใจของเราได้อย่างไร ความคิด ขันธ์ห้า ใจเข้าไปรวมกันได้อย่างไร เราต้องรู้เท่าทัน รู้ด้วยเห็นลักษณะหน้าตาอาการของเขาด้วย เราถึงจะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตาอนัตตา เราจะรู้ เราจะเห็น เราจะเข้าใจ
ตราบใดที่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปทำหน้าที่ ยากที่จะเข้าใจในคำสอน เราอาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของโลกียะ รู้อยู่ แต่เข้าไม่ถึง เราต้องพยายามทั้งรู้ ทั้งเข้าถึง ด้วยวิธีที่พระพุทธพระองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ ลักษณะของการเจริญสติ เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา แล้วก็สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เรารู้จักวิธี เรารู้จักแนวทางแล้ว เราก็หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสร้างความรู้ตัว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในสภาวะการณ์อย่างไร เราต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง รู้เข้าถึงความหมายของคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก อันนี้รู้กาย
ต่อไปข้างหน้าก็ทุกขณะจิต รู้จิต เราก็รู้จักควบคุมจิต จนกว่าจิตเราจะคลายออกจากอาการ เขาก็จะอยู่ในความว่าง เพียงแค่ว่างยังไม่พอ แต่การเกิดของเขามีอยู่ เราก็ต้องพยายามดับความเกิดอีก ใจยังเกิดกิเลสอีก เราดับละกิเลสอีก ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับมัน จนกระทั่งใจไม่มีอะไรแม้แต่การเกิด ไม่มีความละเอียดอ่อน ทุกสิ่งทุกอย่างปิดเอาไว้ ตั้งแต่กิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้มากขึ้นเท่าไหร่ เราจึงเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะ เรายิ่งทำความเข้าใจ แต่ละวันๆ ลักษณะของการเจริญสติ เข้าไปวิเคราะห์ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง เรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศล หรือว่าอกุศล
เราต้องหมั่นพิจารณา หมั่นพร่ำสอนใจของเรา หมั่นใคร่ครวญ แต่ที่เราจะเดินปัญญาขั้นสูงได้ เราก็ต้องคลาย หรือว่าแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน ให้รู้ชัดเจนลักษณะของจิต ลักษณะอาการของจิต ลักษณะของสติปัญญาที่เอาไปใช้ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ มีตั้งแต่ไปพิจารณาด้วยปัญญาที่ขาดจากการแยกรูปแยกนามแล้ว มันก็เพียงแค่ปัญญาธรรม โลกียธรรม ใจก็ยังเกิดอยู่
ไม่มีอะไรมากเลยที ถ้าคนเราสนใจจริงๆ อีกอย่างหนึ่งนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล ว่าจะถึงช้าหรือถึงเร็ว บางคนสมมตินั้นก็ยังลำบากอยู่ บางคนก็อันโน้นอันนี้ก็ยังติดขัดอยู่ เราก็ต้องคอยแก้ไขกันไป แต่ละวันตื่นขึ้นมา ก็อย่าพากันทิ้งวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ การสำรวมกายของเราเป็นอย่างไร สำรวมวาจาของเราเป็นอย่างไร การสำรวมหูตากายจมูกลิ้นของเราเป็นอย่างไร ตัววิญญาณของเราเป็นอย่างไร เราต้องพยายามดูรู้ให้ได้ทุกขณะทุกเวลา นอกจากเราจะนอนหลับเท่านั้นเอง จนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ฝึก
พูดง่ายนะ แต่การลงมือการทำนั้นยากจริงๆ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็จะไม่เข้าใจ เราต้องขยันหมั่นเพียร จนเป็นธรรมดาในการดู ในการรู้ จนไม่ได้ฝึก จนเป็นธรรมชาติ ช่วงนั้นแหละ สติ ปัญญา สมาธิ จะรักษาเรา จะทำอะไรให้จิตของเราเป็นธรรม เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม จิตของเราเป็นโลก เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นโลก เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
พระพุทธองค์ท่านก็สอนเรื่องตัวของเรานั่นแหละ เอากายของเรานี่แหละขึ้นมาสอน เอาใจของเรานี่แหละขึ้นมาสอน ถ้าเรารู้จักวิธีคือการสร้างสติ การเจริญภาวนา แยกแยะลักษณะของสติ ลักษณะของจิต ลักษณะของความคิด มีความเพียรทุ่มเทลงไป จนกว่าจะหมดความสงสัย จนกว่าไม่มีงานที่จะทำ งานภายในก็จบ งานภายนอกเราก็ยังประโยชน์ต่อตนเอง ต่อสมมติ ต่อสังคม จนกว่าจะหมดลมหายใจ
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนนะ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังทำไม่ต่อเนื่อง เพียงแค่เรื่องลมหายใจเข้าออก ก็ยังทำกันไม่ชำนาญ จะไปรู้เท่าทันจิตซึ่งเป็นจุดละเอียดมากกว่านี้อีกได้อย่างไร เพียงแค่การหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังขาดการสนใจกัน พยายามสร้างความรับรู้สัมผัสทางลมหายใจให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็รู้ให้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจนนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อนะ อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือนให้พวกท่านได้ทำ ถึงไม่มาก็พยายามทำ