หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 151

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 151
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 151
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ละไม่ได้ก็ขอให้รู้จักการเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน

อยู่คนเดียวเราก็พยายามสร้างความรู้ตัว อยู่หลายคนเราก็พยายามสร้างความรู้ตัว รู้ให้เท่าทันรู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้จักควบคุมใจ จนกว่าจะรู้จักการละกิเลสออกจากใจของเรา ละกิเลส ดับความเกิด คลายความหลง ในตัวคลายความหลงนี้ต้องรู้ให้ทัน รู้ให้ทันการเกิดของตัวใจกับอาการของใจ ถ้าเรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุเขาก่อตัวอย่างไรเขาเกิดอย่างไร เขาเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร เขาถึงจะแยกออกจากกันถึงเรียกว่าคลาย ไม่ใช่ว่าเขาจะคลายง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะแยกง่ายๆ เราพยายามหัดรู้ให้ทันต้นเหตุ รู้ไม่ทันเริ่มใหม่ รู้จักวิเคราะห์ตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อะไรเราขาดกระบกพร่องเราก็รีบแก้ไข บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น

เข้าวัดก็รู้จักวัด แสวงหาธรรมก็ให้รู้จักธรรม แสวงหาแต่ธรรมแต่ไม่รู้แสวงหาด้วยความหลง เพราะว่าการเกิดของจิตของวิญญาณนั้นมีอยู่ เขาเกิดอยู่ตลอดเวลาเขาปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา เขาปกปิดตัวเองเอาไว้ แล้วก็ขันธ์ห้าซึ่งมีกายเนื้อเป็นส่วนองค์ประกอบก็มาปรุงแต่งใจของเรา เราก็รู้อยู่ คิดก็รู้ทำก็รู้ แต่การดับการแยกการคลาย การสร้างตบะบารมีการยังสมมติให้บริบูรณ์เราต้องพิจารณาทุกเรื่องในชีวิตของเรา

ความขยันหมั่นเพียรมีเพียงพอหรือไม่ อานิสงส์บุญบารมีของเรา เราได้สร้างมามากสร้างมาน้อยแล้วก็มาสร้างสานต่อขณะอยู่ปัจจุบัน การละกิเลสของเรามีหรือไม่ เรามีความเห็นแก่ตัวเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น หรือว่าใจของเรามีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง อยากมีอยากเป็น ในหลักธรรมแล้วแม้กระทั่งความว่าไม่อยากก็ยังปิดกั้นเอาไว้หมด

อยากกับไม่อยากที่จะเกิดจากตัวใจ ความทะเยอทะยานอยาก ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลาย เข้าไปตามทำความเข้าใจ ดำเนินด้วยปัญญาเป็นความต้องการของสติปัญญาทุกเรื่อง ก็ต้องพยายามกันไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เพียงแค่ระดับของสมมติก็ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี สมมุติของเราทำไมถึงขาดตกบกพร่อง เราก็พยายามแก้ไขๆ ให้ได้ก็จะอนุเคราะห์ทางด้านสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข ถ้าเราดำเนินชีวิตได้ถูกทางอยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่ทำงานก็เป็นวัด เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลาขณะยังมีลมหายใจอยู่ ทำอย่างไรชีวิตของเราถึงจะมีความสุข เราแก้ไขกันไป

ถ้าถึงวาระเวลาทุกอย่างต้องวางหมดทิ้งหมดแม้แต่กายของเรา การได้ยินได้ฟังสิ่งพวกนี้ได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่จำความได้นั่นแหละ เราต้องพยายามดูรู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วยแล้วก็หมดความสงสัยได้ด้วย อยู่ที่ไหนอยู่ในสภาวะอย่างไรเราก็ต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เป็นคนขยันหมั่นเพียรรู้จักแก้ไขตัวเรา มีไม่มากหรอกมีอยู่ในกายคนนี้แหละที่เราแบกไปโน่นแบกไปนี่

กายของเราก็เป็นภาระให้ตัวเราเป็นภาระให้ทุกอย่าง จนกว่าเขาจะหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ไม่วางภาระทางด้านรูปกาย แต่จิตใจแล้วเขายังเกิดยังวิ่งอยู่ เราไปจัดการกับจิตใจของเราละกิเลสออกจากจิตใจของเราให้มันหมดจน ขณะยังไม่กายเนื้อยังอาศัยกายเนื้ออยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับแล้วเขาก็ไปสู่สภาวะของเขาตามแรงของกรรม กรรมดีกรรมชั่วก็ไปตามแรงวิบากของกรรม ถ้าผู้รู้พิจารณาวางหมดทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ละกรรมชั่วละอกุศลเจริญกุศลแต่ไม่ยึด ทำใจของเราให้อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยวางให้หมด ดับความเกิด มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ถึงเรายังไม่ได้ทำเราก็พยายามทำเสีย พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน อย่าไปมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ คนเรามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละก็เลยพลาดโอกาสทรัพย์อันใหญ่คือความบริสุทธิ์หลุดพ้น สร้างความรู้สึกให้ชัดเจนกันนะ

พากันไว้พร้อมๆ กันค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง