หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 024

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 024
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 024
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายวางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากตัวใจเอาไว้ ด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกรับรู้ลมกระทบปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราทำให้เกิดความเคยชินแล้วหรือยัง เราทำให้ชำนาญแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย เริ่มบ่อยๆ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องแล้วก็รู้กาย ลึกลงไปก็รู้ใจ รู้การเกิดของใจ รู้การเกิดของอาการของใจว่าลักษณะอาการเขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร เป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเอง

ความรู้ตัวหรือว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา ไม่ต่อเนื่องเราก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ส่วนใจนั้นเขาเกิดอยู่แล้ว เขาเกิดเขาปรุงเขาแต่งเขาส่งไปภายนอก แล้วก็อาการของใจ ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ มีกายเนื้อมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ให้เรารู้ให้เราเข้าถึงให้เราเห็น แล้วก็จำแนกแจกแจงให้ได้

ปัญญาโลกิยะไม่เข้าใจ อยู่ในระดับของบุญของการทำบุญให้ทาน อยู่ในระดับของการดำรงชีวิต อยู่ในระดับของสมมติแต่ปัญญาของโลกิยะ ของโลกุตตระเราต้องสร้างขึ้นมา สร้างความรู้ตัวขึ้นมา แล้วก็ไปรู้เท่าทันใจ รู้ไม่เท่าทันใจเราก็รู้จักควบคุม ควบคุมใจของเราให้อยู่ในความสงบซึ่งท่านเรียกว่า ‘สมถะภาวนา’ ทำบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน

การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนแสวงหาทางดับทุกข์ ทุกคนแสวงหาทางหลุดพ้น แต่ความขยันหมั่นเพียรความต่อเนื่อง ความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดในการศึกษาค้นคว้าในการชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ไม่ใช่ว่าขึ้นอยู่กับสถานที่โน้นสถานที่นี้ ขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์องค์โน้นครูบาอาจารย์องค์นี้ อันนั้นไม่ใช่ขึ้นอยู่กับตัวของเราว่าเราจะละกิเลสออกจากใจของเราได้หรือไม่ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน

ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย ว่าเราต้องเดินอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เจริญสติลักษณะอย่างนี้ การดับ การควบคุม การแยกการแยะ ตัววิญญาณคลายออก รับรู้ตามรู้เห็นการเกิดการดับของความคิด เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าหรือว่ารอบรู้ในกองสังขาร ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลออย่างไร มลทินที่เกิดจากตัวใจของเราเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นใจของเราไม่ให้ได้รับความสงบ ความฟุ้งซ่าน ใจของเราเป็นอย่างไร เราดับอย่างไร วิธีไหน มีหมด ดับอยู่ปัจจุบัน วางอยู่ปัจจุบัน แยกแยะอยู่ปัจจุบัน คือทุกขณะใจทุกขณะลมหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’
เราต้องทำความเข้าใจ รู้ด้วยเห็นด้วยแล้วก็ตามดูได้ด้วย ใจรับรู้ได้ด้วย ใหม่ๆ เราต้องแยกแยะให้ชัดเจน ความรู้ตัวเราต้องสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน ส่วนตัวใจเราต้องควบคุมให้ชัดเจน ใจกับสติคนละส่วน แต่เวลานี้ทั้งใจทั้งสติเขารวมกันไปอยู่ทั้งขันธ์ห้า เราไปมั่นหมายเอาตัวใจว่าเป็นสติปัญญา ในคนทั่วไป คนทั่วไปแทบทั้งหมดไปมั่นหมายเอาว่า ตัวใจหรือว่าตัวจิตนั่นแหละคือตัวปัญญา มันไม่ใช่

ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา มันก็ปิดบังอำพรางตัวเองอยู่ตลอดเวลา ความเกิด ความเกิดนั้นปิดบังตัวของเขา ทีนี้เกิดยังไม่พอไปรวมกับอาการของความคิดด้วยรวมอาการของขันธ์ห้าด้วย นั่นแหละอัตตา ก็เลยเกิดอัตตา เพียงแค่เกิดก็เกิดอัตตา เพียงแค่หลงเข้าไปรวมก็ปิดอัตตาอีก ปิดอัตตาความหลงอย่างลุ่มลึก

ถ้าเราสังเกตแยกแยะได้เขาก็คลาย คลายความหลง ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทาง เพียงแค่ปัญญาเปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทาง เพียงแค่เริ่มต้นของการเดินปัญญา แต่อานิสงส์บุญบารมีนั้นสร้างกันมาดี สร้างกันมาดีฝักใฝ่มาดี ทำบุญให้ทานมีศรัทธา น้อมกายน้อมใจเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศล แต่ตัวใจมันคลายออกจากอาการของขันธ์ห้า ถ้าคลายไม่ได้มันก็ยังหลงอยู่ อาจจะถูกต้องอยู่ ในระดับของสมมติ

ท่านบอกอย่าเพิ่งไปเชื่อ ให้ทำตามดูแล้วก็ให้เห็นจริงๆ ตามดูได้จริงๆ ท่านถึงบอกเชื่อ ถ้าเห็นแล้วรู้แล้ว เห็นแล้วถ้าขาดการตามทำความเข้าใจอีกก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก รู้แล้วเห็นแล้ว แยกแยะได้แล้วตามดูได้เราก็พยายามละกิเลสดับความเกิด ความรู้ตัวของเราก็จะมากขึ้นๆๆ กลายเป็นมหาสติเป็นมหาปัญญารอบรู้ในดวงใจของตัวเอง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไรไปทิศทางไหน อะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง อะไรควรเจริญอะไรควรละ มองเห็นหนทางเดินที่เราจะเดิน

ตราบใดที่ใจของเรายังไม่หลุดพ้น เราก็ต้องพยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมี อย่าไปบังคับกันไม่ได้ของพวกนี้ขึ้นอยู่อานิสงส์บุญบารมี ความขยันหมั่นเพียรที่ถูกทางของแต่ละบุคคล เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เราจะไปเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันนี้ไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นดูแลหมั่นทำความเข้าใจ ถึงวาระเวลาเขาเหมาะสมเขาก็จะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้เราก็ได้เพราะว่าการกระทำการดูแลของเรามี

การปฏิบัติใจก็เหมือนกัน การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน การเจริญสติของเรามีหรือไม่ การควบคุมของเรามีหรือไม่ การเสียสละการเอาออกการคลาย การเจริญพรหมวิหาร เราละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตใจของเราได้หรือไม่ เรามองโลกในทางที่ดีไม่มองโลกในแง่ร้าย ความขยันหมั่นเพียรของเรามี ความจริงใจของเรามีหรือเปล่า ความเสียสละของเรามีเต็มที่หรือไม่ มันก็จะค่อยคลายออกไปๆๆ

กำลังสติของเรา เราได้เจริญสติให้ต่อเนื่องหรือไม่หรือว่านานๆ ทีถึงมี เราต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง ไม่เหลือวิสัย เราต้องบังคับตัวเราเองแก้ไขตัวเราเอง แล้วก็หมั่นสำรวจหมั่นทำความเข้าใจ ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ไม่เกิด ลักษณะของใจที่สงบ ลักษณะของใจที่คลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ถ้าถึงเวลาคงจะรู้ตรงนี้ ถ้าไม่ถึงเวลาเราก็พยายามควบคุม

ใหม่ๆ ก็อาจจะควบคุ อาจจะอึดอัด ถ้าคลายได้เมื่อไรทุกสิ่งทุกอย่างก็โล่งโปร่ง การละก็ต้องตามมา ทำความเข้าใจก็ต้องกลับมาอีก หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง เล่าของเก่านี่แหละไม่ได้ไปเล่าที่ไหนหรอก ก็ลงอยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ เที่ยวถ้าหานอกกายนอกใจของเราไม่เจอหรอก เอาจิตไปหาจิตไม่เจอหรอก

เราต้องสร้างสติเข้าไปสำรวจจิต หมั่นสังเกตหมั่นพร่ำสอนจิตของเราจนจิตของเราคลายออกนั่นแหละ ให้รับรู้เห็นตามความเป็นจริงนั่นแหละ จนเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ หมดความสงสัยหมดความลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าไปเกียจคร้านกันทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ในระดับของสมมติของโลกิยะเราก็พยายามทำให้ดี มีความสมัครสมานสามัคคี มีการอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากการตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ไม่ว่าจะไปช้าหรือไปเร็วเท่านั้น แม้แต่ตัวของหลวงพ่อเองก็ต้องได้ไป

ก็คงจะใกล้วาระเวลาแล้วมั้ง เพราะว่าสภาพร่างกายก็อ่อนแอลงเต็มที สภาพหัวใจก็อ่อนล้าเต็มที แต่ก็พยายามประคับประคอง สร้างอานิสงส์ให้อยู่กับสมมติให้กับทุกคนเท่าที่จะทำได้ เท่าที่โอกาสอำนวยให้ เท่าที่กำลังกายมี ถึงวาระเวลาเอาอะไรมาฉุดมันรั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่ก็ต้องได้ไป ขณะที่ยังไม่ได้ถึงเวลาเราก็พยายามสร้างประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ส่วนรวมประโยชน์สมมติ ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกนี้ให้ดี ประโยชน์โลกหน้าอันนั้นเอาไว้ทีหลัง เราทำอยู่ปัจจุบันให้ดีอนาคตก็จะดีเอง ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ เอาวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปสร้างไปสานต่อเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง