หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 148
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 148
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพวกท่านได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ได้วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของตัวเราเองแล้วหรือยัง เพียงแค่การเจริญการสร้างการทำให้มีให้เกิดให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ก็ยังกระพร่องกระแพร่งทั้งที่ใจเป็นบุญ
การเกิดของใจมีอยู่ การเกิดของขันธ์ห้ามีอยู่ การเกิดของสติปัญญามีอยู่ เราต้องจำแนกแจกแจง แยกแยะให้ชัดเจนว่า ลักษณะสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่เราสร้างขึ้นมานี้เป็นอย่างไร รู้กายรู้ลมหายใจเข้าออก ลึกลงไปก็รู้ฐานของใจ รู้ความปกติของใจ ใจเกิดใจก่อตัวใจปรุงแต่ง หรือว่าความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของตัวเราเอง เราต้องดูทุกอย่างนั่นแหละในชีวิตของเรา ตั้งแต่ระดับสมมติโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ยังอาศัยสิ่งแวดล้อม อยู่ยังอาศัยสมมติอยู่ปากท้องของเราก็ยังมี เราก็ต้องทำความเข้าใจตั้งแต่ระดับขั้นพื้นฐาน ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบความเสียสละ การกระทำของเราถึงพร้อมหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าจะวิ่งตั้งแต่ไปหาตั้งแต่ธรรม ต้องทำความเข้าใจ เจริญสติก็ไปทำความเข้าใจไปสำรวจใจ ว่าอะไรเราขาดตกบกพร่อง อะไรเราควรจะเสริมอะไร เราควรจะเติมให้มันเต็ม ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งหาที่โน่นวิ่งหาที่นี่ ลงอยู่ที่ใจของเรา ทุกคนก็ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลากันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงจากเด็ก ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว มีความขยันหมั่นเพียรมีความรับผิดชอบ มีการดำเนินชีวิตอยู่ในระดับของสมมติที่ดีงาม แต่การเจริญสติก็ไปวิเคราะห์ใจว่าเขาก่อตัวอย่างไร ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจของเราถึงมีความทะเยอทะยานอยาก เพราะว่าความอยากนั้นแหละความเกิดนั่นแหละปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมดเลยทีเดียวในขั้นละเอียด เข้ามาหลงเขาหลงมาถึงได้มาเกิด แต่ได้มาเกิดในภพภูมิที่ดีคือภพภูมิของมนุษย์
มีตั้งแต่พระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่ได้ค้นพบแนวทางที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิมคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ท่านถึงได้มาค้นพบหลักสัจธรรมคือหลักของอริยสัจ แล้วก็การดำเนินทางในอริยมรรค ข้อแรก ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความรู้แจ้งเห็นจริงเห็นอะไร เห็นวิญญาณของตัวเองคลายออกจากอาการของวิญญาณ เห็นแยกซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
คนทั่วไปก็ภาษาธรรมะเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ การแยกรูปแยกนาม การตามดูการรู้การเห็น เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของตัวจิตตัววิญญาณ คลายจิตออกจากขันธ์ห้า มาละกิเลสออกจากวิญญาณดับความเกิดของวิญญาณ ด้วยการเจริญสติการเจริญภาวนา ด้วยการทำความเข้าใจแล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ อันนี้คือรูปอันนี้คือนาม
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ความอยากแม้แต่นิดหนึ่งก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของตัวเรา อะไรคือใจ อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา แต่เวลานี้สติปัญญาหรือว่าความรู้ตัวของเรามีน้อย มีตั้งแต่ปัญญาของโลกิยะปัญญาของสมมติซึ่งมันปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด แม้แต่การเกิดของใจเขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจก็ปิดกั้นรวมกันไปหมด เขาหลงอยู่ตรงนั้น ถ้าเราแยกได้สังเกตได้จนกว่าใจของเราจะคลายได้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงในอริยมรรคในองค์แปดข้อแรกถึงจะเปิดทางให้เพียงแค่เริ่มต้น
เพียงแค่เริ่มต้นเห็นถูก ตั้งแต่ที่ผ่านๆ มานั้นก็ถูกอยู่แต่ถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่เห็นถูกภายใน ภายในยังเกิดอยู่ภายในยังหลงอยู่แต่เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ในระดับของสมมติ มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป รู้จักฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน มีความอดทนอดกลั้น มีความเสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นแก่อำนาจของความเกียจคร้าน เอาความขยันหมั่นเพียรเป็นที่ตั้ง มันก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วลึกลงไปเราต้องคลายๆ ตัววิญญาณออกจากความคิดออกจากอารมณ์ซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน
การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านศึกษาทุกคนมีกันมาเต็มเปี่ยม แต่การรู้การเห็นการตามดูให้รู้ทุกเรื่อง ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของการเจริญสติให้รู้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความรู้ตัวของเราเป็นอย่างไร เราพลั้งเผลออยู่ในระดับไหน เรารู้ความเกิดของจิตของวิญญาณของเราตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ รู้ทุกเรื่อง ตั้งแต่วิญญาณของเราคลายออกจากความคิด ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจถึงจะแยกได้เขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมเหมือนกัน เราก็ต้องพยายามนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมมาชีให้พากันขยันหมั่นเพียร ถ้าเราไม่สอนเราแล้วไม่มีใครสอนเราได้หรอกนอกจากตัวของเรา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางมาไว้ตั้งนานแล้ว พวกเราต้องพยายามเดินตามให้รู้ด้วยเห็นด้วยหมดความสงสัยได้ด้วย ทีนี้เราจะละได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล เรามีโอกาสได้ช่วยเหลือกันอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่ในหลักธรรมแล้วในการละกิเลสแล้ว เราต้องแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
การเกิดของใจมีอยู่ การเกิดของขันธ์ห้ามีอยู่ การเกิดของสติปัญญามีอยู่ เราต้องจำแนกแจกแจง แยกแยะให้ชัดเจนว่า ลักษณะสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่เราสร้างขึ้นมานี้เป็นอย่างไร รู้กายรู้ลมหายใจเข้าออก ลึกลงไปก็รู้ฐานของใจ รู้ความปกติของใจ ใจเกิดใจก่อตัวใจปรุงแต่ง หรือว่าความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของตัวเราเอง เราต้องดูทุกอย่างนั่นแหละในชีวิตของเรา ตั้งแต่ระดับสมมติโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ยังอาศัยสิ่งแวดล้อม อยู่ยังอาศัยสมมติอยู่ปากท้องของเราก็ยังมี เราก็ต้องทำความเข้าใจตั้งแต่ระดับขั้นพื้นฐาน ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบความเสียสละ การกระทำของเราถึงพร้อมหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าจะวิ่งตั้งแต่ไปหาตั้งแต่ธรรม ต้องทำความเข้าใจ เจริญสติก็ไปทำความเข้าใจไปสำรวจใจ ว่าอะไรเราขาดตกบกพร่อง อะไรเราควรจะเสริมอะไร เราควรจะเติมให้มันเต็ม ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งหาที่โน่นวิ่งหาที่นี่ ลงอยู่ที่ใจของเรา ทุกคนก็ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลากันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงจากเด็ก ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว มีความขยันหมั่นเพียรมีความรับผิดชอบ มีการดำเนินชีวิตอยู่ในระดับของสมมติที่ดีงาม แต่การเจริญสติก็ไปวิเคราะห์ใจว่าเขาก่อตัวอย่างไร ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจของเราถึงมีความทะเยอทะยานอยาก เพราะว่าความอยากนั้นแหละความเกิดนั่นแหละปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมดเลยทีเดียวในขั้นละเอียด เข้ามาหลงเขาหลงมาถึงได้มาเกิด แต่ได้มาเกิดในภพภูมิที่ดีคือภพภูมิของมนุษย์
มีตั้งแต่พระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่ได้ค้นพบแนวทางที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิมคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ท่านถึงได้มาค้นพบหลักสัจธรรมคือหลักของอริยสัจ แล้วก็การดำเนินทางในอริยมรรค ข้อแรก ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความรู้แจ้งเห็นจริงเห็นอะไร เห็นวิญญาณของตัวเองคลายออกจากอาการของวิญญาณ เห็นแยกซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
คนทั่วไปก็ภาษาธรรมะเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ การแยกรูปแยกนาม การตามดูการรู้การเห็น เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของตัวจิตตัววิญญาณ คลายจิตออกจากขันธ์ห้า มาละกิเลสออกจากวิญญาณดับความเกิดของวิญญาณ ด้วยการเจริญสติการเจริญภาวนา ด้วยการทำความเข้าใจแล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ อันนี้คือรูปอันนี้คือนาม
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ความอยากแม้แต่นิดหนึ่งก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของตัวเรา อะไรคือใจ อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา แต่เวลานี้สติปัญญาหรือว่าความรู้ตัวของเรามีน้อย มีตั้งแต่ปัญญาของโลกิยะปัญญาของสมมติซึ่งมันปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด แม้แต่การเกิดของใจเขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจก็ปิดกั้นรวมกันไปหมด เขาหลงอยู่ตรงนั้น ถ้าเราแยกได้สังเกตได้จนกว่าใจของเราจะคลายได้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงในอริยมรรคในองค์แปดข้อแรกถึงจะเปิดทางให้เพียงแค่เริ่มต้น
เพียงแค่เริ่มต้นเห็นถูก ตั้งแต่ที่ผ่านๆ มานั้นก็ถูกอยู่แต่ถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่เห็นถูกภายใน ภายในยังเกิดอยู่ภายในยังหลงอยู่แต่เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ในระดับของสมมติ มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป รู้จักฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน มีความอดทนอดกลั้น มีความเสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นแก่อำนาจของความเกียจคร้าน เอาความขยันหมั่นเพียรเป็นที่ตั้ง มันก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วลึกลงไปเราต้องคลายๆ ตัววิญญาณออกจากความคิดออกจากอารมณ์ซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน
การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านศึกษาทุกคนมีกันมาเต็มเปี่ยม แต่การรู้การเห็นการตามดูให้รู้ทุกเรื่อง ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของการเจริญสติให้รู้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความรู้ตัวของเราเป็นอย่างไร เราพลั้งเผลออยู่ในระดับไหน เรารู้ความเกิดของจิตของวิญญาณของเราตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ รู้ทุกเรื่อง ตั้งแต่วิญญาณของเราคลายออกจากความคิด ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจถึงจะแยกได้เขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมเหมือนกัน เราก็ต้องพยายามนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมมาชีให้พากันขยันหมั่นเพียร ถ้าเราไม่สอนเราแล้วไม่มีใครสอนเราได้หรอกนอกจากตัวของเรา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางมาไว้ตั้งนานแล้ว พวกเราต้องพยายามเดินตามให้รู้ด้วยเห็นด้วยหมดความสงสัยได้ด้วย ทีนี้เราจะละได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล เรามีโอกาสได้ช่วยเหลือกันอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่ในหลักธรรมแล้วในการละกิเลสแล้ว เราต้องแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ