หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 034
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 034
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มสียนะ ทุกครั้งทุกคราวหลวงพ่อจะย้ำจะเตือน ถ้าเราเข้าใจวิธีเข้าใจแนวทางแล้วเราพยายามไปสร้างไปทำ
การเจริญสติรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปรู้เท่าทันจิตรู้เท่าทันความคิด ว่าในกายของเรานี้เป็นอย่างไร ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง มาสร้างภพสร้างชาติจนเกิดอัตตาตัวตน อะไรคือส่วนรูปส่วนวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ไปหลงความคิดหลงอารมณ์อีก เขาเกิดรวมกันไปได้อย่างไร เขาเป็นทาสของกิเลสได้อย่างไร
เราต้องศึกษาค้นคว้าชีวิตของเราขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็ยากที่จะปฏิบัติฝึกฝนตนเองได้ พยายามรีบๆ ทำเสียเพราะว่าแนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบออกมาเปิดเผย มาจำแนกแจกแจงสอนสัตว์โลกอย่างพวกเรานี่แหละให้ปฏิบัติตาม ท่านสอนทุกอย่างเลยทีเดียว ตั้งแต่การดำเนินชีวิต ตั้งแต่การศึกษาค้นคว้า เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร จัดการกับวิญญาณของเราได้อย่างไร การเป็นอยู่ การดำเนินภาระหน้าที่การงานอย่างไร ท่านสอนเอาไว้หมดเลยทุกอย่างเลยตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เราจะศึกษาค้นคว้าหรือไม่เท่านั้นเอง
เราจะละกิเลสออกจากใจของเราได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของพวกเรา ทุกจิตทุกวิญญาณนั้นปรารถนาหาความสุขใส่ตัวเราเอง อย่าไปโทษกันเราพยายามแก้ไข อะไรผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขเสีย มองโลกในทางที่ดี คิดดี แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราก็รีบสำรวจกายสำรวจใจของเราว่าอะไรเราขาดตกบกพร่อง เรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีสัจจะความจริงใจต่อตัวเราหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความกังวลฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักแก้ไข ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ รู้จักละรู้จักดับ กิเลสอยาบกิเลสละเอียด
ทำความเข้าใจโลก ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ ทำความเข้าใจกับการเกิดการดับ จนกว่าเราจะเดินปัญญาแยกรูปแยกนามหรือว่าวิญญาณคลายออกจากความคิด ถึงจะเข้าสู่กระแสสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เริ่มต้นในการเดินปัญญาที่ถูกต้อง แต่ทุกคนก็มีศรัทธาสร้างบารมีอยู่ในระดับอานิสงส์ของสมมติกันเต็มเปี่ยม จะสร้างมากสร้างน้อยทำมากทำน้อย ตรงนี้ทุกคนก็ได้ฝักใฝ่สนใจกันมาอยู่ตลอด
แต่การสังเกตวิเคราะห์จนกว่าวิญญาณของเราจะคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีมากเท่าไร มีก็ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ต่อเนื่องให้ได้ทุกเรื่อง เราก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัยหรอก พยายามกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม จะไปอยู่ที่ไหนต้องพยายามแก้ไข แก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลส ลักษณะของใจที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลสหรือว่าสงบ หรือว่าใจของเรายังมีความกังวลมีความฟุ้งซ่านอยู่ก็ให้รีบแก้ไขเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีเหตุมีผลทั้งนั้น เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง
เพียงแค่การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน ยังไปนึกเอาว่าเรามีสติมีปัญญา อันนั้นก็เป็นสติปัญญาของสมมติของโลกียะอาจจะถูกต้องอยู่ แต่สติในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง จนเอาไปดูแลหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ รู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของใจที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็รู้จักละกิเลส รู้จักทำความเข้าใจในชีวิตของเรา จัดระบบระเบียบทั้งภายนอกภายใน จนล้นออกไปสู่สมมติล้นออกไปสู่สังคม มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม
จะไปโทษกันไม่ได้เด็ดขาดเลย เพราะว่าทุกคนแต่ละวิญญาณนั้นสร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามากบางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็ฝักใฝ่บางคนก็ไม่สนใจ บางคนก็สนใจแต่ยังไม่เข้าแนวทาง ยังอยู่ในกองสัมมาทิฏฐิแต่ยังเป็นสัมมาทิฐิยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ยังเดินไม่ตลอด ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ ทำใจให้สงบ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว พยายามรู้ให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างกันต่อนะ อันนี้เป็นแค่ย้ำแค่เตือนแค่ชี้แนะอุบายเท่านั้นเอง
การเจริญสติรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปรู้เท่าทันจิตรู้เท่าทันความคิด ว่าในกายของเรานี้เป็นอย่างไร ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง มาสร้างภพสร้างชาติจนเกิดอัตตาตัวตน อะไรคือส่วนรูปส่วนวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ไปหลงความคิดหลงอารมณ์อีก เขาเกิดรวมกันไปได้อย่างไร เขาเป็นทาสของกิเลสได้อย่างไร
เราต้องศึกษาค้นคว้าชีวิตของเราขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็ยากที่จะปฏิบัติฝึกฝนตนเองได้ พยายามรีบๆ ทำเสียเพราะว่าแนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบออกมาเปิดเผย มาจำแนกแจกแจงสอนสัตว์โลกอย่างพวกเรานี่แหละให้ปฏิบัติตาม ท่านสอนทุกอย่างเลยทีเดียว ตั้งแต่การดำเนินชีวิต ตั้งแต่การศึกษาค้นคว้า เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร จัดการกับวิญญาณของเราได้อย่างไร การเป็นอยู่ การดำเนินภาระหน้าที่การงานอย่างไร ท่านสอนเอาไว้หมดเลยทุกอย่างเลยตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เราจะศึกษาค้นคว้าหรือไม่เท่านั้นเอง
เราจะละกิเลสออกจากใจของเราได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของพวกเรา ทุกจิตทุกวิญญาณนั้นปรารถนาหาความสุขใส่ตัวเราเอง อย่าไปโทษกันเราพยายามแก้ไข อะไรผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขเสีย มองโลกในทางที่ดี คิดดี แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราก็รีบสำรวจกายสำรวจใจของเราว่าอะไรเราขาดตกบกพร่อง เรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีสัจจะความจริงใจต่อตัวเราหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความกังวลฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักแก้ไข ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ รู้จักละรู้จักดับ กิเลสอยาบกิเลสละเอียด
ทำความเข้าใจโลก ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ ทำความเข้าใจกับการเกิดการดับ จนกว่าเราจะเดินปัญญาแยกรูปแยกนามหรือว่าวิญญาณคลายออกจากความคิด ถึงจะเข้าสู่กระแสสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เริ่มต้นในการเดินปัญญาที่ถูกต้อง แต่ทุกคนก็มีศรัทธาสร้างบารมีอยู่ในระดับอานิสงส์ของสมมติกันเต็มเปี่ยม จะสร้างมากสร้างน้อยทำมากทำน้อย ตรงนี้ทุกคนก็ได้ฝักใฝ่สนใจกันมาอยู่ตลอด
แต่การสังเกตวิเคราะห์จนกว่าวิญญาณของเราจะคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีมากเท่าไร มีก็ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ต่อเนื่องให้ได้ทุกเรื่อง เราก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัยหรอก พยายามกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม จะไปอยู่ที่ไหนต้องพยายามแก้ไข แก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลส ลักษณะของใจที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลสหรือว่าสงบ หรือว่าใจของเรายังมีความกังวลมีความฟุ้งซ่านอยู่ก็ให้รีบแก้ไขเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีเหตุมีผลทั้งนั้น เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง
เพียงแค่การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน ยังไปนึกเอาว่าเรามีสติมีปัญญา อันนั้นก็เป็นสติปัญญาของสมมติของโลกียะอาจจะถูกต้องอยู่ แต่สติในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง จนเอาไปดูแลหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ รู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของใจที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็รู้จักละกิเลส รู้จักทำความเข้าใจในชีวิตของเรา จัดระบบระเบียบทั้งภายนอกภายใน จนล้นออกไปสู่สมมติล้นออกไปสู่สังคม มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม
จะไปโทษกันไม่ได้เด็ดขาดเลย เพราะว่าทุกคนแต่ละวิญญาณนั้นสร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามากบางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็ฝักใฝ่บางคนก็ไม่สนใจ บางคนก็สนใจแต่ยังไม่เข้าแนวทาง ยังอยู่ในกองสัมมาทิฏฐิแต่ยังเป็นสัมมาทิฐิยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ยังเดินไม่ตลอด ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ ทำใจให้สงบ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว พยายามรู้ให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างกันต่อนะ อันนี้เป็นแค่ย้ำแค่เตือนแค่ชี้แนะอุบายเท่านั้นเอง