หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 129
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 129
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เราได้วิเคราะห์กายของเราแล้วเราได้วิเคราะห์ใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่มฝึกให้เกิดความเคยชินให้เป็นกิจวัตร ให้เป็นผลงานชิ้นโบแดงที่เราจะต้องทำ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
บางคนบางท่านก็ฝักใฝ่ไปในการปฏิบัติ บางคนบางท่านก็พยายามที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ไม่ได้เจริญสติเข้าไปรู้การเกิดของจิตหรือว่าวิญญาณ เข้าไปถึงฐานของเขา การก่อตัวลักษณะของใจ หรือว่าลักษณะของใจจิตที่ปรุงแต่งการเกิดเป็นอย่างไร จิตที่มีกิเลสเป็นอย่างไร เราละกิเลสวิธีไหน เราต้องพยายามศึกษา
จะปฏิบัติตั้งแต่ธรรมจะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม ตัวธรรมเป็นลักษณะอย่างไรก็ตัวใจนั่นแหละ เวลานี้เขายังเกิดอยู่เขายังหลงอยู่ ตราบใดที่เรายังไม่เจริญสติให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติมีปัญญา ก็อันนั้นเป็นสติปัญญาของโลกของโลกิยะเต็มเปี่ยม แล้วก็มีมากจนปิดกั้นตัวใจเอาไว้ เราถึงได้มาเจริญสติมาสร้างความรู้ตัวใหม่ เน้นลงอยู่ที่กายของเราทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ส่วนมากหลวงพ่อจะให้เน้นลงอยู่ที่อานาปานสติมีความรู้สึกรับรู้ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญแล้วก็ทำกันไม่ต่อเนื่อง ถ้าเราทำให้ต่อเนื่อง หมั่นฝักใฝ่หมั่นสนใจ รู้จักกระตือรือร้นในการสร้างความรู้ตัว ความพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่
ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้าง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ยังอึดอัด จะเอาตั้งแต่ธรรมจะเอาตั้งแต่ใจ มีการละกิเลสไม่มี ใจของเราก็ไม่ถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ใจเกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักดับรู้จักระงับอันนี้เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าเรารู้ฐานของใจ ตั้งแต่ตัวการก่อเกิดของวิญญาณของใจโน่น ถอนรากถอนโคนออกจากใจของเราให้มันหมด เหลือแต่ความว่างความบริสุทธิ์
สติความรู้ตัวพลั้งเผลอยังได้อย่างไร ความเกียจคร้านเข้าครอบงำได้อย่างไร นิวรณ์ความกังวลความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นได้อย่างไร การเกิดของใจ ความอยากแม้แต่นิดเดียวอย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ อยากเกิดอยากคิดแล้วก็ไม่อยากเกิดไม่อยากคิด เกิดความเบื่อหน่ายทั้งภายนอกทั้งภายใน ให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริง มองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงธรรมชาติของใจ
แต่ต้องคลายความหลงเสียก่อน ดับความเกิด ละกิเลส ดับความเกิดให้ถึงต้นเหตุเสียก่อนถึงจะรู้เข้าถึงธรรมชาติของใจที่แท้จริง ส่วนมากก็รู้เมื่อเขาเกิดแล้วหรือว่าเมื่อเขาหลง เขารวมกับความคิดกับอารมณ์กับขันธ์ห้าเสียแล้ว ถือว่ารวมกันไปทั้งสติปัญญาทั้งใจส่งออกไปภายนอกอย่างเดียว มีแต่เหตุมีแต่ผลภายนอกมาปกปิดดวงใจของเราเอาไว้
เราก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุง ทุกเรื่องในชีวิตเราต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ใจรับรู้หมด ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ อาศัยความเพียร อาศัยความเสียสละอย่างยิ่งยวด อาศัยพรหมวิหารความเมตตา เหมือนกับเราขึ้นบันไดเหมือนกับขึ้นบนเรือนเราต้องอาศัยบันได ตั้งแต่ขั้นแรกถึงขั้นสุดท้าย ขึ้นถึงครัวเรือนแล้วยังไม่พอเราต้องปัดกวาดความสะอาดบนตัวเรือนของเราอีก
การเจริญสติก็เหมือนกัน มีความเพียร มีศรัทธามีวิริยะ มีความอดทนมีขันติ สร้างตบะสร้างบารมีละความเกียจคร้าน อันไหนคือสติที่เราเจริญขึ้นมา อะไรคือตัวใจที่เราจะต้องเข้าไปดับเข้าไปละ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รีบดับอย่าไปเลือกการเลือกเวลา ปฏิบัติธรรมต้องให้รู้ธรรม ลักษณะของธรรมก็คือใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘องค์ธรรม’ อยู่ในความว่าง
ความว่าง อะไรคือวิหารธรรมเครื่องอยู่ของใจ ก่อนจะเข้าถึงจุดนั้นได้เราก็ต้องสร้างสะสมบารมีขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล ใจอยากจะปล่อยอยากจะวางแต่ไม่เห็นเหตุเห็นผล ไม่ตามค้นคว้าให้ใจมองเห็นความเป็นจริงได้เขาก็วางไม่ได้เหมือนกัน ถ้ากำลังสติปัญญาของเรารู้เหตุรู้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าคลายออกจากความคิด ตามดูได้เมื่อไหร่จนใจยอมรับความเป็นจริงได้เมื่อไหร่นั่นแหละก็ว่าไม่มีสาระประโยชน์อะไร เขาถึงจะอุเบกขาแล้วก็ละการเกิดของเขาให้หมดจด แล้วก็วางใจให้ละเอียดอีก
หลายสิ่งหลายอย่างเราต้องไปศึกษาให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สติความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา เราควบคุมใจของเรายังไม่ได้ต่อเนื่อง เราพยายามควบคุมใจ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดสารพัดอย่าง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บเขาจะแพ้เขาก็ยิ่งโหมกำลังเข้ามา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน แม้แต่ตัวจิตตัวใจแท้ๆ ก็ปิดบังอำพรางตัวเอง เขาก็หาเหตุหาผลคือการเกิดนั่นแหละ เกิดหาเหตุหาผลมาปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้เหมือนกัน กำลังสติของเราต้องเร็วไวแหลมคม ขัดเกลาอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้จนไม่มีกิเลสเหลือที่ใจของเรา ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ อยู่กับสมมติไม่ให้สมมติเขาครอบงำเพราะกายของเรานี่แหละเป็นก้อนสมมติ
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณอยู่ในกายของเรามีหน้าที่อย่างไร เราต้องแจงออกให้ละเอียดเราถึงจะอยู่อย่างมีความสุขได้ เกิดมาเป็นมนุษย์เราก็ต้องพยายามให้ถึงจุดหมายปลายทางคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ถ้าไม่ถึงวาระเวลาเราก็ต้องพยายามเพียรไปเรื่อยๆ อย่าไปเกียจคร้านอย่าสร้างความเกียจคร้านให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา
จงพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร มีเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละที่สูง ไม่ใช่เอาตั้งแต่ความเกียจคร้าน กลัวแต่เสียเปรียบคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนโน้นคนนี้ ไม่ชำระสะสางกิเลสของเรา มองโลกในทางที่ดีคิดดี แม้แต่ตัวสติปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็ต้องให้ละให้ดับ ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
นี่ก็ใกล้จะถึงงานกฐินของเรา วันที่ 25 พฤศจิกายน ญาติโยมท่านใดปวารณาจะทำโรงทานก็ ไปบอกกล่าวทางโรงครัวเอาไว้ พี่น้องของเรามาทั้งวันที่ 24 และก็วันที่ 25 วันที่ 24 ก็จะได้บวชพระหลายรูปที่จะบวชในงานกฐิน แล้วก็ก่อนที่จะถึงงานกฐินก็เห็นว่าจะบวชกันหลายคนหลายท่าน เราก็ห้ามอานิสงส์ห้ามบุญกันไม่ได้
มีโอกาสเราก็มามาหาความเป็นจริงของชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นแค่เพียงสะพานเป็นแค่เพียงผู้รับใช้ให้ทุกคนได้ถึงจุดหมายปลายทาง อนุเคราะห์ให้ทำให้ยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข การประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสก็อยู่ที่ตัวของพวกท่านเอง หลวงพ่อก็เพียงแค่อนุเคราะห์ช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อที่การประพฤติปฏิบัติใจให้ไปได้เร็วได้ไว ก็ต้องพยายาม อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ เราต้องโทษตัวเองแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราอยู่ร่วมกับหมู่กับคณะเป็นอย่างไร ความรับผิดชอบของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความเห็นแก่ตัว หรือว่าเรามีทิฐิมานะอัตตาตัวตน เราก็พยายามคลายพยายามละ หลวงพ่อก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ทุกคนได้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว อนุเคราะห์ให้ได้ทั้งทางกายทั้งทางใจ เราก็ต้องแก้ไขตัวเราเอง
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้กัน ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างการต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
บางคนบางท่านก็ฝักใฝ่ไปในการปฏิบัติ บางคนบางท่านก็พยายามที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ไม่ได้เจริญสติเข้าไปรู้การเกิดของจิตหรือว่าวิญญาณ เข้าไปถึงฐานของเขา การก่อตัวลักษณะของใจ หรือว่าลักษณะของใจจิตที่ปรุงแต่งการเกิดเป็นอย่างไร จิตที่มีกิเลสเป็นอย่างไร เราละกิเลสวิธีไหน เราต้องพยายามศึกษา
จะปฏิบัติตั้งแต่ธรรมจะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม ตัวธรรมเป็นลักษณะอย่างไรก็ตัวใจนั่นแหละ เวลานี้เขายังเกิดอยู่เขายังหลงอยู่ ตราบใดที่เรายังไม่เจริญสติให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติมีปัญญา ก็อันนั้นเป็นสติปัญญาของโลกของโลกิยะเต็มเปี่ยม แล้วก็มีมากจนปิดกั้นตัวใจเอาไว้ เราถึงได้มาเจริญสติมาสร้างความรู้ตัวใหม่ เน้นลงอยู่ที่กายของเราทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ส่วนมากหลวงพ่อจะให้เน้นลงอยู่ที่อานาปานสติมีความรู้สึกรับรู้ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญแล้วก็ทำกันไม่ต่อเนื่อง ถ้าเราทำให้ต่อเนื่อง หมั่นฝักใฝ่หมั่นสนใจ รู้จักกระตือรือร้นในการสร้างความรู้ตัว ความพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่
ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้าง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ยังอึดอัด จะเอาตั้งแต่ธรรมจะเอาตั้งแต่ใจ มีการละกิเลสไม่มี ใจของเราก็ไม่ถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ใจเกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักดับรู้จักระงับอันนี้เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าเรารู้ฐานของใจ ตั้งแต่ตัวการก่อเกิดของวิญญาณของใจโน่น ถอนรากถอนโคนออกจากใจของเราให้มันหมด เหลือแต่ความว่างความบริสุทธิ์
สติความรู้ตัวพลั้งเผลอยังได้อย่างไร ความเกียจคร้านเข้าครอบงำได้อย่างไร นิวรณ์ความกังวลความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นได้อย่างไร การเกิดของใจ ความอยากแม้แต่นิดเดียวอย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ อยากเกิดอยากคิดแล้วก็ไม่อยากเกิดไม่อยากคิด เกิดความเบื่อหน่ายทั้งภายนอกทั้งภายใน ให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริง มองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงธรรมชาติของใจ
แต่ต้องคลายความหลงเสียก่อน ดับความเกิด ละกิเลส ดับความเกิดให้ถึงต้นเหตุเสียก่อนถึงจะรู้เข้าถึงธรรมชาติของใจที่แท้จริง ส่วนมากก็รู้เมื่อเขาเกิดแล้วหรือว่าเมื่อเขาหลง เขารวมกับความคิดกับอารมณ์กับขันธ์ห้าเสียแล้ว ถือว่ารวมกันไปทั้งสติปัญญาทั้งใจส่งออกไปภายนอกอย่างเดียว มีแต่เหตุมีแต่ผลภายนอกมาปกปิดดวงใจของเราเอาไว้
เราก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุง ทุกเรื่องในชีวิตเราต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ใจรับรู้หมด ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ อาศัยความเพียร อาศัยความเสียสละอย่างยิ่งยวด อาศัยพรหมวิหารความเมตตา เหมือนกับเราขึ้นบันไดเหมือนกับขึ้นบนเรือนเราต้องอาศัยบันได ตั้งแต่ขั้นแรกถึงขั้นสุดท้าย ขึ้นถึงครัวเรือนแล้วยังไม่พอเราต้องปัดกวาดความสะอาดบนตัวเรือนของเราอีก
การเจริญสติก็เหมือนกัน มีความเพียร มีศรัทธามีวิริยะ มีความอดทนมีขันติ สร้างตบะสร้างบารมีละความเกียจคร้าน อันไหนคือสติที่เราเจริญขึ้นมา อะไรคือตัวใจที่เราจะต้องเข้าไปดับเข้าไปละ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รีบดับอย่าไปเลือกการเลือกเวลา ปฏิบัติธรรมต้องให้รู้ธรรม ลักษณะของธรรมก็คือใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘องค์ธรรม’ อยู่ในความว่าง
ความว่าง อะไรคือวิหารธรรมเครื่องอยู่ของใจ ก่อนจะเข้าถึงจุดนั้นได้เราก็ต้องสร้างสะสมบารมีขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล ใจอยากจะปล่อยอยากจะวางแต่ไม่เห็นเหตุเห็นผล ไม่ตามค้นคว้าให้ใจมองเห็นความเป็นจริงได้เขาก็วางไม่ได้เหมือนกัน ถ้ากำลังสติปัญญาของเรารู้เหตุรู้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าคลายออกจากความคิด ตามดูได้เมื่อไหร่จนใจยอมรับความเป็นจริงได้เมื่อไหร่นั่นแหละก็ว่าไม่มีสาระประโยชน์อะไร เขาถึงจะอุเบกขาแล้วก็ละการเกิดของเขาให้หมดจด แล้วก็วางใจให้ละเอียดอีก
หลายสิ่งหลายอย่างเราต้องไปศึกษาให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สติความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา เราควบคุมใจของเรายังไม่ได้ต่อเนื่อง เราพยายามควบคุมใจ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดสารพัดอย่าง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บเขาจะแพ้เขาก็ยิ่งโหมกำลังเข้ามา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน แม้แต่ตัวจิตตัวใจแท้ๆ ก็ปิดบังอำพรางตัวเอง เขาก็หาเหตุหาผลคือการเกิดนั่นแหละ เกิดหาเหตุหาผลมาปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้เหมือนกัน กำลังสติของเราต้องเร็วไวแหลมคม ขัดเกลาอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้จนไม่มีกิเลสเหลือที่ใจของเรา ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ อยู่กับสมมติไม่ให้สมมติเขาครอบงำเพราะกายของเรานี่แหละเป็นก้อนสมมติ
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณอยู่ในกายของเรามีหน้าที่อย่างไร เราต้องแจงออกให้ละเอียดเราถึงจะอยู่อย่างมีความสุขได้ เกิดมาเป็นมนุษย์เราก็ต้องพยายามให้ถึงจุดหมายปลายทางคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ถ้าไม่ถึงวาระเวลาเราก็ต้องพยายามเพียรไปเรื่อยๆ อย่าไปเกียจคร้านอย่าสร้างความเกียจคร้านให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา
จงพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร มีเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละที่สูง ไม่ใช่เอาตั้งแต่ความเกียจคร้าน กลัวแต่เสียเปรียบคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนโน้นคนนี้ ไม่ชำระสะสางกิเลสของเรา มองโลกในทางที่ดีคิดดี แม้แต่ตัวสติปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็ต้องให้ละให้ดับ ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
นี่ก็ใกล้จะถึงงานกฐินของเรา วันที่ 25 พฤศจิกายน ญาติโยมท่านใดปวารณาจะทำโรงทานก็ ไปบอกกล่าวทางโรงครัวเอาไว้ พี่น้องของเรามาทั้งวันที่ 24 และก็วันที่ 25 วันที่ 24 ก็จะได้บวชพระหลายรูปที่จะบวชในงานกฐิน แล้วก็ก่อนที่จะถึงงานกฐินก็เห็นว่าจะบวชกันหลายคนหลายท่าน เราก็ห้ามอานิสงส์ห้ามบุญกันไม่ได้
มีโอกาสเราก็มามาหาความเป็นจริงของชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นแค่เพียงสะพานเป็นแค่เพียงผู้รับใช้ให้ทุกคนได้ถึงจุดหมายปลายทาง อนุเคราะห์ให้ทำให้ยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข การประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสก็อยู่ที่ตัวของพวกท่านเอง หลวงพ่อก็เพียงแค่อนุเคราะห์ช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อที่การประพฤติปฏิบัติใจให้ไปได้เร็วได้ไว ก็ต้องพยายาม อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ เราต้องโทษตัวเองแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราอยู่ร่วมกับหมู่กับคณะเป็นอย่างไร ความรับผิดชอบของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความเห็นแก่ตัว หรือว่าเรามีทิฐิมานะอัตตาตัวตน เราก็พยายามคลายพยายามละ หลวงพ่อก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ทุกคนได้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว อนุเคราะห์ให้ได้ทั้งทางกายทั้งทางใจ เราก็ต้องแก้ไขตัวเราเอง
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้กัน ไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างการต่อทำความเข้าใจกันเอานะ