หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 083
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 083
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้เจริญสติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกคนก็มีบุญมีวาสนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ได้พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสมีศรัทธาน้อมใจน้อมกายได้เข้ามาทำบุญได้เข้ามาให้ทาน แต่การเจริญสติการศึกษาภายในกายของเรา ตรงนี้พวกเรายังทำกันไม่ต่อเนื่องกันเท่าไร
ลักษณะของวิญญาณที่มาก่อร่างสร้างภพก่อร่างสร้างกายของเรา ในกายในอัตภาพร่างกายของเราในขันธ์ห้าของเรา มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ซึ่งมีหนังเข้ามาห่อหุ้มมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้ทุกคนได้ปฏิบัติตาม การเจริญสติ การละกิเลส การแยกรูปแยกนาม การคลายความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะอาการ คืออาการภาษาสมมติภาษาวิมุตติ วิมุตติคือหลุดพ้น สมมติคือความเป็นอยู่ของโลก
กายของเรานี่ก็กองโลกเขาเรียกว่ากองโลก มีอยู่ห้ากองแต่เรามองเห็นเป็นกองเดียวคือกองรูป กองนาม กองวิญญาณ กองอาการของวิญญาณ เราไม่ค่อยจะเห็นกัน เรารู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิดเราทำแล้วก็ทำตามความคิด แล้วก็เข้าไปหลงเข้าไปยึด แต่เราอาจจะว่าเราไม่ได้ยึด เพราะว่าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปเห็นให้ชัดเจนจริงๆ ก็เลยไม่เห็นตรงนี้ เพียงแค่การเจริญสติหรือว่าการสร้างความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเราก็ทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไร บางคนก็ไม่รู้เลยว่าลักษณะของสติ คำว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ทั้งที่ฝึกน้อมกายก็ไปฝึกที่โน่นบ้างฝึกที่นี่บ้าง ตัวใจเป็นตัวบงการก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด เราต้องพยายาม
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ เราพยายามฝึกหายใจเข้าอย่างไรมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกอย่างไรมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด ความหมายของคำว่า ‘ความรู้ตัว’ การปฏิบัติที่ต่อเนื่อง รู้กายแล้วก็เอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ เอาไปรู้เท่าทันใจว่าความปกติของใจเป็นอย่างไร เวลาใจก่อตัวใจเริ่มปรุงแต่งอย่างไร อาการของใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาผุดขึ้นมาตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร
ลักษณะของคำว่ากองสังขาร คำว่ากองคำว่าขันธ์เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา พวกเราก็ไม่ค่อยจะได้ทำกันเท่าไร เพียงแค่ประคับประคองให้ต่อเนื่องกันก็ทั้งยาก นี่แหละเราต้องมีความเพียร มีความเพียรแล้วก็เพียรให้ต่อเนื่องแล้วรู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์เอาไปทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา ถ้าเราสอนเราไม่ได้ก็ยากที่จะให้คนอื่นเขาสอนเราให้
เราต้องเจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจของเราว่าอะไรผิดอะไรถูก เจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทันการเกิดการดับของขันธ์ห้า หาเหตุหาผล ตามดูรู้เห็นเหตุเห็นผลจนใจยอมรับความเป็นจริง จนใจปล่อยวางได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงได้นั่นแหละ ไม่ใช่ว่ารู้นิดๆ หน่อยๆ เขาจะปล่อยวางได้เลย เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความเสียสละ การละกิเลส การเอาออกการให้การคลายเรามีหรือไม่ พรหมวิหารความเมตตา อนุเคราะห์สงสารซึ่งกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเอาตั้งแต่ทำจะปฏิบัติตั้งแต่ทำ แต่การละกิเลสไม่มีความเสียสละไม่มีมันก็ยากที่จะคลายได้ การเจริญสติไม่มีมันก็ยากที่จะคลายได้
เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน ใจของเรามีกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักระงับยับยั้งรู้จักดับ ความโลภเราก็รู้จักดับ ความโกรธเราก็รู้จักดับ แล้วก็ทำในสิ่งตรงกันข้าม อย่างใจของเราเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรมไม่มองโลกในแง่ร้าย ใจของเรามีความทะเยอทะยานอยาก มีความโลภโลภอยากจะได้ของคนอื่น หรือว่ามีความโลภเราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออกโดยการคลายด้วยการบริจาคให้ทาน ทานทั้งภายนอกทานทั้งภายใน ใจของเราก็จะเริ่มคลายออกไปเรื่อยๆ คลายออกไปเรื่อยๆ
จนถึงวาระเวลามันก็จะคลายความยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งใจของเราคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน เราก็จะเห็น ตามดูตามรู้ตามเห็น การพูดง่ายแต่การสังเกตการวิเคราะห์การลงมือทำจริงๆ เราก็ต้องพยายามทำตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทำจนเกิดความเคยชินจนเป็นเองในการดูในการรู้ในการละ ชนะตัวเราเองไม่จำเป็นต้องไปเอาชนะคนโน้นเอาชนะคนนี้ ไม่จำเป็นต้องว่าตัวเราจะเสียเปรียบคนโน้นเสียเปรียบคนนี้ เราพยายามทำความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นทั้งใจทั้งกายของเรา ความรับผิดชอบของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่
เอาการงานของเราเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ ทำงานไปด้วยดูใจ ใจรับรู้ไปด้วย มีความสุขอยู่ที่ไหนก็จะเป็นบุญ ทำกายให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญ อยู่ที่ไหนก็เป็นวัดเราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมมะให้เรา จงพยายามเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์แล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้มีให้เกิดขึ้น ท่านถึงบอกให้เชื่ออีกทีหนึ่ง
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์การดับ กายวิเวกใจวิเวก กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างนี้ มันจะเห็นเป็นชัดเจนหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องชัดเจนไม่ใช่ว่าคลุมเครือ ไม่ให้ความอยากเกิดขึ้นที่ใจของเราแม้แต่นิดเดียว ไม่กระทั่งอยากในอาหารการอยู่การรับประทาน อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง
ในหลักธรรมจริงๆ ทั้งอยากทั้งไม่อยากเราก็ต้องละต้องดับหมด อยู่ด้วยสติอยู่ด้วยปัญญา ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา อยู่ด้วยเหตุด้วยผล ต้องพยายามกันนะ พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราก็จะมองเห็นหนทางเดินของเรา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านมีโอกาสก็ทำ อยู่ที่ไร่ที่นาที่ทำการทำงาน อยู่กับหมู่อยู่กับคณะ อยู่กับเพื่อนกับฝูง มีโอกาสทำให้ทำ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้เจริญสติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกคนก็มีบุญมีวาสนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ได้พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสมีศรัทธาน้อมใจน้อมกายได้เข้ามาทำบุญได้เข้ามาให้ทาน แต่การเจริญสติการศึกษาภายในกายของเรา ตรงนี้พวกเรายังทำกันไม่ต่อเนื่องกันเท่าไร
ลักษณะของวิญญาณที่มาก่อร่างสร้างภพก่อร่างสร้างกายของเรา ในกายในอัตภาพร่างกายของเราในขันธ์ห้าของเรา มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ซึ่งมีหนังเข้ามาห่อหุ้มมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้ทุกคนได้ปฏิบัติตาม การเจริญสติ การละกิเลส การแยกรูปแยกนาม การคลายความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะอาการ คืออาการภาษาสมมติภาษาวิมุตติ วิมุตติคือหลุดพ้น สมมติคือความเป็นอยู่ของโลก
กายของเรานี่ก็กองโลกเขาเรียกว่ากองโลก มีอยู่ห้ากองแต่เรามองเห็นเป็นกองเดียวคือกองรูป กองนาม กองวิญญาณ กองอาการของวิญญาณ เราไม่ค่อยจะเห็นกัน เรารู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิดเราทำแล้วก็ทำตามความคิด แล้วก็เข้าไปหลงเข้าไปยึด แต่เราอาจจะว่าเราไม่ได้ยึด เพราะว่าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปเห็นให้ชัดเจนจริงๆ ก็เลยไม่เห็นตรงนี้ เพียงแค่การเจริญสติหรือว่าการสร้างความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเราก็ทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไร บางคนก็ไม่รู้เลยว่าลักษณะของสติ คำว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ทั้งที่ฝึกน้อมกายก็ไปฝึกที่โน่นบ้างฝึกที่นี่บ้าง ตัวใจเป็นตัวบงการก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด เราต้องพยายาม
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ เราพยายามฝึกหายใจเข้าอย่างไรมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกอย่างไรมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด ความหมายของคำว่า ‘ความรู้ตัว’ การปฏิบัติที่ต่อเนื่อง รู้กายแล้วก็เอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ เอาไปรู้เท่าทันใจว่าความปกติของใจเป็นอย่างไร เวลาใจก่อตัวใจเริ่มปรุงแต่งอย่างไร อาการของใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาผุดขึ้นมาตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร
ลักษณะของคำว่ากองสังขาร คำว่ากองคำว่าขันธ์เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา พวกเราก็ไม่ค่อยจะได้ทำกันเท่าไร เพียงแค่ประคับประคองให้ต่อเนื่องกันก็ทั้งยาก นี่แหละเราต้องมีความเพียร มีความเพียรแล้วก็เพียรให้ต่อเนื่องแล้วรู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์เอาไปทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา ถ้าเราสอนเราไม่ได้ก็ยากที่จะให้คนอื่นเขาสอนเราให้
เราต้องเจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจของเราว่าอะไรผิดอะไรถูก เจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทันการเกิดการดับของขันธ์ห้า หาเหตุหาผล ตามดูรู้เห็นเหตุเห็นผลจนใจยอมรับความเป็นจริง จนใจปล่อยวางได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงได้นั่นแหละ ไม่ใช่ว่ารู้นิดๆ หน่อยๆ เขาจะปล่อยวางได้เลย เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความเสียสละ การละกิเลส การเอาออกการให้การคลายเรามีหรือไม่ พรหมวิหารความเมตตา อนุเคราะห์สงสารซึ่งกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเอาตั้งแต่ทำจะปฏิบัติตั้งแต่ทำ แต่การละกิเลสไม่มีความเสียสละไม่มีมันก็ยากที่จะคลายได้ การเจริญสติไม่มีมันก็ยากที่จะคลายได้
เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน ใจของเรามีกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักระงับยับยั้งรู้จักดับ ความโลภเราก็รู้จักดับ ความโกรธเราก็รู้จักดับ แล้วก็ทำในสิ่งตรงกันข้าม อย่างใจของเราเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรมไม่มองโลกในแง่ร้าย ใจของเรามีความทะเยอทะยานอยาก มีความโลภโลภอยากจะได้ของคนอื่น หรือว่ามีความโลภเราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออกโดยการคลายด้วยการบริจาคให้ทาน ทานทั้งภายนอกทานทั้งภายใน ใจของเราก็จะเริ่มคลายออกไปเรื่อยๆ คลายออกไปเรื่อยๆ
จนถึงวาระเวลามันก็จะคลายความยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งใจของเราคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน เราก็จะเห็น ตามดูตามรู้ตามเห็น การพูดง่ายแต่การสังเกตการวิเคราะห์การลงมือทำจริงๆ เราก็ต้องพยายามทำตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทำจนเกิดความเคยชินจนเป็นเองในการดูในการรู้ในการละ ชนะตัวเราเองไม่จำเป็นต้องไปเอาชนะคนโน้นเอาชนะคนนี้ ไม่จำเป็นต้องว่าตัวเราจะเสียเปรียบคนโน้นเสียเปรียบคนนี้ เราพยายามทำความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นทั้งใจทั้งกายของเรา ความรับผิดชอบของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่
เอาการงานของเราเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ ทำงานไปด้วยดูใจ ใจรับรู้ไปด้วย มีความสุขอยู่ที่ไหนก็จะเป็นบุญ ทำกายให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญ อยู่ที่ไหนก็เป็นวัดเราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมมะให้เรา จงพยายามเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์แล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้มีให้เกิดขึ้น ท่านถึงบอกให้เชื่ออีกทีหนึ่ง
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์การดับ กายวิเวกใจวิเวก กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างนี้ มันจะเห็นเป็นชัดเจนหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องชัดเจนไม่ใช่ว่าคลุมเครือ ไม่ให้ความอยากเกิดขึ้นที่ใจของเราแม้แต่นิดเดียว ไม่กระทั่งอยากในอาหารการอยู่การรับประทาน อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง
ในหลักธรรมจริงๆ ทั้งอยากทั้งไม่อยากเราก็ต้องละต้องดับหมด อยู่ด้วยสติอยู่ด้วยปัญญา ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา อยู่ด้วยเหตุด้วยผล ต้องพยายามกันนะ พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราก็จะมองเห็นหนทางเดินของเรา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านมีโอกาสก็ทำ อยู่ที่ไร่ที่นาที่ทำการทำงาน อยู่กับหมู่อยู่กับคณะ อยู่กับเพื่อนกับฝูง มีโอกาสทำให้ทำ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ