หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 020
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 020
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ถึงเราละไม่ได้ก็หยุดเอาไว้เสียก่อน นั่งตามสบายไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกไปยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เป็นการผ่อนคลาย เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกาย กายก็สบายขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่เวลาหายใจเข้านั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ไม่ใช่ไปนึกเอาไม่ใช่ไปท่องเอา เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวหรือว่าการเจริญสติ พวกเราก็ทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง จากนาที 2 นาที 3 นาที การหายใจเข้าหายใจออก ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องก็จะเป็นลูกโซ่เป็นเส้นเดียว ถ้าใจจะเกิดใจจะปรุงแต่งก็จะรู้เท่าทัน ถ้าความคิดผุดขึ้นมาเขาก็จะรู้เท่าทันในส่วนลึกๆ ไม่ใช่จะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวก็ขาดความเพียรเสียแล้ว แต่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นบ้างที่นี่บ้างเพื่อแสวงหาธรรม ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม การทำบุญการให้ทานก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติไม่ค่อยจะเต็มเปี่ยม เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ จนเอาไปควบคุมใจหมั่นพร่ำสอนใจจนใจของเราคลายออกจากความคิด คลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละถ้าเขาคลายออกแยกได้เมื่อไหร่ ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปดในการดำเนินชีวิต
ในการดำเนินชีวิต คือ ความรู้ความเห็นที่ถูกต้องตั้งแต่ข้อแรก ความรู้ตัวของเราก็จะรู้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ เข้าใจในเรื่องขันธ์ห้า เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ในการเกิดๆ ดับๆ ของขันธ์ห้า ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจก็จะคลายออก รับรู้อยู่ในความว่าง ตามดูตามรู้ตามเห็น ตามดูรู้ให้เห็นทุกขณะ ทุกกระบวนการทุกเรื่องตั้งแต่ก่อตัว ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ กำลังความรู้ตัวของเราก็จะเริ่มเป็นมหาสติมหาปัญญา ถ้าเราแยกแยะได้ตามดูได้ทุกเรื่องกำลังสติของเราก็จะพุ่งแรงเป็นมหาสติ
ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ ความคิดเก่าๆ มันก็ปิดกั้นเอาไว้เหมือนเดิม ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้บุญ เพียงแค่การเกิดตัวใจเขาก็ปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้แล้ว การปรุงแต่งการรวมกันไปเป็นสิ่งเดียวกัน เรารู้อยู่ว่าเราคิดเราทำ ก็วิ่งตามความคิดวิ่งตามอารมณ์ สนองอำนาจของกิเลส ก็เลยปิดกั้นตัวเอาไว้หมด บางทีก็เกิดความทะเยอทะยานอยากเข้าไปผสมโรง กายเนื้อของเราก็มาปิดกั้นตัววิญญาณเอาไว้อีก มลทิน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็มาปิดกั้นเอาไว้อีก แม้แต่การไปการมา การไม่อยากไปการไม่อยากมา ความอยากกับความไม่อยาก หลายสิ่งหลายอย่างปิดกั้นเอาไว้
ถ้าเราไม่มีความขยันหมั่นเพียร ไม่มีการวิเคราะห์หาเหตุหาผล ลักษณะของการเจริญสติอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ การเจริญที่ต่อเนื่อง การดับการควบคุม การสังเกตการวิเคราะห์ การตามดู การละ ทุกกระบวนการเราต้องหัดวิเคราะห์หัดพิจารณา สมมติอะไรเรายังขาดตกบกพร่อง อะไรเรายังไม่เรียบร้อยเราก็พยายามทำให้เรียบร้อย เพียงแค่ระดับของสมมติก็ยังลำบากอยู่ ยังไม่ทำความเข้าใจ
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกตาทำหน้าที่อย่างไร ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ตาก็มีหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็มีหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ แต่วิญญาณรับรู้อยู่ภายใน เกิดความยินดียินร้ายได้อย่างไร เกิดความอยากได้อย่างไร เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต หัดทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง ถ้าเราไม่รู้จักใจ เราไม่รู้ฐานใจของเรา เราจะสอนใจของเราได้อย่างไร
มีตั้งแต่ใจมันวิ่งมันเกิดมันปิดกั้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันหลอก มันเขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่าเขาเกิดมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์กี่ภพกี่ชาติ เราจะไปดับไปละไปวางแค่นาที 2 นาที มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามมีความเพียร หาเหตุหาผลแล้วก็ละกิเลส การฝึกฝนตนเองแก้ไขตัวเราเอง ฝึกหัดปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน เราก็ต้องเพื่อที่จะคลายความหลงแล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา
ความอยากเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่การเกิดเล็กๆ น้อยๆ เราก็ดับ ถ้าเราเข้าใจแล้ว จิตของเราเป็นธรรมชาติ ไม่มีกิเลส จิตของเราไม่เกิด เขาก็ว่าง เพราะว่าธรรมชาติของจิตถ้าปราศจากกิเลส ปราศจากความเกิดเขาก็ว่างเขาก็นิ่ง ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเขาเกิดไปสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยวไม่เคยรู้เลย มีตั้งแต่วิ่งไปตามอำนาจของกิเลส การเกิดนั่นแหละบางทีก็กิเลสฝ่ายกุศลบางทีกิเลสฝ่ายอกุศล การกระทำของเราอีกล่ะหลายสิ่งหลายอย่าง เราจะปล่อยปละละเลยไม่ได้เลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา บุคคลที่มีสติมีปัญญาจะหมั่นพร่ำสอนตัวเราแก้ไขตัวเรา ถ้าบุคคลที่ไม่เอาจะพูดอย่างไร พูดกันปากเปียกปากแฉะเขาก็ไม่เอาหรอก ถ้าบุคคลที่จะเอาที่จะเข้าใจนั้น เพียงแค่รู้นิดๆ หน่อยๆ การดับการละ การเจริญพรหมวิหาร การมองโลกในทางที่ดี มันมีพื้นฐานอยู่ที่ใจของเราเสียแล้ว เราก็แก้ไขเอาปรับปรุงตัวเรา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจในธรรม
ตราบใดที่เรายังเจริญสติ ตราบใดที่การวิเคราะห์การสังเกตการดำเนินของเรามีอยู่ อยู่ที่ไหนก็ต้องเข้าใจ ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนหรอก เอากายของเรานี่แหละเป็นที่ตั้ง ถ้ารู้จักการเจริญสติ ลักษณะของสติ รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักดับระงับยับยั้งเอาไว้จนรู้ฐานของใจ การละก็ต้องตามมาอีกจนใจของเราอยู่ในความเป็นกลาง ความว่างนั่นแหละคือเครื่องตัดสิน ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา ไม่ต้องไปวิ่งให้คนโน้นพร่ำสอนวิ่งให้คนนี้เขาพร่ำสอน เราต้องสอนตัวเราแก้ไขตัวเรา
แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งพันสองพันกว่าปีแล้ว พวกเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้วถึงแล้ว ตามทำความเข้าใจละกิเลสได้แล้ว หมดความสงสัยแล้ว ก็มีตั้งแต่จะขัดเกลาตัวเราให้มันถึงจุดหมายปลายทาง อยู่ที่ไหนเราก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นเรา ใครเห็นเราคนนั้นก็เห็นธรรม เห็นใจของเรารู้ใจของเรา เรารู้ใจของเรา เราละกิเลสออกจากใจของเราได้หมดหรือไม่ตรงนี้แหละสำคัญ เราต้องพยายาม กำลังสติ กำลังสมาธิ กำลังปัญญาของเรา ถ้าดำเนินได้ถึงจุดหมายปลายทาง สติสมาธิปัญญาเขาจะรักษาเรา ไม่จำเป็นต้องไปประคับประคองไปรักษาเขายาก
ช่วงใหม่ๆ ไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี ใจไม่สงบเราต้องควบคุมให้สงบ ใจยังหลงยังเกิดเราต้องละความเกิดดับความเกิดคลายความหลง ไม่ว่าจะไปฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านใด ถ้าท่านรู้จักวิธีรู้จักแนวทาง ท่านก็เพียงแค่เป็นบุคคลที่ชี้แนะให้ ถ้าพวกเราไม่ดำเนินตามไม่ทำตามมันก็ยาก ส่วนการสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี พวกเรามีโอกาสได้สร้างร่วมกัน สมมติภายนอกเราก็จะทำร่วมกัน ตั้งแต่ปู่ย่าตายายนี่ทำบุญให้ทานมาตลอดเวลา
อยู่ที่วัดหลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่การดำเนินมาทำยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ทำทุกวัน ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ให้เกิดบุญใหญ่ ระดับของสมมติมีโอกาสหลวงพ่อก็เปิดโอกาส ก็เชิญชวนทุกคนได้มาช่วยกัน ได้เกิดร่วมแรงร่วมกายร่วมใจความสมัครสมานสามัคคีช่วยกันทำ ช่วยกันทำให้เป็นจากบุญกองน้อยๆ ให้เป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า ทำปัจจุบันให้ดี เราไม่อยากจะให้อนาคตดีก็ต้องดีเพราะว่าเราทำปัจจุบันดี ก็ขอเชิญชวนนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เป็นการผ่อนคลาย เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกาย กายก็สบายขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่เวลาหายใจเข้านั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ไม่ใช่ไปนึกเอาไม่ใช่ไปท่องเอา เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวหรือว่าการเจริญสติ พวกเราก็ทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง จากนาที 2 นาที 3 นาที การหายใจเข้าหายใจออก ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องก็จะเป็นลูกโซ่เป็นเส้นเดียว ถ้าใจจะเกิดใจจะปรุงแต่งก็จะรู้เท่าทัน ถ้าความคิดผุดขึ้นมาเขาก็จะรู้เท่าทันในส่วนลึกๆ ไม่ใช่จะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวก็ขาดความเพียรเสียแล้ว แต่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นบ้างที่นี่บ้างเพื่อแสวงหาธรรม ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม การทำบุญการให้ทานก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติไม่ค่อยจะเต็มเปี่ยม เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ จนเอาไปควบคุมใจหมั่นพร่ำสอนใจจนใจของเราคลายออกจากความคิด คลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละถ้าเขาคลายออกแยกได้เมื่อไหร่ ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปดในการดำเนินชีวิต
ในการดำเนินชีวิต คือ ความรู้ความเห็นที่ถูกต้องตั้งแต่ข้อแรก ความรู้ตัวของเราก็จะรู้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ เข้าใจในเรื่องขันธ์ห้า เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ในการเกิดๆ ดับๆ ของขันธ์ห้า ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจก็จะคลายออก รับรู้อยู่ในความว่าง ตามดูตามรู้ตามเห็น ตามดูรู้ให้เห็นทุกขณะ ทุกกระบวนการทุกเรื่องตั้งแต่ก่อตัว ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ กำลังความรู้ตัวของเราก็จะเริ่มเป็นมหาสติมหาปัญญา ถ้าเราแยกแยะได้ตามดูได้ทุกเรื่องกำลังสติของเราก็จะพุ่งแรงเป็นมหาสติ
ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ ความคิดเก่าๆ มันก็ปิดกั้นเอาไว้เหมือนเดิม ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้บุญ เพียงแค่การเกิดตัวใจเขาก็ปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้แล้ว การปรุงแต่งการรวมกันไปเป็นสิ่งเดียวกัน เรารู้อยู่ว่าเราคิดเราทำ ก็วิ่งตามความคิดวิ่งตามอารมณ์ สนองอำนาจของกิเลส ก็เลยปิดกั้นตัวเอาไว้หมด บางทีก็เกิดความทะเยอทะยานอยากเข้าไปผสมโรง กายเนื้อของเราก็มาปิดกั้นตัววิญญาณเอาไว้อีก มลทิน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็มาปิดกั้นเอาไว้อีก แม้แต่การไปการมา การไม่อยากไปการไม่อยากมา ความอยากกับความไม่อยาก หลายสิ่งหลายอย่างปิดกั้นเอาไว้
ถ้าเราไม่มีความขยันหมั่นเพียร ไม่มีการวิเคราะห์หาเหตุหาผล ลักษณะของการเจริญสติอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ การเจริญที่ต่อเนื่อง การดับการควบคุม การสังเกตการวิเคราะห์ การตามดู การละ ทุกกระบวนการเราต้องหัดวิเคราะห์หัดพิจารณา สมมติอะไรเรายังขาดตกบกพร่อง อะไรเรายังไม่เรียบร้อยเราก็พยายามทำให้เรียบร้อย เพียงแค่ระดับของสมมติก็ยังลำบากอยู่ ยังไม่ทำความเข้าใจ
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกตาทำหน้าที่อย่างไร ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ตาก็มีหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็มีหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ แต่วิญญาณรับรู้อยู่ภายใน เกิดความยินดียินร้ายได้อย่างไร เกิดความอยากได้อย่างไร เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต หัดทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง ถ้าเราไม่รู้จักใจ เราไม่รู้ฐานใจของเรา เราจะสอนใจของเราได้อย่างไร
มีตั้งแต่ใจมันวิ่งมันเกิดมันปิดกั้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันหลอก มันเขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่าเขาเกิดมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์กี่ภพกี่ชาติ เราจะไปดับไปละไปวางแค่นาที 2 นาที มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามมีความเพียร หาเหตุหาผลแล้วก็ละกิเลส การฝึกฝนตนเองแก้ไขตัวเราเอง ฝึกหัดปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน เราก็ต้องเพื่อที่จะคลายความหลงแล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา
ความอยากเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่การเกิดเล็กๆ น้อยๆ เราก็ดับ ถ้าเราเข้าใจแล้ว จิตของเราเป็นธรรมชาติ ไม่มีกิเลส จิตของเราไม่เกิด เขาก็ว่าง เพราะว่าธรรมชาติของจิตถ้าปราศจากกิเลส ปราศจากความเกิดเขาก็ว่างเขาก็นิ่ง ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเขาเกิดไปสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยวไม่เคยรู้เลย มีตั้งแต่วิ่งไปตามอำนาจของกิเลส การเกิดนั่นแหละบางทีก็กิเลสฝ่ายกุศลบางทีกิเลสฝ่ายอกุศล การกระทำของเราอีกล่ะหลายสิ่งหลายอย่าง เราจะปล่อยปละละเลยไม่ได้เลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา บุคคลที่มีสติมีปัญญาจะหมั่นพร่ำสอนตัวเราแก้ไขตัวเรา ถ้าบุคคลที่ไม่เอาจะพูดอย่างไร พูดกันปากเปียกปากแฉะเขาก็ไม่เอาหรอก ถ้าบุคคลที่จะเอาที่จะเข้าใจนั้น เพียงแค่รู้นิดๆ หน่อยๆ การดับการละ การเจริญพรหมวิหาร การมองโลกในทางที่ดี มันมีพื้นฐานอยู่ที่ใจของเราเสียแล้ว เราก็แก้ไขเอาปรับปรุงตัวเรา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจในธรรม
ตราบใดที่เรายังเจริญสติ ตราบใดที่การวิเคราะห์การสังเกตการดำเนินของเรามีอยู่ อยู่ที่ไหนก็ต้องเข้าใจ ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนหรอก เอากายของเรานี่แหละเป็นที่ตั้ง ถ้ารู้จักการเจริญสติ ลักษณะของสติ รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักดับระงับยับยั้งเอาไว้จนรู้ฐานของใจ การละก็ต้องตามมาอีกจนใจของเราอยู่ในความเป็นกลาง ความว่างนั่นแหละคือเครื่องตัดสิน ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา ไม่ต้องไปวิ่งให้คนโน้นพร่ำสอนวิ่งให้คนนี้เขาพร่ำสอน เราต้องสอนตัวเราแก้ไขตัวเรา
แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งพันสองพันกว่าปีแล้ว พวกเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้วถึงแล้ว ตามทำความเข้าใจละกิเลสได้แล้ว หมดความสงสัยแล้ว ก็มีตั้งแต่จะขัดเกลาตัวเราให้มันถึงจุดหมายปลายทาง อยู่ที่ไหนเราก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นเรา ใครเห็นเราคนนั้นก็เห็นธรรม เห็นใจของเรารู้ใจของเรา เรารู้ใจของเรา เราละกิเลสออกจากใจของเราได้หมดหรือไม่ตรงนี้แหละสำคัญ เราต้องพยายาม กำลังสติ กำลังสมาธิ กำลังปัญญาของเรา ถ้าดำเนินได้ถึงจุดหมายปลายทาง สติสมาธิปัญญาเขาจะรักษาเรา ไม่จำเป็นต้องไปประคับประคองไปรักษาเขายาก
ช่วงใหม่ๆ ไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี ใจไม่สงบเราต้องควบคุมให้สงบ ใจยังหลงยังเกิดเราต้องละความเกิดดับความเกิดคลายความหลง ไม่ว่าจะไปฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านใด ถ้าท่านรู้จักวิธีรู้จักแนวทาง ท่านก็เพียงแค่เป็นบุคคลที่ชี้แนะให้ ถ้าพวกเราไม่ดำเนินตามไม่ทำตามมันก็ยาก ส่วนการสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี พวกเรามีโอกาสได้สร้างร่วมกัน สมมติภายนอกเราก็จะทำร่วมกัน ตั้งแต่ปู่ย่าตายายนี่ทำบุญให้ทานมาตลอดเวลา
อยู่ที่วัดหลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่การดำเนินมาทำยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ทำทุกวัน ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ให้เกิดบุญใหญ่ ระดับของสมมติมีโอกาสหลวงพ่อก็เปิดโอกาส ก็เชิญชวนทุกคนได้มาช่วยกัน ได้เกิดร่วมแรงร่วมกายร่วมใจความสมัครสมานสามัคคีช่วยกันทำ ช่วยกันทำให้เป็นจากบุญกองน้อยๆ ให้เป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า ทำปัจจุบันให้ดี เราไม่อยากจะให้อนาคตดีก็ต้องดีเพราะว่าเราทำปัจจุบันดี ก็ขอเชิญชวนนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา