หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 052
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 052
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้วิเคราะห์กายของเราได้วิเคราะห์ใจของเราแล้วหรือยัง ใจของเราสงบ ใจของเราปกติ หรือว่าใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักควบคุมรู้จักดับรู้จักระงับ
หัดสร้างความรู้ตัวแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง รู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของกาย รู้ลักษณะอาการของความคิด รู้ความเป็นอยู่ของเรา อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขอย่าไปปล่อยอย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจที่กายของเรา เราก็จะได้อยู่ดีมีความสุขขณะเรายังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจ วิญญาณของเราก็จะไปสู่ที่สูง
ขณะที่ยังไม่ถึงเวลา เราก็พยายามเจริญสติไปพิจารณารอบรู้ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ในร่างกายของเรามีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครองหรือว่าใจเข้ามาครอบครอง แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างอานิสงส์อะไร เราได้สร้างประโยชน์อะไร เราได้ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ภายใน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่ครั้ง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้ใจเกิด เรื่องอะไรที่มันเกิด ทำไมเราถึงขาดตกบกพร่อง
เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ รู้ลักษณะของคำว่าปัจจุบันธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก อันนี้เพียงแค่รู้กาย รู้ให้ต่อเนื่อง ใจจะเกิดใจจะก่อตัว เราก็จะเห็นอาการเขาเกิด ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม เราก็จะเห็นอาการเขาเคลื่อนเข้าไปร่วม ถ้าเรารู้เท่าทันตรงนั้นใจของเราก็จะดีดออกจากอาการของความคิด เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาก็จะหงายหรือว่าพลิก พลิกหรือว่าหงายเหมือนกับหงายของที่คว่ำ เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ
แต่ก่อนใจเราคว่ำอยู่ ถ้าใจเราคลายออกจากความคิดก็เรียกว่าหงายจากคว่ำ ก็มาอยู่ข้างบน เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ก็เลยเห็นความว่างความโล่งความโปร่ง ก่อนที่จะรู้ถึงตรงนี้กำลังสติของเราต้องมีความเพียรที่ต่อเนื่องทุกขณะทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก ในช่วงที่เพียรตรงนี้ยังไม่เพียงพอก็ยากที่จะเห็นเท่าทันตรงนั้น เราก็ต้องพยายาม
แต่ใจของเราบางคนบางท่านก็ปกติก็สงบอยู่ ก็เปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ทั้งที่ใจเป็นบุญ อย่าไปปล่อยปละละเลยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราพยายามหัดวิเคราะห์ ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา ทำไมเราถึงลำบาก ทำไมเราถึงความพร้อมทางสมมติของเราไม่มี เราก็ต้องพยายาม
ความเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ กำลังสติปัญญาของเรามีเพียงพอหรือไม่ แต่ละวันจิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง มีความอ่อนน้อม เรารู้จักหารู้จักใช้รู้จักเก็บ รู้จักพิจารณา รู้จักอดออม แม้แต่ในทางระดับของสมมติเราก็ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ถึงขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไข จากน้อยๆ ไปหามากๆ มันก็จะค่อยสร้างสะสมอานิสงส์ทางสมมติขึ้นไปเรื่อยๆ ทางด้านวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็หมั่นชำระสะสางกิเลส จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของบุคคลที่เราจะแก้ไขตัวเราเอง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรม เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัจจัยสี่ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส วิญญาณรับรู้ แต่วิญญาณเวลานี้เขาเป็นตัวเกิดเลยแหละ ทั้งเกิดด้วยหลงด้วยทั้งเป็นทาสของกิเลสด้วย เราถึงได้มาเจริญสติเข้าไปควบคุมเข้าไปดูแล เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา
มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นแหละไม่ใช่เรื่องของคนอื่น พระพุทธองค์ท่านก็สอนเรื่องของเรา ไม่ได้สอนเรื่องของคนอื่น ทำเราให้ดีแก้ไขเราให้ดีมันก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก แต่ส่วนมากมันไม่ใช่อย่างนั้น มีแต่เรื่องคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง เรื่องพันธะภาระหน้าที่ต่างๆ แต่ถ้าเราเข้าใจเราก็ยกภาระหน้าที่เป็น ภาระเป็นหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ
การพูดง่าย การที่จะปฏิบัติจริงๆ ต้องไล่เรียงให้ละเอียดจริงๆ แม้แต่การไปการมา การเกิด ไม่อยากไปไม่อยากมาก็เป็นทุกข์หมด ท่านถึงว่าพยายามหาความเป็นกลาง สร้างความเป็นกลางให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น แต่คนทุกคนเข้าข้างตัวเองหมด เราต้องพยายามหาความเป็นกลาง
ใจของเราวางว่างจากความคิด วางว่างจากอารมณ์ ละจากกิเลสเขาก็จะว่าง ความว่างนั่นแหละคือความเป็นกลาง การไม่เกิดนั่นแหละก็คือความนิ่ง การคลายสำรอกปอกกิเลสออกให้มันหมดนั่นแหละคือนิพพาน มันจะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา มองเห็นความเป็นจริง ใจเที่ยงจิตเที่ยง ใจเที่ยง นิพพานก็เที่ยง
นิพพานหมายถึงความสงบความเย็น เย็นจากความยึดมั่นถือมั่น เย็นจากกิเลสต่างๆ เขาเรียกว่า ‘นิพพาน’ นิพพานขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ ไม่ต้องไปเอาตรงตอนตาย เราต้องทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จะลุกจะก้าวจะเดิน เพียงแค่เราประคับประคองสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำใจของเราเป็นอย่างไร จะรับประทานข้าวปลาอาหาร ขบฉันใจของเราเป็นอย่างไร มีความอยากหรือว่ามีความยินดียินร้าย ถ้าใจเกิดเราก็รู้จักดับรู้จักระงับ ความคิดแทรกเข้ามาได้อย่างไร เพียงแค่สติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร สติของเราอ่อนอย่างไร
ถ้าเราฝึกจนเกิดความเคยชิน จนเอาไปใช้จนกลายเป็นปัญญามหาปัญญา ถ้าใจของเราคลายจากขันธ์ห้าได้กำลังสติจะพุ่งแรงๆ ตามดูตามรู้ตามเห็นตามค้นคว้า ถ้าแยกได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ถ้าเราตามดูทุกเรื่องให้ได้ทุกเรื่อง กำลังสติก็จะพุ่งแรงเป็นมหาสติ มหาปัญญาจะเป็นอัตโนมัติ จนฝ่ายปัญญาฝ่ายดับฝ่ายละตามดูรู้เห็น ปัญญาเอาไปใช้จนหมดความสงสัยจนอยู่เฉยๆ นั่นแหละ มีแต่ดูกับรู้ นอกนั้นก็เป็นทำด้วยสติทำด้วยปัญญา ทำด้วยเหตุด้วยผล
หลวงพ่อก็เล่าของเก่าอยู่ทุกวันหลายปี แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่จะไปแสวงหาตั้งแต่ภายนอกไม่ย้อนเข้าไปดูภายใน กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง อะไรเป็นส่วนนามอะไรเป็นส่วนรูป บุคคลที่มีสติมีปัญญามีอานิสงส์เพียงพอ จะจัดการกับข้างในให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ทั้งข้างนอกทั้งข้างในเพราะเขาอิงอาศัยกันอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็อิงอาศัยกันอยู่
หมดลมหายใจนั่นแหละเมื่อไรนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งก้อนสมมติก้อนนี้ แต่เราวางด้วยสติวางด้วยปัญญา รู้เห็นด้วยสติรู้เห็นด้วยปัญญา รู้แล้วเห็นแล้วหมดความสงสัย หมดความกังวลหมดความลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเท่านั้นแหละ เดินไม่ถึงวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องถึง ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้าปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้านั่นแหละ เพราะว่าจะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป พยายามอย่าไปทิ้งในการทำบุญในการให้ทานจะเป็นเข้าพกเข้าห่อของเรา ทานจากภายนอกส่งผลถึงภายใน ต่อไปทานกิเลส ทานความยึดมั่นถือมั่น จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ
หัดสร้างความรู้ตัวแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง รู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของกาย รู้ลักษณะอาการของความคิด รู้ความเป็นอยู่ของเรา อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขอย่าไปปล่อยอย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจที่กายของเรา เราก็จะได้อยู่ดีมีความสุขขณะเรายังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจ วิญญาณของเราก็จะไปสู่ที่สูง
ขณะที่ยังไม่ถึงเวลา เราก็พยายามเจริญสติไปพิจารณารอบรู้ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ในร่างกายของเรามีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครองหรือว่าใจเข้ามาครอบครอง แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างอานิสงส์อะไร เราได้สร้างประโยชน์อะไร เราได้ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ภายใน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่ครั้ง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้ใจเกิด เรื่องอะไรที่มันเกิด ทำไมเราถึงขาดตกบกพร่อง
เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ รู้ลักษณะของคำว่าปัจจุบันธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก อันนี้เพียงแค่รู้กาย รู้ให้ต่อเนื่อง ใจจะเกิดใจจะก่อตัว เราก็จะเห็นอาการเขาเกิด ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม เราก็จะเห็นอาการเขาเคลื่อนเข้าไปร่วม ถ้าเรารู้เท่าทันตรงนั้นใจของเราก็จะดีดออกจากอาการของความคิด เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาก็จะหงายหรือว่าพลิก พลิกหรือว่าหงายเหมือนกับหงายของที่คว่ำ เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ
แต่ก่อนใจเราคว่ำอยู่ ถ้าใจเราคลายออกจากความคิดก็เรียกว่าหงายจากคว่ำ ก็มาอยู่ข้างบน เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ก็เลยเห็นความว่างความโล่งความโปร่ง ก่อนที่จะรู้ถึงตรงนี้กำลังสติของเราต้องมีความเพียรที่ต่อเนื่องทุกขณะทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก ในช่วงที่เพียรตรงนี้ยังไม่เพียงพอก็ยากที่จะเห็นเท่าทันตรงนั้น เราก็ต้องพยายาม
แต่ใจของเราบางคนบางท่านก็ปกติก็สงบอยู่ ก็เปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ทั้งที่ใจเป็นบุญ อย่าไปปล่อยปละละเลยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราพยายามหัดวิเคราะห์ ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา ทำไมเราถึงลำบาก ทำไมเราถึงความพร้อมทางสมมติของเราไม่มี เราก็ต้องพยายาม
ความเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ กำลังสติปัญญาของเรามีเพียงพอหรือไม่ แต่ละวันจิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง มีความอ่อนน้อม เรารู้จักหารู้จักใช้รู้จักเก็บ รู้จักพิจารณา รู้จักอดออม แม้แต่ในทางระดับของสมมติเราก็ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ถึงขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไข จากน้อยๆ ไปหามากๆ มันก็จะค่อยสร้างสะสมอานิสงส์ทางสมมติขึ้นไปเรื่อยๆ ทางด้านวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็หมั่นชำระสะสางกิเลส จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของบุคคลที่เราจะแก้ไขตัวเราเอง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรม เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัจจัยสี่ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส วิญญาณรับรู้ แต่วิญญาณเวลานี้เขาเป็นตัวเกิดเลยแหละ ทั้งเกิดด้วยหลงด้วยทั้งเป็นทาสของกิเลสด้วย เราถึงได้มาเจริญสติเข้าไปควบคุมเข้าไปดูแล เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา
มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นแหละไม่ใช่เรื่องของคนอื่น พระพุทธองค์ท่านก็สอนเรื่องของเรา ไม่ได้สอนเรื่องของคนอื่น ทำเราให้ดีแก้ไขเราให้ดีมันก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก แต่ส่วนมากมันไม่ใช่อย่างนั้น มีแต่เรื่องคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง เรื่องพันธะภาระหน้าที่ต่างๆ แต่ถ้าเราเข้าใจเราก็ยกภาระหน้าที่เป็น ภาระเป็นหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ
การพูดง่าย การที่จะปฏิบัติจริงๆ ต้องไล่เรียงให้ละเอียดจริงๆ แม้แต่การไปการมา การเกิด ไม่อยากไปไม่อยากมาก็เป็นทุกข์หมด ท่านถึงว่าพยายามหาความเป็นกลาง สร้างความเป็นกลางให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น แต่คนทุกคนเข้าข้างตัวเองหมด เราต้องพยายามหาความเป็นกลาง
ใจของเราวางว่างจากความคิด วางว่างจากอารมณ์ ละจากกิเลสเขาก็จะว่าง ความว่างนั่นแหละคือความเป็นกลาง การไม่เกิดนั่นแหละก็คือความนิ่ง การคลายสำรอกปอกกิเลสออกให้มันหมดนั่นแหละคือนิพพาน มันจะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา มองเห็นความเป็นจริง ใจเที่ยงจิตเที่ยง ใจเที่ยง นิพพานก็เที่ยง
นิพพานหมายถึงความสงบความเย็น เย็นจากความยึดมั่นถือมั่น เย็นจากกิเลสต่างๆ เขาเรียกว่า ‘นิพพาน’ นิพพานขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ ไม่ต้องไปเอาตรงตอนตาย เราต้องทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จะลุกจะก้าวจะเดิน เพียงแค่เราประคับประคองสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำใจของเราเป็นอย่างไร จะรับประทานข้าวปลาอาหาร ขบฉันใจของเราเป็นอย่างไร มีความอยากหรือว่ามีความยินดียินร้าย ถ้าใจเกิดเราก็รู้จักดับรู้จักระงับ ความคิดแทรกเข้ามาได้อย่างไร เพียงแค่สติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร สติของเราอ่อนอย่างไร
ถ้าเราฝึกจนเกิดความเคยชิน จนเอาไปใช้จนกลายเป็นปัญญามหาปัญญา ถ้าใจของเราคลายจากขันธ์ห้าได้กำลังสติจะพุ่งแรงๆ ตามดูตามรู้ตามเห็นตามค้นคว้า ถ้าแยกได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ถ้าเราตามดูทุกเรื่องให้ได้ทุกเรื่อง กำลังสติก็จะพุ่งแรงเป็นมหาสติ มหาปัญญาจะเป็นอัตโนมัติ จนฝ่ายปัญญาฝ่ายดับฝ่ายละตามดูรู้เห็น ปัญญาเอาไปใช้จนหมดความสงสัยจนอยู่เฉยๆ นั่นแหละ มีแต่ดูกับรู้ นอกนั้นก็เป็นทำด้วยสติทำด้วยปัญญา ทำด้วยเหตุด้วยผล
หลวงพ่อก็เล่าของเก่าอยู่ทุกวันหลายปี แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่จะไปแสวงหาตั้งแต่ภายนอกไม่ย้อนเข้าไปดูภายใน กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง อะไรเป็นส่วนนามอะไรเป็นส่วนรูป บุคคลที่มีสติมีปัญญามีอานิสงส์เพียงพอ จะจัดการกับข้างในให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ทั้งข้างนอกทั้งข้างในเพราะเขาอิงอาศัยกันอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็อิงอาศัยกันอยู่
หมดลมหายใจนั่นแหละเมื่อไรนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งก้อนสมมติก้อนนี้ แต่เราวางด้วยสติวางด้วยปัญญา รู้เห็นด้วยสติรู้เห็นด้วยปัญญา รู้แล้วเห็นแล้วหมดความสงสัย หมดความกังวลหมดความลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเท่านั้นแหละ เดินไม่ถึงวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องถึง ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้าปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้านั่นแหละ เพราะว่าจะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป พยายามอย่าไปทิ้งในการทำบุญในการให้ทานจะเป็นเข้าพกเข้าห่อของเรา ทานจากภายนอกส่งผลถึงภายใน ต่อไปทานกิเลส ทานความยึดมั่นถือมั่น จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ