หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 053
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 053
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ มาสร้างความรู้สึกตัวมาทำความเข้าใจกับคำว่า ‘สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ วางความคิดดับความคิดหยุดความคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิตต่างๆ เอาไว้ให้หมด แล้วก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้เด่นชัด
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว อย่าไปกำหนด อย่าไปจดจ่อ อย่าไปเพ่ง ให้สูดลมหายใจเข้ายาวๆ แบบธรรมชาติ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจเวลาเราหายใจเข้ายาวๆ จะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้อยู่ขณะลมหายใจเข้า ความรู้สึกรับรู้ขณะลมหายใจออก ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
อย่าไปเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ขณะที่นั่งเราก็พยายามมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เขาเรียกว่ารับรู้อยู่ปกติอยู่ปัจจุบันธรรม หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ทุกขณะลมหายใจหายใจเข้าออก แล้วก็พยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ๆ
เพียงแค่เราทำจุดนี้ให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชำนาญ ต่อไปเราก็จะรู้ความปกติของจิต รู้การเกิดการดับของจิต รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า แล้วก็รู้ต้นเหตุของการเกิดการก่อตัวของความคิด แล้วก็รู้ขณะที่จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม รู้เท่าทันขณะการเกิด จิตของเราจะแยกออกจากความคิดเอง เขาถึงเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะรู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รู้ด้วยเห็นด้วยตามทำความเข้าใจได้ด้วย
เวลาเขาจบลงไปอนัตตาความว่างเปล่าก็มาปรากฎ เรื่องอะไรเข้ามาเราก็ดู ส่วนมากเราจะขาดการแยกตรงนี้ ก็เลยมีตั้งแต่ไปนึกไปคิดเอา พิจารณาในธรรม แต่ก็ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่ ยังไม่ใช่วิปัสสนา เราแยกตรงนี้ได้ เราตามความเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา การก่อตัวของจิตเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จิตจะเกิดกิเลสอยู่ตรงไหนเราก็รู้จักดับ ความทะเยอทะยานอยาก ความยินดียินร้าย หรือว่าจิตของเราจะเข้าไปรวมกับขันธ์ห้าเราก็จะเห็นชัดเจน
ทุกคนไม่ค่อยจะสนใจกันตรงนี้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่การทำบุญ การให้ทาน แล้วก็ให้อภัยทานอยู่ในระดับหนึ่ง ก็เลยเดินปัญญาตัวขั้นสูงไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ความเป็นจริง บางทีก็ไม่มีกิเลสจิตก็สงบอยู่ ก็เปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา
ถ้าเรารู้แล้วเราก็รู้จักชำระสะสางกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่จิต กายของเราทำหน้าที่อะไร ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ทำไมท่านถึงเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ขันธ์ทั้งห้ามีอะไรบ้างที่เราสวดเราท่องกัน ทำไมขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ถ้าเราแยกเราคลายได้เหมือนกับเรารู้ความเป็นจริง รู้เท่าทันกลโกงของกิเลส รู้เท่าทันวิบากกรรมที่มาปรุงแต่งจิต แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่เราก็สร้างด้วยสติด้วยปัญญา ก็เป็นแค่เพียงกริยาของสติปัญญาของกาย แล้วเราก็ไม่ยึด ถึงเรียกว่า ‘อยู่เหนือกรรม’ อยู่เหนือบุญเหนือบาป
การชำระสะสางกิเลสของเรามีได้ระดับไหน สภาวะจิตของเราก็จะเปลี่ยนสภาพสูงไปเรื่อยๆ เป็นอริยะคือห่างไกลจากกิเลส จนกว่าจะหมดจด จุดหมายปลายทางคือความว่างความบริสุทธิ์ นั่นแหละคือนิพพาน จิตไม่เกิด จิตเที่ยงนิพพานก็เที่ยง
เราต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่เสีย ไม่ใช่ว่าไปทำเอาแล้วจะไปเอาในภพหน้าวันข้างหน้า เราต้องเอารู้ตัวอยู่ปัจจุบันรู้ตัวอยู่ขณะนี้ จะพูดจะคิดจะทำอะไร จิตเรารับรู้อยู่ปัจจุบัน เขาเรียกว่า ‘ปัญญารับรู้อยู่ปัจจุบัน’ จะคิดเรื่องอดีตคิดเรื่องอนาคตทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราสวดเราท่องว่า เรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้วก็อย่าเอามากังวล อนาคตยังไม่มาถึงก็อย่าไปคำนึง
อันนี้สำหรับยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ที่จิตยังเกิดยังส่งไปอยู่ ยังเป็นปัญญาโลกๆ อยู่ เราต้องดับ ต้องอดต้องข่ม ต้องฝืนจนกว่าจะแยกจิตออกจากความคิดออกจากอารมณ์ได้ ให้เป็นผู้รับรู้อยู่ในกายของเรา ทีนี้สติปัญญาของเราจะคิดเรื่องอดีตคิดเรื่องอนาคต คิดทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นปัญญาธรรม จิตรับรู้อยู่ปัจจุบัน แล้วก็ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์
คนเรามองข้ามในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ เพียงแค่ความอยาก ความอยากเกิดจากจิต หรือเป็นความต้องการของสติปัญญา ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปท้อถอยไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกคนก็มีสติปัญญากันทุกคน จะมีอยู่ในระดับไหนก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละคน
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีเวลาเสมอกันหมด มีโอกาสเสมอกันหมด แต่การปฏิบัติการกระทำ การทำความเข้าใจจะมีเหมือนกันหรือไม่เท่านั้นเอง ความขยันหมั่นเพียรใครจะมีมากกว่ากันเท่านั้นเอง ทั้งภายนอกทั้งภายใน ทั้งภาระหน้าที่สมมุติ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
การปฏิบัติจิตจะง่ายสำหรับบุคคลที่สนใจฝักใฝ่ จะยากสำหรับบุคคลที่เกียจคร้านไม่สนใจไม่ฝักใฝ่ ถ้าเราเข้าใจแล้วอะไรก็จะง่าย ถ้าจิตของเราไหลไปในกระแสธรรม ตกกระแสธรรม แยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจได้แล้ว จิตของเราก็จะอยู่ในองค์ธรรม มองโลกนี้เป็นของว่าง จิตว่างเราก็มองโลกนี้เป็นของว่าง จิตเป็นธรรมเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ทำดีทำชั่วก็มองเห็นเป็นธรรมหมด ถ้าเราเข้าใจ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง พยายามทำบุญให้กับตัวของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน พวกเรามีโอกาสมาอยู่ร่วมกัน มาน้อมกายของเราเข้ามาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ร่วมกัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นเครือญาติเดียวกัน ถ้าพูดในตามสภาวะธรรมแล้วทุกคนเป็นพี่เป็นน้องกันหมด เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
ทุกคนเกิดมาในโลกมนุษย์ก็เพื่อที่จะมาแสวงหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้นให้ถึงจุดหมายปลายทาง จะถึงช้าหรือถึงเร็วเท่านั้นเอง หรือว่ายังอาจจะไปหลงเพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆอยู่ ก็แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล หนทางก็มีอยู่พระพุทธองค์ท่านก็ได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย ธรรมก็มีอยู่ประจำโลก มีอยู่ตั้งแต่พระพุทธองค์ยังไม่ได้เกิด แล้วก็เอามาเปิดเผย
ปฏิบัติอย่างนี้นะ เดินอย่างนี้นะ สร้างบารมีอย่างนี้นะ การชำระสะสางกิเลสเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ทั้งสติปัฏฐานสี่เป็นอย่างนี้ ส่วนมากจะไม่เข้าใจเรื่องสติปัฏฐานสี่ ส่วนมากก็มีแต่ไปนึกไปคิดเอา ไม่ครบ เราต้องเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลายความหลงให้จิตของเรารับรู้ แล้วก็ตามความเข้าใจเสียก่อน จะพิจารณาอะไรก็เป็นสติปัฏฐานสี่หมด ถ้าจิตเราวางความยึดมั่นถือมั่นคลายความหลงแล้ว จิตไม่เกิดแล้ว
ก็ต้องพยายามกัน วันนี้เราไม่เข้าใจเราก็ต้องเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราต้องเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ อย่าทำความเพียรด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากกิเลส ต้องเป็นความเพียรที่เกิดจากสติเกิดจากปัญญา
นิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิต ทุกคนต้องทำความเข้าใจ จิตของเรามีความกำหนัดในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ขณะตื่นตัวอยู่ปัจจุบันจิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ สติของความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยามสร้างขึ้นมา
เพียงแค่สร้างความรู้ตัว พวกเรายังไม่ได้สร้างกัน จะเอาไปเอาตั้งแต่ผล สร้างกันอาจจะสร้างกันได้นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ทิ้งเสีย สร้างกันได้นิด ๆ หน่อยๆ ก็ทิ้งเสีย ก็เลยรู้ไม่เท่าทันจิต บางทีจิตก็อยู่ในกองบุญ ทำอะไรก็อิ่ม อิ่มปิติเบิกบานอย่างนั้น แต่เราไม่รู้จักรักษาความอิ่มเอาไว้ให้ได้ทุกอิริยาบท ให้ได้ทุกเวลา
จะทำอะไรเราก็ให้จิตรับรู้ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะรับประทานข้าวปลาอาหาร ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จิตของเราต้องให้อิ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปหลบหลีกสมมติหรอก เราอยู่กับสมมติ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ ให้เราทำความเข้าใจให้เรียบร้อยทุกสิ่งทุกอย่าง จะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
หลวงพ่อก็ขอให้ทุกคนจงขยันหมั่นเพียร พากันวิเคราะห์พากันพิจารณา แล้วก็พากันสร้างอานิสงส์ ทุกคนที่มาวัดก็ให้เปรียบเสมือนกับมาบ้านของตัวเรา มีอะไรก็ให้ช่วยกันไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสมบัติของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน ให้ช่วยกัน ห้องส้วมห้องน้ำก็ช่วยกันดูแลทำความสะอาด ตรงไหนไม่สะอาดเราก็เข้าไปทำเสีย น้ำไม่เต็มเราก็เปิดใส่ให้เต็ม ตรงไหนไม่ไม่เป็นระเบียบ เศษขยะเศษอะไรต่างๆ เรามองเห็นแล้วก็เก็บลงถังขยะเสีย อย่าไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน
กว่าจะได้มาเป็นสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ก็ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรของคนรุ่นก่อนๆ สืบทอดต่อกันมา เรามาอยู่เราก็มาสร้างมาสานต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้มาอยู่ทีหลัง ก็จะได้มาสร้างมาสานต่อให้เป็นแหล่งบุญของทุกคน ถ้าถึงวาระเวลาแล้วพวกเราก็ต้องได้วางหมดแม้แต่กายของพวกเราก็ต้องได้วาง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเดินเข้าไปสู่ความเป็นจริงคือกฎของไตรลักษณ์ กฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้แต่กายของเราก็ต้องแตกต้องดับ ทุกคนก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตายก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ
ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่มีลมหายใจอยู่ ให้เราพยายามรีบสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นมากๆ กุศลรวม กุศลกับหมู่กับคณะ กุศลก็คือการสร้างคุณงามความดี ถ้าเป็นอกุศลเราก็ละ ถ้าเป็นกุศลเราก็เจริญ ทั้งทรัพย์ภายในทรัพย์ภายนอกก็จะพอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ตราบใดที่จิตของเรายังไม่หลุดพ้น ก็อานิสงส์บุญผลที่พวกเราได้ทำนี่แหละจะไปส่งผลเอาวันข้างหน้า ไปต่อเอาภพหน้าถ้าไม่จบจริงๆ ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงมีตั้งแต่ความสุขความเจริญกัน ไหว้พระพร้อมๆ กัน อันนี้เป็นเพียงแค่เล่าให้ฟัง จงพากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว อย่าไปกำหนด อย่าไปจดจ่อ อย่าไปเพ่ง ให้สูดลมหายใจเข้ายาวๆ แบบธรรมชาติ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจเวลาเราหายใจเข้ายาวๆ จะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้อยู่ขณะลมหายใจเข้า ความรู้สึกรับรู้ขณะลมหายใจออก ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
อย่าไปเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ขณะที่นั่งเราก็พยายามมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เขาเรียกว่ารับรู้อยู่ปกติอยู่ปัจจุบันธรรม หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ทุกขณะลมหายใจหายใจเข้าออก แล้วก็พยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ๆ
เพียงแค่เราทำจุดนี้ให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชำนาญ ต่อไปเราก็จะรู้ความปกติของจิต รู้การเกิดการดับของจิต รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า แล้วก็รู้ต้นเหตุของการเกิดการก่อตัวของความคิด แล้วก็รู้ขณะที่จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม รู้เท่าทันขณะการเกิด จิตของเราจะแยกออกจากความคิดเอง เขาถึงเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะรู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รู้ด้วยเห็นด้วยตามทำความเข้าใจได้ด้วย
เวลาเขาจบลงไปอนัตตาความว่างเปล่าก็มาปรากฎ เรื่องอะไรเข้ามาเราก็ดู ส่วนมากเราจะขาดการแยกตรงนี้ ก็เลยมีตั้งแต่ไปนึกไปคิดเอา พิจารณาในธรรม แต่ก็ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่ ยังไม่ใช่วิปัสสนา เราแยกตรงนี้ได้ เราตามความเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา การก่อตัวของจิตเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จิตจะเกิดกิเลสอยู่ตรงไหนเราก็รู้จักดับ ความทะเยอทะยานอยาก ความยินดียินร้าย หรือว่าจิตของเราจะเข้าไปรวมกับขันธ์ห้าเราก็จะเห็นชัดเจน
ทุกคนไม่ค่อยจะสนใจกันตรงนี้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่การทำบุญ การให้ทาน แล้วก็ให้อภัยทานอยู่ในระดับหนึ่ง ก็เลยเดินปัญญาตัวขั้นสูงไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ความเป็นจริง บางทีก็ไม่มีกิเลสจิตก็สงบอยู่ ก็เปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา
ถ้าเรารู้แล้วเราก็รู้จักชำระสะสางกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่จิต กายของเราทำหน้าที่อะไร ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ทำไมท่านถึงเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ขันธ์ทั้งห้ามีอะไรบ้างที่เราสวดเราท่องกัน ทำไมขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ถ้าเราแยกเราคลายได้เหมือนกับเรารู้ความเป็นจริง รู้เท่าทันกลโกงของกิเลส รู้เท่าทันวิบากกรรมที่มาปรุงแต่งจิต แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่เราก็สร้างด้วยสติด้วยปัญญา ก็เป็นแค่เพียงกริยาของสติปัญญาของกาย แล้วเราก็ไม่ยึด ถึงเรียกว่า ‘อยู่เหนือกรรม’ อยู่เหนือบุญเหนือบาป
การชำระสะสางกิเลสของเรามีได้ระดับไหน สภาวะจิตของเราก็จะเปลี่ยนสภาพสูงไปเรื่อยๆ เป็นอริยะคือห่างไกลจากกิเลส จนกว่าจะหมดจด จุดหมายปลายทางคือความว่างความบริสุทธิ์ นั่นแหละคือนิพพาน จิตไม่เกิด จิตเที่ยงนิพพานก็เที่ยง
เราต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่เสีย ไม่ใช่ว่าไปทำเอาแล้วจะไปเอาในภพหน้าวันข้างหน้า เราต้องเอารู้ตัวอยู่ปัจจุบันรู้ตัวอยู่ขณะนี้ จะพูดจะคิดจะทำอะไร จิตเรารับรู้อยู่ปัจจุบัน เขาเรียกว่า ‘ปัญญารับรู้อยู่ปัจจุบัน’ จะคิดเรื่องอดีตคิดเรื่องอนาคตทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราสวดเราท่องว่า เรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้วก็อย่าเอามากังวล อนาคตยังไม่มาถึงก็อย่าไปคำนึง
อันนี้สำหรับยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ที่จิตยังเกิดยังส่งไปอยู่ ยังเป็นปัญญาโลกๆ อยู่ เราต้องดับ ต้องอดต้องข่ม ต้องฝืนจนกว่าจะแยกจิตออกจากความคิดออกจากอารมณ์ได้ ให้เป็นผู้รับรู้อยู่ในกายของเรา ทีนี้สติปัญญาของเราจะคิดเรื่องอดีตคิดเรื่องอนาคต คิดทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นปัญญาธรรม จิตรับรู้อยู่ปัจจุบัน แล้วก็ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์
คนเรามองข้ามในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ เพียงแค่ความอยาก ความอยากเกิดจากจิต หรือเป็นความต้องการของสติปัญญา ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปท้อถอยไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกคนก็มีสติปัญญากันทุกคน จะมีอยู่ในระดับไหนก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละคน
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีเวลาเสมอกันหมด มีโอกาสเสมอกันหมด แต่การปฏิบัติการกระทำ การทำความเข้าใจจะมีเหมือนกันหรือไม่เท่านั้นเอง ความขยันหมั่นเพียรใครจะมีมากกว่ากันเท่านั้นเอง ทั้งภายนอกทั้งภายใน ทั้งภาระหน้าที่สมมุติ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
การปฏิบัติจิตจะง่ายสำหรับบุคคลที่สนใจฝักใฝ่ จะยากสำหรับบุคคลที่เกียจคร้านไม่สนใจไม่ฝักใฝ่ ถ้าเราเข้าใจแล้วอะไรก็จะง่าย ถ้าจิตของเราไหลไปในกระแสธรรม ตกกระแสธรรม แยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจได้แล้ว จิตของเราก็จะอยู่ในองค์ธรรม มองโลกนี้เป็นของว่าง จิตว่างเราก็มองโลกนี้เป็นของว่าง จิตเป็นธรรมเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ทำดีทำชั่วก็มองเห็นเป็นธรรมหมด ถ้าเราเข้าใจ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง พยายามทำบุญให้กับตัวของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน พวกเรามีโอกาสมาอยู่ร่วมกัน มาน้อมกายของเราเข้ามาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ร่วมกัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นเครือญาติเดียวกัน ถ้าพูดในตามสภาวะธรรมแล้วทุกคนเป็นพี่เป็นน้องกันหมด เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
ทุกคนเกิดมาในโลกมนุษย์ก็เพื่อที่จะมาแสวงหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้นให้ถึงจุดหมายปลายทาง จะถึงช้าหรือถึงเร็วเท่านั้นเอง หรือว่ายังอาจจะไปหลงเพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆอยู่ ก็แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล หนทางก็มีอยู่พระพุทธองค์ท่านก็ได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย ธรรมก็มีอยู่ประจำโลก มีอยู่ตั้งแต่พระพุทธองค์ยังไม่ได้เกิด แล้วก็เอามาเปิดเผย
ปฏิบัติอย่างนี้นะ เดินอย่างนี้นะ สร้างบารมีอย่างนี้นะ การชำระสะสางกิเลสเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ทั้งสติปัฏฐานสี่เป็นอย่างนี้ ส่วนมากจะไม่เข้าใจเรื่องสติปัฏฐานสี่ ส่วนมากก็มีแต่ไปนึกไปคิดเอา ไม่ครบ เราต้องเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลายความหลงให้จิตของเรารับรู้ แล้วก็ตามความเข้าใจเสียก่อน จะพิจารณาอะไรก็เป็นสติปัฏฐานสี่หมด ถ้าจิตเราวางความยึดมั่นถือมั่นคลายความหลงแล้ว จิตไม่เกิดแล้ว
ก็ต้องพยายามกัน วันนี้เราไม่เข้าใจเราก็ต้องเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราต้องเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ อย่าทำความเพียรด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากกิเลส ต้องเป็นความเพียรที่เกิดจากสติเกิดจากปัญญา
นิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิต ทุกคนต้องทำความเข้าใจ จิตของเรามีความกำหนัดในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ขณะตื่นตัวอยู่ปัจจุบันจิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ สติของความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยามสร้างขึ้นมา
เพียงแค่สร้างความรู้ตัว พวกเรายังไม่ได้สร้างกัน จะเอาไปเอาตั้งแต่ผล สร้างกันอาจจะสร้างกันได้นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ทิ้งเสีย สร้างกันได้นิด ๆ หน่อยๆ ก็ทิ้งเสีย ก็เลยรู้ไม่เท่าทันจิต บางทีจิตก็อยู่ในกองบุญ ทำอะไรก็อิ่ม อิ่มปิติเบิกบานอย่างนั้น แต่เราไม่รู้จักรักษาความอิ่มเอาไว้ให้ได้ทุกอิริยาบท ให้ได้ทุกเวลา
จะทำอะไรเราก็ให้จิตรับรู้ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะรับประทานข้าวปลาอาหาร ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จิตของเราต้องให้อิ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปหลบหลีกสมมติหรอก เราอยู่กับสมมติ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ ให้เราทำความเข้าใจให้เรียบร้อยทุกสิ่งทุกอย่าง จะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
หลวงพ่อก็ขอให้ทุกคนจงขยันหมั่นเพียร พากันวิเคราะห์พากันพิจารณา แล้วก็พากันสร้างอานิสงส์ ทุกคนที่มาวัดก็ให้เปรียบเสมือนกับมาบ้านของตัวเรา มีอะไรก็ให้ช่วยกันไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสมบัติของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน ให้ช่วยกัน ห้องส้วมห้องน้ำก็ช่วยกันดูแลทำความสะอาด ตรงไหนไม่สะอาดเราก็เข้าไปทำเสีย น้ำไม่เต็มเราก็เปิดใส่ให้เต็ม ตรงไหนไม่ไม่เป็นระเบียบ เศษขยะเศษอะไรต่างๆ เรามองเห็นแล้วก็เก็บลงถังขยะเสีย อย่าไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน
กว่าจะได้มาเป็นสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ก็ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรของคนรุ่นก่อนๆ สืบทอดต่อกันมา เรามาอยู่เราก็มาสร้างมาสานต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้มาอยู่ทีหลัง ก็จะได้มาสร้างมาสานต่อให้เป็นแหล่งบุญของทุกคน ถ้าถึงวาระเวลาแล้วพวกเราก็ต้องได้วางหมดแม้แต่กายของพวกเราก็ต้องได้วาง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเดินเข้าไปสู่ความเป็นจริงคือกฎของไตรลักษณ์ กฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้แต่กายของเราก็ต้องแตกต้องดับ ทุกคนก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตายก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ
ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่มีลมหายใจอยู่ ให้เราพยายามรีบสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นมากๆ กุศลรวม กุศลกับหมู่กับคณะ กุศลก็คือการสร้างคุณงามความดี ถ้าเป็นอกุศลเราก็ละ ถ้าเป็นกุศลเราก็เจริญ ทั้งทรัพย์ภายในทรัพย์ภายนอกก็จะพอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ตราบใดที่จิตของเรายังไม่หลุดพ้น ก็อานิสงส์บุญผลที่พวกเราได้ทำนี่แหละจะไปส่งผลเอาวันข้างหน้า ไปต่อเอาภพหน้าถ้าไม่จบจริงๆ ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงมีตั้งแต่ความสุขความเจริญกัน ไหว้พระพร้อมๆ กัน อันนี้เป็นเพียงแค่เล่าให้ฟัง จงพากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ