หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 036
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 036
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกันซักพักซักระยะหนึ่งเสียก่อน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราน้อมเราได้เจริญสติ เราได้สร้างความรู้ตัวรู้กายรู้จิตของเราให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เอาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้างความรู้กายรู้จิตของเรา รู้ความปกติ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะทำโน่นทำนี่ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเปลี่ยนอิริยาบถ เราก็มีสติรู้ความปกติไว้เป็นหลัก จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำรู้จิตของเรา ต่อไปข้างหน้าก็ให้จิตรับรู้ว่าเรากำลังทำ
พยายามประคับประคองสติ ถึงจะช้าก็อดทนอดกลั้นเอา หมั่นสร้างให้มีให้เกิดขึ้นให้ได้ทุกอิริยาบถ รู้จักสังเกตอาการของจิตลักษณะของจิต อาการของขันธ์ห้า ลักษณะของขันธ์ห้า ว่าเขาเกิดอาการอย่างไร เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร จนเป็นความคิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว จนจิตของเราเข้าไปรวมไปหลงจนเป็นตัวเดียวกัน ตรงนี้แหละถ้าใครสังเกตรู้ทันตรงนี้ก็จะคลาย โมหะก็จะคลาย ความหลงก็จะคลาย สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้
ถ้าเรายังแยกไม่ได้ก็เพียงแค่อยู่ในกองบุญ ใจของเราอยู่ในกองกุศล หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลอยู่ตลอดเวลา อยากจะดับทุกข์ได้ ต้องการที่จะดับทุกข์ได้จริงๆ เราก็ต้องพยายามคลายความหลง ตามทำความเข้าใจ รู้แจ้งเห็นจริงเห็นสภาวธรรม รอบรู้ในขันธ์ห้าว่ามีอะไรบ้าง กายของเรานี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนรูปธรรม นามธรรมอีก 4 อย่างนี่แหละเราต้องไปคลาย เรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา จิตของเราเข้าไปเสวยเข้าไปรวม เขาเรียกว่า ‘เข้าไปเสวย’ เรื่องทุกข์ก็เป็นทุกขเวทนา เรื่องสุขก็เป็นสุขเวทนา บางทีก็เป็นกลางๆ
ตัววิญญาณ หรือว่าตัวจิตนั่นแหละ มันเข้าไปรวมกับเขา ไอ้ตัวสุดท้ายนี่แหละตัวสำคัญมันหลง ตัววิญญาณกระโดดเข้าไปรวมกับเขา ถ้าเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วน เขาเรียกว่า ‘เป็นกอง’ กองของใครของของมัน
ถ้าเราแยกตรงนี้ได้ เราก็จะตามดูตามรู้เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา ถ้าเราแยกได้อนัตตาความว่างเปล่า ความเบาความสบายก็จะเกิดขึ้น เราก็ตามดูเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์’ แล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ละขันธ์ห้าเสีย ขันธ์ห้านี่เขาเรียกว่า ‘ขันธมาร’ มาปรุงแต่งจิตของเรา ทำให้จิตของเราหลง มาหมุนจิตของเราเป็นวงกลม หมุนไปอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งจิตปรุงแต่งทั้งขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต เขาเรียกว่า ‘วัฏฏะวน’ (? 3:14)
ถ้าเราแยกได้เหมือนกับเราตัดวงกลม ตัดวงกลมออกมันก็หมุนต่อไปไม่ได้ ถึงจะร่วมกันไปได้เราก็ทำความเข้าใจแยกแยะ ถ้าเราแยกได้เราจะเห็นอะไรชัดเจน เพียงแค่แยกได้เพียงแค่เริ่มต้นในการสำรวจในการทำความเข้าใจ ถ้าเราสำรวจทำความเข้าใจ กำลังสติของเราเป็นมหาสติ เราก็หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ให้จิตของเรารู้ตามความเป็นจริง เขาก็จะละเขาก็จะวางเขาก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นหลงความคิดหลงอารมณ์มันไม่มีสาระประโยชน์อะไร เขาก็จะไม่หลง
แล้วเราก็มาชำระสะสางกิเลสที่จิต ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากคิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ ลองอดคิดดับคิดดับความคิด เราหนุนกำลังสติไปคิดไปพิจารณาแทนเป็นปัญญา เอาไปใช้มันจะเห็นเป็นคนละส่วนชัดเจนมากทีเดียว ถ้าคนใดมีความเพียรไม่ว่าจะยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ถ้ามีความเพียรแล้วจะเห็นชัดเจนมากทีเดียว ถ้าไม่มีความเพียรก็รู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิด แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ ทั้งที่จิตของเราเข้าไปรวมกับความคิด
จิตนี่ก็แปลก บางทีก็หลอกตัวเอง หลอกตัวเองก็ยังไม่พอไปหลอกคนอื่นด้วย สติปัญญาบางทีก็หลอกตัวเองก็มี หลอกตัวเองหลอกคนอื่น เราต้องหาเครื่องตัดสินความเป็นกลางภายในใจของเราให้เจอ ไม่ได้หาหรอก ต้องสร้างขึ้นมาสร้างขึ้นมาเลย ความระลึกรู้ตัวไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา
จิตของเรายังเกิดยังหลงอยู่เราก็ต้องควบคุม เหมือนกับนักโทษ ใหม่ๆก็ควบคุม ถ้ามันยังดื้อดึงก็ต้องขนาบแล้วขนาบอีกๆ มันยังเกิดความโลภความโกรธความอยาก เราก็พยายามละความโลภละความโกรธความอยาก คลายความตระหนี่เหนียวแน่น ละความอิจฉาริษยา ละมลทินต่างๆออกจากจิตจากใจของเรา เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ให้อภัยทานอโหสิกรรม มีความเชื่อมั่นในตัวเราเองตลอดเวลา แล้วก็มีความจริงใจต่อตัวเราเอง มีสัจจะ สัจจะนี้สำคัญ พูดจริงทำจริงแล้วก็ทำให้ได้จริงๆ เข้าถึงจริงๆ แล้วก็ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
บุคคลที่มีสติมีปัญญามีอานิสงส์เพียงพอ รู้แนวทางแล้วก็จะเร่งทำความเพียร ไม่ใช่เร่งด้วยความอยาก เห็นเขาพานั่งก็นั่ง ว่ายังงั้น เห็นเขาพาเดินก็เดินไปอย่างนั้น แต่ไม่รู้ความหมายว่านั่งเพื่ออะไร เดินเพื่ออะไร ความระลึกรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างไร ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ภาษาธรรมภาษาโลกมันเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร สักแต่ว่ากินเป็นอย่างไร ลิ้นเขาทำหน้าที่อย่างไร ตาเขาทำหน้าที่อย่างไร เราต้องจำแนกแจกแจงให้จิตรับรู้ หมั่นพร่ำจิตของเราอยู่ตลอดเวลา จิตมาอาศัยกายนี้อยู่แล้วก็มายึดมาหลงกาย กายของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงสภาพตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เสื่อมตั้งแต่เกิด เสื่อมขึ้นกับเสื่อมลง คนทั่วไปก็มองถือว่าเป็นความเจริญ เจริญขึ้นแล้วก็เสื่อมลง
นั่นแหละเขามาเปลี่ยนแปลงให้เราเห็น เขามาสอนให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา ว่าความไม่เที่ยงของกายก็เป็นอย่างนี้ จากเด็กก็เป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็ชราคร่ำคร่าลงมา เราก็ได้ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว อย่าไปปิดกั้นตัวเองเห็นว่าเราไม่ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม เรามีโอกาสปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดนั่นแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ปฏิบัติธรรมผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผิดถูกชั่วดีเราก็รู้กันหมดนั่นแหละ โตกันทุกคน สติปัญญาทางโลกก็พอที่จะทำความเข้าใจได้ เราก็พยายามสำรวจกายสำรวจจิตของเรา ทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะเต็มรอบ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก เราพยายามทำปัจจุบันให้แจ้ง คำว่า ‘ปัจจุบัน’ ลักษณะปัจจุบันในทางธรรม คือรู้กายรู้จิต แล้วก็รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรมแปด ว่ามันก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ อันนั้นภายนอกอันนี้ภายใน
ถ้าคนเราหมั่นวิเคราะห์พิจารณาอยู่อย่างนี้จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่กับสุข กายก็เป็นบุญวาจาใจก็เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา เราก็จะอยู่กับบุญ เราก็จะได้เจริญสติปัฏฐานสี่อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่เข้าใจแล้ว ก็มีตั้งแต่เป็นเรื่องของโลก ถ้าพิจารณาในธรรมคิดในธรรมถ้าจิตยังไม่คลายความยึดมั่นถือมั่นก็เป็นแค่เพียงกิเลสธรรม เราต้องพยายามกันนะ แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังรู้ไม่ชำนาญ ยังทำไม่ได้คล่องตัว
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าถึงเย็น เราดูรู้ได้ต่อเนื่องกันซัก 5 นาที 10 นาทีไหม ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ทุกขณะจิต เราแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจได้จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา จนจิตยอมรับความเป็นจริงนั่นแหละ เขาถึงจะเป็นมหาสติได้ จิตยอมรับความเป็นจริงได้ จิตปล่อยจิตวางได้ เขาถึงจะรักษาเราได้ ต่อไปในวันข้างหน้า สติ ปัญญา สมาธิ ความว่างเขาจะรักษาเรา
เราต้องศึกษาให้ละเอียด คำว่า ‘ศีล สมาธิ ปัญญา’ เป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าปัญญาไปนึกเดาเอาตามอำนาจกิเลสของตัวเรา อย่างนี้ปัญญาโฉเก ปัญญาโลเล ไม่ใช่ปัญญาที่จะเข้าไปละทุกข์ดับทุกข์ได้ เราต้องสร้างเครื่องตัดสิน คือความเป็นกลางความว่างให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ความว่างความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น จิตที่ว่างจากกิเลส จิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น จิตที่ไม่มีความยินดียินร้ายในสิ่งต่างๆ อยู่ในความเป็นกลาง นั่นแหละคือเครื่องตัดสิน ไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา เราก็รู้จักรักษา เราก็รู้จักชำระสะสางกิเลส ต่อไปข้างหน้าสติ สมาธิ ความว่างจะรักษาเรา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกันนะ
อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็เอาการงานของเราเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นกุศล อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่ทำ อะไรที่เป็นประโยชน์เราก็ทำ อะไรที่เป็นกุศลเราก็ทำ อะไรเป็นอกุศลเราก็ละ แม้ตั้งแต่ความคิดด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าเป็นอกุศลเราก็ดับ มองโลกในทางที่ดี คิดดีอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่มีตั้งแต่ความขยันหมั่นเพียร ช่วยกันเป็นทรัพย์เป็นสมบัติของทุกคนแหละอยู่ในวัดนี้ ใครเข้ามาก็ช่วยกันทุกอย่าง ตั้งแต่ประตูทางเข้าถึงก้นครัว ดูแลช่วยกันดูแลทำความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำความสะอาดให้มีให้เกิดขึ้น ใครเข้ามาแล้วก็สบายตาสบายใจ ใจก็เป็นบุญ
มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ไม่ว่าพระว่าโยมก็ช่วยกัน ช่วยกันดี ทำการทำงานโน้นทำการทำงานนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนรุ่นหลังมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ก็มาสร้างมาสานต่อเป็นยุคเป็นทอดๆ ไป ถ้ายุคของเราผ่านไปแล้ว ยุคหลังเขาก็มาสานต่อ ก็มีตั้งแต่สร้างกองบุญเอาไว้ให้เขามาสร้างสานต่อ ก็จะได้รับอานิสงส์มากมายขึ้นไปเรื่อยๆ นี่แหละถึงไม่ได้เสียเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไป ทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
พยายามประคับประคองสติ ถึงจะช้าก็อดทนอดกลั้นเอา หมั่นสร้างให้มีให้เกิดขึ้นให้ได้ทุกอิริยาบถ รู้จักสังเกตอาการของจิตลักษณะของจิต อาการของขันธ์ห้า ลักษณะของขันธ์ห้า ว่าเขาเกิดอาการอย่างไร เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร จนเป็นความคิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว จนจิตของเราเข้าไปรวมไปหลงจนเป็นตัวเดียวกัน ตรงนี้แหละถ้าใครสังเกตรู้ทันตรงนี้ก็จะคลาย โมหะก็จะคลาย ความหลงก็จะคลาย สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้
ถ้าเรายังแยกไม่ได้ก็เพียงแค่อยู่ในกองบุญ ใจของเราอยู่ในกองกุศล หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลอยู่ตลอดเวลา อยากจะดับทุกข์ได้ ต้องการที่จะดับทุกข์ได้จริงๆ เราก็ต้องพยายามคลายความหลง ตามทำความเข้าใจ รู้แจ้งเห็นจริงเห็นสภาวธรรม รอบรู้ในขันธ์ห้าว่ามีอะไรบ้าง กายของเรานี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนรูปธรรม นามธรรมอีก 4 อย่างนี่แหละเราต้องไปคลาย เรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา จิตของเราเข้าไปเสวยเข้าไปรวม เขาเรียกว่า ‘เข้าไปเสวย’ เรื่องทุกข์ก็เป็นทุกขเวทนา เรื่องสุขก็เป็นสุขเวทนา บางทีก็เป็นกลางๆ
ตัววิญญาณ หรือว่าตัวจิตนั่นแหละ มันเข้าไปรวมกับเขา ไอ้ตัวสุดท้ายนี่แหละตัวสำคัญมันหลง ตัววิญญาณกระโดดเข้าไปรวมกับเขา ถ้าเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วน เขาเรียกว่า ‘เป็นกอง’ กองของใครของของมัน
ถ้าเราแยกตรงนี้ได้ เราก็จะตามดูตามรู้เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา ถ้าเราแยกได้อนัตตาความว่างเปล่า ความเบาความสบายก็จะเกิดขึ้น เราก็ตามดูเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์’ แล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ละขันธ์ห้าเสีย ขันธ์ห้านี่เขาเรียกว่า ‘ขันธมาร’ มาปรุงแต่งจิตของเรา ทำให้จิตของเราหลง มาหมุนจิตของเราเป็นวงกลม หมุนไปอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งจิตปรุงแต่งทั้งขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต เขาเรียกว่า ‘วัฏฏะวน’ (? 3:14)
ถ้าเราแยกได้เหมือนกับเราตัดวงกลม ตัดวงกลมออกมันก็หมุนต่อไปไม่ได้ ถึงจะร่วมกันไปได้เราก็ทำความเข้าใจแยกแยะ ถ้าเราแยกได้เราจะเห็นอะไรชัดเจน เพียงแค่แยกได้เพียงแค่เริ่มต้นในการสำรวจในการทำความเข้าใจ ถ้าเราสำรวจทำความเข้าใจ กำลังสติของเราเป็นมหาสติ เราก็หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ให้จิตของเรารู้ตามความเป็นจริง เขาก็จะละเขาก็จะวางเขาก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นหลงความคิดหลงอารมณ์มันไม่มีสาระประโยชน์อะไร เขาก็จะไม่หลง
แล้วเราก็มาชำระสะสางกิเลสที่จิต ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากคิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ ลองอดคิดดับคิดดับความคิด เราหนุนกำลังสติไปคิดไปพิจารณาแทนเป็นปัญญา เอาไปใช้มันจะเห็นเป็นคนละส่วนชัดเจนมากทีเดียว ถ้าคนใดมีความเพียรไม่ว่าจะยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ถ้ามีความเพียรแล้วจะเห็นชัดเจนมากทีเดียว ถ้าไม่มีความเพียรก็รู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิด แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ ทั้งที่จิตของเราเข้าไปรวมกับความคิด
จิตนี่ก็แปลก บางทีก็หลอกตัวเอง หลอกตัวเองก็ยังไม่พอไปหลอกคนอื่นด้วย สติปัญญาบางทีก็หลอกตัวเองก็มี หลอกตัวเองหลอกคนอื่น เราต้องหาเครื่องตัดสินความเป็นกลางภายในใจของเราให้เจอ ไม่ได้หาหรอก ต้องสร้างขึ้นมาสร้างขึ้นมาเลย ความระลึกรู้ตัวไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา
จิตของเรายังเกิดยังหลงอยู่เราก็ต้องควบคุม เหมือนกับนักโทษ ใหม่ๆก็ควบคุม ถ้ามันยังดื้อดึงก็ต้องขนาบแล้วขนาบอีกๆ มันยังเกิดความโลภความโกรธความอยาก เราก็พยายามละความโลภละความโกรธความอยาก คลายความตระหนี่เหนียวแน่น ละความอิจฉาริษยา ละมลทินต่างๆออกจากจิตจากใจของเรา เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ให้อภัยทานอโหสิกรรม มีความเชื่อมั่นในตัวเราเองตลอดเวลา แล้วก็มีความจริงใจต่อตัวเราเอง มีสัจจะ สัจจะนี้สำคัญ พูดจริงทำจริงแล้วก็ทำให้ได้จริงๆ เข้าถึงจริงๆ แล้วก็ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
บุคคลที่มีสติมีปัญญามีอานิสงส์เพียงพอ รู้แนวทางแล้วก็จะเร่งทำความเพียร ไม่ใช่เร่งด้วยความอยาก เห็นเขาพานั่งก็นั่ง ว่ายังงั้น เห็นเขาพาเดินก็เดินไปอย่างนั้น แต่ไม่รู้ความหมายว่านั่งเพื่ออะไร เดินเพื่ออะไร ความระลึกรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างไร ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ภาษาธรรมภาษาโลกมันเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร สักแต่ว่ากินเป็นอย่างไร ลิ้นเขาทำหน้าที่อย่างไร ตาเขาทำหน้าที่อย่างไร เราต้องจำแนกแจกแจงให้จิตรับรู้ หมั่นพร่ำจิตของเราอยู่ตลอดเวลา จิตมาอาศัยกายนี้อยู่แล้วก็มายึดมาหลงกาย กายของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงสภาพตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เสื่อมตั้งแต่เกิด เสื่อมขึ้นกับเสื่อมลง คนทั่วไปก็มองถือว่าเป็นความเจริญ เจริญขึ้นแล้วก็เสื่อมลง
นั่นแหละเขามาเปลี่ยนแปลงให้เราเห็น เขามาสอนให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา ว่าความไม่เที่ยงของกายก็เป็นอย่างนี้ จากเด็กก็เป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็ชราคร่ำคร่าลงมา เราก็ได้ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว อย่าไปปิดกั้นตัวเองเห็นว่าเราไม่ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม เรามีโอกาสปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดนั่นแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ปฏิบัติธรรมผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผิดถูกชั่วดีเราก็รู้กันหมดนั่นแหละ โตกันทุกคน สติปัญญาทางโลกก็พอที่จะทำความเข้าใจได้ เราก็พยายามสำรวจกายสำรวจจิตของเรา ทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะเต็มรอบ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก เราพยายามทำปัจจุบันให้แจ้ง คำว่า ‘ปัจจุบัน’ ลักษณะปัจจุบันในทางธรรม คือรู้กายรู้จิต แล้วก็รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรมแปด ว่ามันก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ อันนั้นภายนอกอันนี้ภายใน
ถ้าคนเราหมั่นวิเคราะห์พิจารณาอยู่อย่างนี้จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่กับสุข กายก็เป็นบุญวาจาใจก็เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา เราก็จะอยู่กับบุญ เราก็จะได้เจริญสติปัฏฐานสี่อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่เข้าใจแล้ว ก็มีตั้งแต่เป็นเรื่องของโลก ถ้าพิจารณาในธรรมคิดในธรรมถ้าจิตยังไม่คลายความยึดมั่นถือมั่นก็เป็นแค่เพียงกิเลสธรรม เราต้องพยายามกันนะ แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังรู้ไม่ชำนาญ ยังทำไม่ได้คล่องตัว
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าถึงเย็น เราดูรู้ได้ต่อเนื่องกันซัก 5 นาที 10 นาทีไหม ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ทุกขณะจิต เราแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจได้จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา จนจิตยอมรับความเป็นจริงนั่นแหละ เขาถึงจะเป็นมหาสติได้ จิตยอมรับความเป็นจริงได้ จิตปล่อยจิตวางได้ เขาถึงจะรักษาเราได้ ต่อไปในวันข้างหน้า สติ ปัญญา สมาธิ ความว่างเขาจะรักษาเรา
เราต้องศึกษาให้ละเอียด คำว่า ‘ศีล สมาธิ ปัญญา’ เป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าปัญญาไปนึกเดาเอาตามอำนาจกิเลสของตัวเรา อย่างนี้ปัญญาโฉเก ปัญญาโลเล ไม่ใช่ปัญญาที่จะเข้าไปละทุกข์ดับทุกข์ได้ เราต้องสร้างเครื่องตัดสิน คือความเป็นกลางความว่างให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ความว่างความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น จิตที่ว่างจากกิเลส จิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น จิตที่ไม่มีความยินดียินร้ายในสิ่งต่างๆ อยู่ในความเป็นกลาง นั่นแหละคือเครื่องตัดสิน ไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา เราก็รู้จักรักษา เราก็รู้จักชำระสะสางกิเลส ต่อไปข้างหน้าสติ สมาธิ ความว่างจะรักษาเรา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกันนะ
อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็เอาการงานของเราเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นกุศล อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่ทำ อะไรที่เป็นประโยชน์เราก็ทำ อะไรที่เป็นกุศลเราก็ทำ อะไรเป็นอกุศลเราก็ละ แม้ตั้งแต่ความคิดด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าเป็นอกุศลเราก็ดับ มองโลกในทางที่ดี คิดดีอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่มีตั้งแต่ความขยันหมั่นเพียร ช่วยกันเป็นทรัพย์เป็นสมบัติของทุกคนแหละอยู่ในวัดนี้ ใครเข้ามาก็ช่วยกันทุกอย่าง ตั้งแต่ประตูทางเข้าถึงก้นครัว ดูแลช่วยกันดูแลทำความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำความสะอาดให้มีให้เกิดขึ้น ใครเข้ามาแล้วก็สบายตาสบายใจ ใจก็เป็นบุญ
มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ไม่ว่าพระว่าโยมก็ช่วยกัน ช่วยกันดี ทำการทำงานโน้นทำการทำงานนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนรุ่นหลังมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ก็มาสร้างมาสานต่อเป็นยุคเป็นทอดๆ ไป ถ้ายุคของเราผ่านไปแล้ว ยุคหลังเขาก็มาสานต่อ ก็มีตั้งแต่สร้างกองบุญเอาไว้ให้เขามาสร้างสานต่อ ก็จะได้รับอานิสงส์มากมายขึ้นไปเรื่อยๆ นี่แหละถึงไม่ได้เสียเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไป ทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง