หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 004

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 004
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 004
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจของเราให้สบาย เราสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา หยุดคิด ดับความคิด ดับความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด

เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออก หรือว่าสูดลมหายใจยาวๆ ความรู้สึกที่ลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ฟังไปด้วยน้อมระลึกอยู่ที่ปลายจมูกของเรา หรือว่าสำเหนียกให้เกิดความเคยชิน

คนเราจะขึ้นสู่ที่สูงได้ จะรู้เดินปัญญาขั้นสูงได้ ก็ต้องเจริญสติ สร้างผู้รู้ สร้างความรู้ตัวรู้ จากน้อยๆไปหามากๆ ส่วนมากคนเรามีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา ไปนึกไปคิดไปอ่าน หาเหตุหาผลแบบปัญญาของโลกๆ ปัญญาที่จะเข้าไปสํารวจ เข้าไปทำความเข้าใจได้ ก็ด้วยการเจริญสตินี่แหละ

พยายามสร้างให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน เพียงแค่การสร้างกับการรักษาสติให้ต่อเนื่อง เราก็รู้จักควบคุมจิตของเราไว้เสียก่อน จิตของเราคิดส่งไปภายนอก เรายังไม่เข้าใจ ยังไม่เห็นเหตุเห็นผล ตั้งแต่เขาก่อเขาเกิดเขาก่อตัว เราก็ต้องใช้สมถะเข้าไปดับจนกว่ากําลังสติของเราจะมีมากนั่นแหละ จนกว่าจะสังเกตเห็นจิตกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้ เขาถึงจะดีด หรือว่าแยกออกจากกัน จิตของเราถึงจะว่าง กายของเราก็จะเบา สมองก็จะโล่งโปร่ง นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ละอัตตาตัวตน

ทีนี้เราก็ทำความเข้าใจ เราจะละได้หมดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปเกียจคร้าน วันนี้เราทำได้เท่านี้วันพรุ่งนี้เราเพิ่มเติมที่ไปเรื่อยๆ หรือว่าเราระลึกได้เมื่อไหร่ เราก็รีบระลึกรู้ สำรวจทำความเข้าใจให้เร็วให้ไว ไม่มีใครที่จะทำให้เราได้หรอกนอกจากตัวของเรา

การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกตการวิเคราะห์ การดับ จนกว่ากำลังสติจะแยกจิตออกจากขันธ์ห้าได้นั่นแหละ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ หรือว่าอริยมรรค เดินตามทางในมรรคขององค์แปด สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งก็จะเปิดขึ้น หรือว่าจิตหงายขึ้นมา รับรู้ความเป็นจริง สติตามดู เราก็ยิ่งจะสนุกว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสไหม
กายของเรานี้ทำหน้าที่อย่างไร หูตาจมูกลิ้นกาย เขาทำหน้าที่เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เราก็ต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ว่า เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง จิตของเราเกิดความยินดีไหม เกิดความยินร้ายไหม ปกติไหม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ เราจะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างความรู้ตัวเข้าไปตรวจสอบตลอดเวลา

ส่วนมากไม่ค่อยจะได้สร้างกัน ก็รู้อยู่เมื่อเขาเกิด แต่การดับการแยกไม่ค่อยจะมี ความปกติของจิตเราก็ต้องพยายามรู้อยู่ตลอดเวลา ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมให้หมั่นตรวจสอบหมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา

อยู่กับหมู่อยู่กับหลายคนเราก็รู้จักวิเคราะห์ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละ มีพรหมวิหาร มีความเมตตา เอาใจเขามาใส่ใจเรา มองโลกในทางที่ดี คิดดี ถึงคนอื่นเขาจะไม่ดี เราก็อย่าไปอคติไปเพ่งโทษ เรามองเฉพาะในส่วนที่ดีของเขา เอาเฉพาะส่วนที่ดีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนที่ไม่ดีเราก็อย่าไปมองอย่าไปคิดอย่าไปอคติ ถ้าเราเกิดอคติ ก็ตัวมลทินนั่นแหละเกิดขึ้นในใจของเรา

เราก็พยายามมองโลกในทางที่ดี รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม จิตของเราดีถึงภายนอกไม่ดี จิตของเราก็ดีเหมือนเดิม ถ้าจิตของเราไม่ดีถึงภายนอกจะดีขนาดไหน จิตของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม สรุปแล้วก็มาแก้ไขที่จิตของเราแล้วก็การกระทำของเราทั้งทางกายทางวาจาให้ดี นั่นแหละความปกติก็จะเกิดขึ้น ศีลก็จะเกิดขึ้น สมาธิก็จะเกิดขึ้น

ศีล สมาธิ ศีลความปกติของกายของวาจา ลึกลงไปของใจ ปรกติ วาจาก็ปกติไม่ได้ไปกระทบกระทั่งคนนั้นคนนี้ ไม่ได้ไปอคติไม่ไปเพ่งโทษพูดจาส่อเสียดเพ้อเจ้อมันก็เป็นศีล ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอก ความสงบความร่มรื่นร่มเย็นก็จะเข้ามา ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด เราก็ต้องพิจารณาในสิ่งที่เราพูดออกไปเป็นประโยชน์หรือไม่ ในเมื่อเราพูดออกไปแล้วคนอื่นเขาเดือดร้อนไหม เราเดือดร้อนไหม เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เวลาไหนควรพูดหรือไม่ควรพูด

ลึกลงไปอะไรคือความคิด อะไรควรคิดหรือไม่ควรคิด ในสิ่งที่เป็นอกุศลเราก็ดับเสีย ในสิ่งที่เป็นกุศลเราก็ยังไม่ยึดอีก ก็ต้องพยายามกัน ฝ่าฟันกัน เราไม่เข้าใจวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้เราก็ต้องเข้าใจ ตราบใดที่เรายังมีการฝักใฝ่มีการสนใจ พยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น

ไม่ได้ว่าธรรมะจะอยู่กับครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ ธรรมะไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ธรรมะก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ อันนั้นเราไปแสวงหาแนวทาง แสวงหาครูบาอาจารย์ สถานที่ ถ้าเราเข้าใจแล้ว เรานี่แหละเป็นครูบาอาจารย์เรา สตินี่แหละคอยตรวจสอบจิตของเรา จิตของเราก็เหมือนกับลูกศิษย์คอยร่ำเรียนอยู่ตลอดเวลา ให้รู้ตามสภาพความเป็นจริงตลอดเวลา

ตราบใดที่กำลังสติของเรายังไม่ต่อเนื่อง ก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา บุคคลผู้รู้ หรือว่าบุคคลที่มีสติมีปัญญา ฟังนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องไปฟังมาก การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการควบคุมจิตเป็นอย่างนี้ การควบคุมอารมณ์ อะไรคือจิต อะไรคืออาการของจิตที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่ง จิตรู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้ จนกว่าจะจำแนกแจกแจงแยกได้นั่นแหละ ก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ยิ่งขยันหมั่นเพียรก็ยิ่งจะสนุก ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ เอานี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง