หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 43

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 43
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 43
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะสามเณรเราพระเราชีเราก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง พระชีเราก็สถานที่ที่พักที่อาศัยก็ยังลำบากอยู่ ก็ยังไม่เพียงพอกัน ต่อไปข้างหน้าก็คงจะได้ทำ ได้สร้างให้อีกหลายหลังอยู่ ค่อยทำ ค่อยสร้างกันไปทีละเล็กทีละน้อย ก็จะได้พอเพียงกัน เดี๋ยวนี้ก็อยู่หลังละ 2 บ้าง 3 บ้าง อยู่ตามศาลาที่พักโล่งๆ โปร่งๆ ฝนฟ้าไม่ตกก็พอบรรเทาได้ ถ้าฝนฟ้าตกก็หลบหลีกเอา หลบหลีกไปมุมโน้นบ้าง มุมนี้บ้าง อันนี้ไม่ถึงกับถือว่าลำบากเท่าไร

สมัยก่อนถึงลำบาก มุงหญ้าคาอยู่ตามหลุมศพ อยู่ตามโคนต้นไม้ ฝนตกก็หลบหลีกเอา นอนอยู่กับศพ สมัยก่อนถ้าพวกท่านมาเห็นก็คงจะไม่อยากอยู่หรอก อยู่องค์เดียวนอนอยู่กับศพ อยู่กับหลุม บางคนเขาก็จะว่าหลวงพ่อนี้เป็นบ้าไปจับผีลุกปลุกผีนั่ง อันนี้ไม่ใช่ เรามาฝึกฝนจิตของเรา เกิดความกลัวหรือไม่ เกิดความหวั่นไหวหรือไม่ กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร ใหม่ๆ นั่งก็กลัว นอนหงายก็กลัว นอนคว่ำหน้าใส่กับศพมันเลย มันกลัวก็ให้มันตายตรงนี้เสีย มันก็ไม่เห็นเป็นไร ทุกวันนี้ไม่น่ากลัวแล้ว เป็นสวนน่ารื่นรมย์น่าอาศัย ขนาดเป็นที่น่าอยู่น่าอาศัยก็ยังพากันกลัวอยู่ ไม่รู้ว่ากลัวอะไร นี่กลัวปลวก ปลวกมันสั่นหัวก็กลัว แมวไม่เห็นกลัวเลย

แมวเวลามันออกลูก มันเอาลูกไปฝึก เวลาลูกมันกำลังหัดเดินหัดอะไร ร้องแง้วๆๆ นี่แหละ มันจะคาบลูกมันไปทิ้งเอาฝั่งทางโน้นทางสระใหญ่ แล้วตัวแม่มันก็หนีขึ้นมาอยู่ข้างบน 4 5 6 ตัว ก็ร้องกันมาอย่างนั้นแหละ ร้องกันมาขึ้นมา มันเอาลูกของมันไปฝึกตั้งแต่ยังคลานได้ ร้องขึ้นมาหากินจิ้งจก กินอะไรไปด้วยกัน ร้องขึ้นมาด้วย คนเราตัวตั้งเบ้อเริ่มยังไปกลัว ไม่กล้าเหมือนแมว แมวยังเก่งกว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เขาก็อยู่ส่วนเขา อย่างมากเขาก็นั่งดูเราอยู่ข้างๆ เท่านั้นแหละ ก็อนุโมทนาสาธุแผ่เมตตาให้เขา เขาก็อนุโมทนาสาธุรับเท่านั้นเอง เขาไม่มาหลอกเราหรอก ถ้าเขาจะหลอกเขาก็มาปรากฏให้เห็น เขาก็อยากจะขอส่วนบุญกับเราเท่านั้นเอง เราก็แผ่เมตตาให้เขา ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ เปรตมีหมดนั่นแหละ เปรตเดินดิน เปรตยังมีชีวิตอยู่ก็มีคือความโลภ ใครมีความโลภนั่นแหละคือเปรต ความโลภอยากจะได้ไม่มีที่สิ้นสุด ในหลักธรรมเขาเรียกว่า ‘จิตเป็นเปรต’

ถ้าเราอยากจะได้มาก เราก็ต้องการด้วยสติด้วยปัญญา หาด้วยสติหาด้วยปัญญา ไม่ให้จิตเกิดความโลภ จิตเกิดความโกรธก็เป็นยักษ์เป็นมาร จิตยังมีความหลงอยู่ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ถึงเป็นผู้ประเสริฐ ผู้รู้ เรารู้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่รู้ก็ฝึกฝนตนเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ถึงจะเป็นผู้รู้ ผู้เบิกบาน ผู้ตื่น อยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ตลอดเวลา พยายามเอานะขณะยังมีกำลังยังมีชีวิตอยู่ ช่วยกันอย่าไปเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วก็ไม่ได้อะไร หนักตัวเองแล้วก็หนักคนอื่น เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เพียรให้ถูกที่ ถูกทาง ถูกสถานที่ กายที่ไหน ใจที่ไหน ก็ละมันอยู่ที่นั่นแหละ กิเลส กิเลสตัวไหนเกิดก่อนเอาตัวนั้นแหละ

มนุษย์แต่ละคนเกิดมาก็สร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมาเต็ม ทีนี้เราก็มาสร้างมาสานต่อในภพปัจจุบันให้เต็มให้อิ่ม ถึงจะสร้างมาน้อยเราก็มาสร้างให้เต็มขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ พยายามสร้างเอา หลวงพ่อก็พาสร้างพาทำอยู่ มีโอกาสก็มา กายของเราไม่ได้มาก็อนุโมทนาสาธุ มาหมั่นฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ในการเสียสละ ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา

วันนี้ฉันข้าวเสร็จ ทานข้าวเสร็จ ญาติโยมทางโรงปูนช่วยปลูกต้นไม้อีกหน่อยนะ หลายคนช่วยกันยกช่วยกันหาม 10 กว่าต้นๆ จะได้เต็มอิ่มเป็นป่า เป็นป่าจันทน์ผา ป่าไผ่ ปลูกเอาไว้ทดแทนกัน ถ้าต้นไผ่มันแก่เฉาตายในวันข้างหน้า จันทน์ผาก็จะได้ขึ้นแทนให้ร่มเงา ข้างนอกก็ปลูกต้นไทรกันเต็มก็จะได้เย็นไปหมด โลกมันร้อน ถ้าไม่ปลูกต้นไม้มันก็ร้อน เพียงแค่เราอยู่กันคนละด้าน ข้างนอกกับข้างในนี่มันก็ต่างกันแล้ว เวลากลางวันแดดร้อนๆ อยู่ภายนอกนี่ร้อนเปรี้ยงๆ ก้าวเข้ามา ข้ามประตูวัดเข้ามาก็เย็น นั่นแหละมันต่างกัน เรามีโอกาสปลูกต้นไม้ อยู่ที่บ้านเราก็ปลูกต้นสองต้น คนละต้นสองต้น อยู่ไร่อยู่นาเราก็ปลูก ปลูกทิ้งไว้เถิดไม่เสียหายหรอก ปลูกผลหมากรากไม้ก็ได้ ปลูกเอาไว้ ทิ้งเอาไว้ เราไม่ได้กินช่วงนี้ ก็รุ่นลูกรุ่นหลานเขาก็ได้อยู่ได้กิน เราทำเอาไว้ คนรุ่นหลังก็มาสร้างมาสานต่อ

ไม่ใช่เป็นของคนใดคนหนึ่งหรอก เป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นสมบัติของทุกคน เราเพียงแค่เป็นผู้มาอาศัยอยู่ กายของเราก็ไม่ใช่กายของเราได้ในทางวิมุตติ แต่ในทางสมมติใช่กายของเราอยู่ แต่เราก็ต้องดูแลรักษาเขาไป ถึงเวลาเขาแตกดับ เขาก็ต้องแตกดับนั่นแหละวันที่จะได้พลัดพรากจากกันจริงๆ ช่วงที่ยังไม่ได้พลัดพลาดจากกัน ก็ให้แยกแยะด้วยปัญญา ด้วยการปล่อยวาง ทางด้านจิต ด้านความคิด ด้านอารมณ์ เขาก็ปล่อยวางอัตตาตัวตนได้ ถึงเวลาเขาก็แตกก็ดับของเขา เราก็ต้องสำรวจทำความเข้าใจให้มันเห็นชัดแจ้งจริงๆ ถึงจะกระจ่าง ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอก พิจารณาลงอยู่ที่กายที่ใจของเรา

ภายนอกก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับอานิสงส์นั้นด้วย ความเป็นอยู่ก็อยู่ดีมีความสุขด้วย ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำช่วยกันดูแล น้ำไม่มีก็เปิดใส่ มันสกปรกก็ทำความสะอาด เดินดูมันทุกห้อง ห้องไหนสกปรกเข้ามันห้องนั้น เราได้อานิสงส์ได้ทำความสะอาดด้วย บางคนไปปล่อยแล้ว ไปถ่ายแล้วก็ไม่ได้ล้างก็มี ไปเจอบ่อยก็อดน่าสงสารไม่ได้ เพียงแค่นี้ก็ยังชำระสะสางของตัวเองไม่ได้ มันจะไปรู้อะไรล่ะ ไปทำอะไรล่ะ มันก็มีแต่อกุศลมูล มีแต่ความมืดความบอดเท่านั้นเอง ความเสียสละไม่มี แถมกลับไปสร้างความหนักให้กลับสถานที่ หนักให้กับคนอื่น เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบต่อตัวเอง รับผิดชอบต่อส่วนรวม รับผิดชอบต่อหน้าที่ ถึงรับผิดชอบไม่ได้มากก็รับผิดชอบตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นสักเล็กน้อยก็ยังดี เพื่อที่จะไม่ให้ไปหนักคนอื่น

การประพฤติการปฏิบัติก็เหมือนกัน เราต้องเป็นคนเตรียมพร้อม ถ้ามาปฏิบัติที่พักที่อาศัยก็มีไว้ให้ มุ้งหมอนสาดเสื่อถ้าเตรียมพร้อมได้ก็เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม ถึงไม่เก้อไม่เขิน น้ำดื่มน้ำใช้ สบู่ยาสีฟัน เข้าในป่าในดงมันถึงจะได้ไม่ลำบาก ไปที่ไหนต้องเป็นคนเตรียมพร้อม ไม่ต้องไปหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า มันถึงจะเป็นบุคคลที่ไปได้เร็วได้ไว ไม่ใช่ว่าไปที่โน่น จะให้ปฏิบัติธรรมที่ไหน ให้อยู่ที่ไหน ให้นอนที่ไหน ให้กินอย่างไร อะไรก็ไม่รู้จัก มันจะไปรู้อะไร ต้องเป็นคนที่เก่ง ขยันหมั่นเพียร วิเคราะห์พิจารณา เตรียมพร้อมมันถึงจะถูก ไม่ได้ให้ลำบากคนอื่นได้ลำบาก ตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ก็เป็นหนักให้คนอื่นอยู่ตลอด ไปที่ไหนก็สร้างความลำบากให้กับสถานที่หนักเข้าไปอีก ไอ้อยากจะได้ทำ ก็อยากจะได้ มันจะไปได้อะไร แค่สำรวจตัวเองก็ยังไม่เป็น เราต้องพยายามเอา

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องนสักพักนะ ถึงเราไม่ได้เจริญสติ หรือไม่ได้สร้างความรู้ตัว ก็ให้เริ่มเสียขณะที่กำลังฟังกำลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยสำเหนียกมีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกของเรา สำเหนียกหมายถึงน้อมรู้สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ดับความคิด หยุดๆ หยุดคิดหยุดปรุงแต่ง ทุกเรื่อง

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ วางการหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ความคิดที่เกิดจากจิตก็จะหยุดทันที สัมผัสความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกนั่นแหละความรู้สึกตัว ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ให้ต่อเนื่อง เราก็พยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง รู้เวลาลมวิ่งเข้าวิ่งออก แล้วก็อย่าไปบังคับ

ถ้าเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ นั่นแหละเราเรียกว่า ‘การเจริญสติ’ การสร้างสติสัมปชัญญะให้ต่อเนื่อง ขณะที่เราสร้างความรู้สึกตัวอยู่ที่ปลายจมูกของเรา บางทีจิตของเราอาจจะคิดไปเรื่องโน้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง เราก็กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออก จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ มันจะฉุดกันไปฉุดขึ้นมาอยู่ อันนี้ก็จะเห็นเป็น 2 ส่วน รู้เห็นเป็น 2 ส่วน ถ้าความรู้สึกตัวของเราต่อเนื่องให้ได้ เราก็จะสังเกตดูรู้เห็นอาการของความคิดที่มันผุดขึ้นมา จิตของเราก็จะเคลื่อนเข้าไปรวม

ถ้าเรารู้ตรงนั้นปุ๊บ จิตออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหละเขาถึงเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ด้วยลักษณะอาการ เราก็ตามดูเห็นการเกิดการดับ ส่วนมากเรารู้เมื่อเขาเกิดแล้ว ส่วนมากเราไม่ค่อยรู้ตั้งแต่ต้นเหตุเขาเริ่มก่อตัว บางทีจิตก็ไปรวมกับความคิด บางทีจิตก็ส่งออกไป เราก็รู้อยู่แค่นั้นแหละ มันหลงเสร็จแล้วมันรวมกันไปเสียแล้ว เราต้องพยายามดับ ฝืน ช่วงใหม่ๆ ท่านถึงว่าทวนกระแส ฝืนกระแส เพราะว่าจิตชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตไปด้วยกัน เขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’ แต่จิตของเราก็ยังอยู่ในกองบุญอยู่ ยังมีศรัทธาน้อมเข้ามาในการทำบุญ ในการให้ทาน มีความเสียสละ ละกิเลสกันอยู่ แต่จะละได้หมดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล

แต่การแยกรูปแยกนามเราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ให้รู้ให้ทัน ถึงจะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ความเป็นจริงมีอยู่ สัจจะมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อะไรคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า การรอบรู้ในกองสังขาร การชำระสะสางกิเลส ตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรถึงจะละออกได้ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรก็ยาก จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเสียสละ สร้างตบะบารมี มีพรหมวิหารมีความเมตตาจิต จะไหลไปในกระแสทำได้เร็วได้ไว จะยากสำหรับบุคคลที่เกียจคร้าน แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามเอานะ

แม้แต่การสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออก พวกเรายังทำกันไม่ต่อเนื่องกันเลย บางทีก็ไม่ได้ทำเลย มีแต่ไปนึกไปคิดเอา มันจะไปรู้เท่าทันจิตได้อย่างไร เพียงแค่การสังเกต การวิเคราะห์ การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง การดับ การควบคุมจิตมันไม่มี การฝืน การสังเกต การวิเคราะห์ การแยก การทำความเข้าใจให้จิตยอมรับ จิตนี่อยากจะปล่อย อยากจะวาง มันจะวางได้อย่างไร ตัวจิตยังเกิด ยังวิ่งอยู่ เราต้องดับ ต้องฝืน ต้องคลาย สติปัญญาของเราต้องหาเหตุผลให้จิตยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ รู้จุดปล่อย รู้จุดวาง ก็พยายามนะ

ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกให้ต่อเนื่องกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง